บรรยากาศภายในตรอกตึกดิน เขตพระนคร เรียงรายไปด้วยอาคารและบ้านโบราณ แต่ตอนนี้เมื่อเดินเข้ามาแล้วกลับสะดุดตากับพิกัดน้องใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมสีขาวสุดมินิมอล หน้าต่างบานใหญ่ และบริเวณกำแพงตรงข้ามหน้าร้านก็จัดเป็นสวนหินสีขาวแซมด้วยสีเขียวรื่นตาจากต้นไม้น้อยใหญ่ ชวนให้แวะถ่ายรูปและเข้ามาค้นหาต่อว่าภายในร้านนี้มีอะไรซุกซ่อนอยู่บ้าง       คำว่า Flints นั้นถ้าให้แปลตรงตัวก็หมายถึงหินเหล็กไฟ (ที่ไม่ใช่วงร็อกในตำนาน) เมื่อก้าวเข้าไปภายในร้านแล้วก็จะเห็นองค์ประกอบของร้านสีขาวที่ตัดกับสีเทาเข้ม กับต้นไม้ และโต๊ะหินขนาดใหญ่ดูเข้ากับชื่อร้าน และเมื่อขึ้นไปสำรวจบนบริเวณชั้น 2 ก็จะพบกับบรรดาเครื่องประดับดีไซน์เก๋จากแบรนด์ Rock Me Jewelry Handmade Jewelry  ที่โดดเด่นด้วยพลอยหลากสีสันน่าเก็บไว้เป็นเจ้าของ         สำหรับเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของร้าน จะเน้นเมนูม็อกเทลที่สีสันโดดเด่นขึ้นมาจากสีสุดเรียบง่ายของตัวร้าน เริ่มต้นด้วย Snowflake เครื่องดื่มสีแดงออกม่วงนิด ๆ ที่ผสมผสานระหว่างชากระเจี๊ยบ ลิ้นจี่ และทับทิม ให้รสชาติหวานหอมสดชื่น     อีกเมนูสุดน่ารักน่าลองนั้นยกให้กับ Ride The Wave ที่ได้แรงบันดาลใจจากท้องทะเล จึงมีสีฟ้าสดใส รสชาติออกเปรี้ยวอมหวานด้วยน้ำแอปเปิ้ลและน้ำมะพร้าว ส่วนด้านบนท็อปด้วยสายไหมสีขาวบริสุทธิ์ดูแล้วก็เหมือนทั้งก้อนเมฆและฟองคลื่น     ปิดท้ายด้วยของหวานเบา ๆ กับ Galaxy Donut หน้าตาน่าลิ้มลองด้วยความหลากสี ทั้งฟ้า น้ำเงิน ชมพู และเหลือง ราวกับอยู่บนห้วงอวกาศ ระยิบระยับด้วยกลิตเตอร์สีเงินที่เปรียบเสมือนดวงดาวส่องประกายอยู่ท่ามกลางกาแลกซี่     เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่มาพร้อมเมนูน่าตื่นเต้นทั้งนั้นเลย!

"Coffee Context" คือคาเฟ่สไตล์มินิมอลน่านั่งในชั้นล่างของ Nappiness Hotel โรงแรมสุดเก๋ติดริมคลองบางลำพู ที่พร้อมเสิร์ฟกาแฟรสดี ทั้งแบบเอสเปรสโซและสโลว์บาร์ ซึ่งมีเมล็ดกาแฟหมุนเวียนมาให้เลือกชิมทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงขนมและเบเกอรีโฮมเมดแสนอร่อย เรียกว่าได้ทั้งจิบกาแฟ ละเลียดขนม และชมวิวคลองในย่านกรุงเก่าที่สวยงามไปพร้อมกัน สมกับคำว่า Context ในชื่อร้าน ที่หมายถึงบรรยากาศ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของผู้คน       ด้วยการตกแต่งแบบมินิมอล เน้นโทนสีขาว และพื้นที่ร้านกว้างขวาง โปร่งโล่งสบายตา ไม่อึดอัด รวมทั้งกาแฟคุณภาพในราคาเบาๆ เข้าถึงง่าย จึงไม่แปลกใจที่คาเฟ่แห่งนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่ง Hidden Place บนถนนพระสุเมรุ ที่หลายคนเทใจให้         คอกาแฟต้องลอง Dirty ใช้เมล็ดกาแฟไทยเฮาส์เบลนด์ คั่วระดับกลาง กลมกล่อมหอมโทนนัตตี้และช็อกโกแลต (แนะนำให้ยกดื่ม 3 ครั้ง จะได้ความอร่อยแบบลงตัว) และ Hot Latte ลาเต้ร้อน นุ่มนวล หอมละมุน ส่วนใครชอบความสดชื่น เราแนะนำ Black Yuzu เอสเปรสโซช็อตเข้มข้นผสมผสานซอสยูสุและเนื้อยูสุรสเปรี้ยว แค่จิบเดียวก็คลายร้อนได้เป็นอย่างดี         ถ้ามองหาขนมมาเพิ่มความอิ่ม ลองสั่ง Croffle เนื้อแน่น กรอบนอกนุ่มใน และ Crepe Cake Strawberry Sauce เนื้อนุ่มราดซอสสตรอว์เบอร์รีเข้มข้น ที่เหมาะเป็นมื้อเช้าเบาๆ หรือมื้อบรันช์เติมพลังในวันสบายๆ ได้แบบ Made My Day    

เรียกว่าเป็นหนึ่งในร้านฮอตฮิตติดลมบนแห่งย่านคลองสานที่ชาวคาเฟ่ฮอปเปอร์ไม่ควรพลาด สำหรับ Hint Coffee” คาเฟ่สีขาวในซอยกรุงธนบุรี 10 ที่แค่ผลักประตูเข้าไปก็เหมือนกำลังนั่งละเลียดกาแฟอยู่ในคาเฟ่สุดฮิปที่เกาหลี ด้วยบรรยากาศและการตกแต่งสะอาดตาสไตล์มินิมัลลิสต์ เรียบง่ายละมุนละไม แต่แฝงความเก๋ไก๋ชวนถ่ายรูปไปทุกมุม       ไม่ว่าจะเป็นชั้นใต้ดินที่มาพร้อมหน้าต่างมุมโค้งแต่งด้วยขอนไม้และก้อนหินสุดเท่ รวมทั้งชั้นสองที่ต้อนรับเราด้วยตู้ถ่ายรูปสุดฮิปและมุมที่นั่งติดหน้าต่างแสนสบาย และชั้นสามที่ตกแต่งเป็นห้องทำงานแบบมินิมอลและมุมห้องนอน ซึ่งมีทั้งที่นอนและผ้าม่านสีขาวโปร่งที่ให้บรรยากาศเหมือนบ้านของหนุ่มสาวฮิปสเตอร์แดนกิมจิให้เราได้โพสต์ถ่ายรูปกันเพลินใจ             สำหรับคอกาแฟห้ามพลาดเมนูซิกเนเจอร์ Hint Coffee กาแฟดัลโกนาแบบเกาหลี มาพร้อมแผ่นน้ำตาลบนแก้วให้ทุบใส่เบาๆ ก่อนดื่ม เพิ่มความหอมหวานกลมกล่อมกำลังดี     ส่วนคนรักนมห้ามพลาด Strawberry Latte ความอร่อยลงตัวของนมสดเย็นกับแยมสตรอว์เบอร์รีโฮมเมดเข้มข้น ท็อปด้วยฟองนมนุ่มๆ และสตรอว์เบอร์รีสด กินคู่ Basque Burnt Cheesecake ชีสเค้กหน้าไหม้เนื้อเนียนแน่น ราดครีมหอมมัน ยิ่งเข้ากันสุดๆ    

ยกให้เป็นอีกหนึ่งจุดเช็กอินของสายถ่ายรูป สำหรับ Let me tell you our story cafe คาเฟ่โรงนาสไตล์ยุโรป ย่านลาดกระบัง ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้และธรรมชาติ บรรยากาศโปร่งโล่งสบาย เหมาะแก่การไปนั่งเล่น จิบกาแฟ แถมยังได้รูปกลับไปแบบไม่ซ้ำมุม       เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณร้าน จะพบกับโซนสวนสไตล์ยุโรปสุดร่มรื่น ที่ห้อมล้อมตัวโรงนาสีน้ำตาลหลังใหญ่เอาไว้ ภายในเลือกใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์วินเทจเกือบทั้งหมด ตกแต่งด้วยเชิงเทียน โคมไฟสีส้ม และดอกไม้แห้งวางอยู่ทั่วทุกมุมร้าน ช่วยเสริมกลิ่นอายความคลาสสิกให้กับบรรยากาศภายในร้านได้เป็นอย่างดี       เมนูของร้านเน้นเสิร์ฟเป็นเบเกอรี่โฮมเมด พร้อมเครื่องดื่มชา กาแฟ ที่มีให้เลือกกันแบบจุใจ เมนูแรก Dark Beer Chocolate (140.-) เค้กช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของเบียร์ดำ รสเข้มข้นกลมกล่อม ท็อปด้วยครีมชีสและถั่วลิสงกรุบกรอบ     ต่อด้วย Flower Soda (80.-) ที่นำโซดามาผสมกับไซรัปผลไม้ หอมกลิ่นกุหลาบ และลาเวนเดอร์ กินกับ Oreo Cream Cheese Cake (140.-) เนื้อเค้กโอรีโอนุ่มฟูสลับชั้นมากับครีมชีสโอรีโอรสหวานกลมกล่อม หรือ Basque Burnt Macadamia Cheesecake (130.-) ชีสเค้กหน้าไหม้เนื้อนุ่มแน่น ท็อปด้วยแมกคาเดเมีย หวานมัน เคี้ยวเพลิน         Coffee Caramel Frappe (90.-) แก้วนี้ได้ทั้งความขมของกาแฟ และความหวานหอมของคาราเมล กินพร้อมไอศกรีมรสกาแฟ หวานละมุนลิ้นสุดๆ     เติมความสดชื่นด้วย Sparking lychee Coffee (80.-) ที่ทางร้านเลือกใช้ความหวานหอมของลิ้นจี่มาตัดความเข้มของรสกาแฟ ดื่มแล้วชื่นใจสุดๆ  

ท่ามกลางบ้านเรือนภายในซอยเสนานิเวศ 112 ในย่านลาดพร้าว บ้านหลังใหญ่สีขาวนี้ดูโดดเด่นออกมากว่าใคร ด้วยซุ้มประตูโค้งเป็นทางเดินลอดเข้าไปสู่ตัวบ้านสไตล์ยุค 90 ที่ทุกวันนี้กลายเป็นคาเฟ่แสนอบอุ่น มาพร้อมเมนูเครื่องดื่มและของหวานสุดสร้างสรรค์ เหมาะที่จะแวะมาพักผ่อนหลบร้อนในช่วงเวลายามบ่ายของวัน         พื้นที่สวนกว้างที่ล้อมรอบตัวบ้าน ถูกดัดแปลงเป็นพื้นที่นั่งเล่นและมุมถ่ายรูปเชิญชวนสายคาเฟ่ฮอปปิ้งให้เข้ามาเก็บภาพความประทับใจ หากวันไหนที่แดดร่มมีลมพัดเย็น ๆ ก็น่าออกมานั่งเล่นกินลมชมวิวอยู่ไม่น้อย ส่วนภายในตัวร้านนั้นยังคงกลิ่นอายของบ้านเก่าเอาไว้อย่างแนบเนียน แยกเป็นสัดส่วนระหว่างเคาน์เตอร์และพื้นที่นั่งรับประทานอาหารโดยมีประตูไม้บานใหญ่และชั้นวางของสีเข้มกั้นตรงกลาง         เริ่มกันที่เมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ที่มีชื่อเดียวกับร้าน นั่นก็คือ Maysa เป็นเมนูกาแฟที่สร้างสรรค์ใหม่โดยหยิบจับเอาเอกลักษณ์ของขนมไทยมาผสมผสาน เมื่อจิบแล้วจึงได้กลิ่นของข้าวคั่วและใบเตย เสิร์ฟมาพร้อมข้าวเหนียวแดงเคี้ยวกรุบกรอบ ซึ่งเป็นขนมมงคลที่คนต่างจังหวัดมักจะแจกกันในงานบุญช่วงเดือนเมษายน และถ้าอยากได้ขนมเค้กมารับประทานคู่กัน แนะนำ Maysa เป็นเมนูทอฟฟี่เค้กที่ให้รสชาติคล้าย ๆ กัน ทั้งความหวานกลมกล่อมของน้ำตาลทรายแดง รวมกับกลิ่นของข้าวคั่วและใบเตย ท็อปด้วยแมคคาเดเมียเต็มคำ     แก้วต่อมา Black Lemon Tonic เป็นเมนูกาแฟให้ความสดชื่นด้วยกาแฟดำ เพิ่มความเปรี้ยวซาบซ่าด้วยโทนิค ความพิเศษนั้นอยู่ที่ไซรัปเลมอนที่ทางร้านลงมือหมักเอง     กาแฟอีกแก้วคือ Dirty กาแฟนมที่กำลังเป็นเทรนด์ของยุคนี้ โดยทางร้านเลือกใช้เบลนด์พิเศษที่ประกอบไปด้วยเมล็ดกาแฟจากเอธิโอเปีย อินโดนีเซีย อินเดีย และบราซิล ให้รสชาติในโทนนัทตี้     อีกเมนูสำหรับใครที่ไม่อยากดื่มกาแฟ ต้องลอง With Love With Maysa ส้มยูซุสปาร์คกลิ้งรสเปรี้ยวอมหวานพร้อมกลิ่นหอม ๆ เป็นเอกลักษณ์ของยูซุที่มอบความสดชื่นได้ดีไม่แพ้กัน     Pina Yakult แก้วนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากค็อกเทลพินา โคโลดา ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือสับปะรด นำมาผสมผสานกับยาคูลท์ จึงทำให้แก้วนี้มีรสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ดื่มง่ายไม่ว่าใครก็จะต้องถูกใจ     ปิดท้ายด้วยของคาวกับ หมูทอดเค็ม ที่มาพร้อมกับข้าวเหนียวและน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด เติมเต็มกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี แต่ขอบอกก่อนว่าเมนนูนี้มีพิเศษเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น     ถ้าอยากพักผ่อนหย่อนใจในบรรยากาศของคาเฟ่สไตล์โฮมมี่ ต้องเก็บที่นี่ไว้ในลิสต์แล้วหนึ่ง!

ใครที่คุมน้ำหนัก คุมน้ำตาลในเลือด แต่ไม่อยากอดอาหาร เราขอชี้เป้า โลฟโฮลวีท ของ Vegan Plus by MedFood ร้านเบเกอรี่ที่เน้นโปรตีนจากธัญพืชหลายชนิด ไม่ใส่ เนย นม ไข่ ผงฟู และน้ำตาลทราย รสหวานได้จากอินทผาลัม มีให้เลือกทั้งแบบทำจากแป้งโฮลวีทและแป้งไรย์ผสมแป้งสาลี         ความเก๋ของร้านคือสร้างสรรค์ออกมาหลายสูตรให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า สำหรับแป้งโฮลวีทจะมี 3 สูตร ได้แก่ สูตรควบคุมน้ำหนัก ใส่อินทผลัม อัลมอนด์ ลูกเกด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทองและเมล็ดแตงโม สูตรชะลอวัย เพิ่มมันม่วงให้สีเข้มและรสชาติชวนกินยิ่งขึ้น และสูตรควบคุมน้ำตาลในเลือด เปลี่ยนจากลูกเกดเป็นแครนเบอรี่ ผสมชาเขียวหอมๆ ทั้งอร่อยและดีต่อใจ         ส่วนสูตรแป้งไรย์ผสมแป้งสาลีจะเหมาะกับเด็ก ผู้สูงอายุ และคนที่อาหารย่อยยาก เพราะแป้งไรย์จะช่วยย่อยอาหาร ส่วนแป้งสาลีก็ทำให้กินง่ายขึ้น มีให้เลือก 3 สูตรเหมือนกัน ได้แก่ สูตรช่วยย่อยอาหาร ใส่อิทผลัม อัลมอนด์ ลูกเกด เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ และเมล็ดแตงโม สูตรบำรุงสมอง สูตรนี้ขายดีเพราะเพิ่มโกโก้และกล้วย นุ่มๆ หอมๆ ฉ่ำลิ้นไปอีกขั้น และสูตรต้านมะเร็ง เอาใจคนชอบงาดำเพราะใส่ให้ไม่อั้น มีรสหวานจางๆ จากอินทผลัม ถ้าอยากเพิ่มรสชาติให้ปาดหน้าด้วยน้ำสลัดวีแกนเข้มข้นสูตรของร้าน       จะสูตรไหนก็ฟิน จึงควรชิมให้ครบ!

หลายคนอาจเดินผ่านตึกเก่าอายุเกือบ 100 ปีที่ถูกทิ้งร้างแห่งนี้โดยไม่รู้สึกสะดุดตา แต่คุณแมคกลับมองว่าที่นี่มีความพิเศษและเหมาะจะเป็นเซฟเฮาส์ของทุกคน จึงได้พลิกฟื้นพื้นที่ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยปรับชั้นบนให้เป็นโฮสเทล ส่วนด้านล่างเป็นร้านอาหารกาลเวลา และคาเฟ่ Buddha & Pals ทั้งหมดออกแบบให้ล้อไปด้วยกันในคอนเซ็ปต์กาลเวลา ถนอมรักษาร่องรอยในอดีตที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนประทับใจ             ส่วนอาหารนำเสนอสไตล์อิตาเลียนฟิวชันที่กินง่าย อาทิ Mushroom & Gorgonzola Pizza พิซซ่าแป้งบางกรอบสไตล์โรมัน โรยหน้าด้วยบลูชีสและเห็ดแชมปิญอง เมนูนี้จับคู่กับไวน์แดงจะเข้ากันมาก         Kanvela White Sea Bass Fillet สเต๊กปลากระพงชิ้นโต กริลล์พอสุกทั่วถึงเพื่อรักษาระดับความนุ่มนวลฉ่ำลิ้น เสิร์ฟพร้อมผักโขมผัดครีมและแอสพารากัส ก่อนกินบีบเลมอนเล็กน้อยช่วยตัดเลี่ยนและยังเพิ่มกลิ่นหอมชวนสดชื่น       Spaghetti Arrabbiata พาสตาที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ ผัดเส้นกับซอสมะเขือเทศรสชาติเปรี้ยวๆ เผ็ดปลายลิ้น กินแล้วสดชื่น       Avocado Tuna Salad สลัดชามโตที่ใส่เนื้อทูน่าเน้นๆ คลุกเคล้ากับสลัดร็อกเก็ต มะเขือเทศลูกเล็ก เพิ่มดีกรีความครีมมีด้วยอะโวคาโดหั่นชิ้นโตที่ใส่มาให้เต็มชาม       ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ Calm Rosie Tea รสหวาน หอมกลิ่นไซรัปกุหลาบ จิบเบาๆ ก็ชื่นใจ     ช่วงค่ำที่ความมืดโรยตัวปกคลุมด้านนอก ภายในร้านกลับคึกคักยิ่งขึ้นด้วยเสียงดนตรีแจ๊สและเหล่าผองเพื่อนที่นัดรวมตัวพูดคุย และดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรีที่ชื่นชอบ       โลกยังคงหมุนไป แต่ใครที่เดินเข้ามาที่นี่ ต่างก็อยากหยุดเวลาไว้ทั้งนั้น

แค่ผลักประตูไม้บานพับเข้ามาก็รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโรงน้ำชาในหนังจีนกำลังภายใน แต่ยังคงแฝงกลิ่นอายเก๋ไก๋ของคนยุคใหม่ที่รักศิลปะและวัฒนธรรมจีน เช่นเดียวกับชื่อร้าน “Fa Ka Fei” ที่นำคำว่า “ฟา” จาก “กงสี่ฟาไฉ” ที่แปลว่า “รุ่งเรือง” มาผสมผสานกับ “คาเฟย” หรือ “คาเฟ่” ได้อย่าลงตัว         คาเฟ่สไตล์จีนแห่งนี้สร้างสรรค์โดยเจ้าของร้านที่เติบโตในครอบครัวคนจีน อีกทั้งยังเป็นคอหนังกำลังภายใน ทำให้ที่นี่กลายเป็นโรงเตี๊ยมสุดเก๋ที่ผสมผสานความร่วมสมัยกับความวินเทจแบบคลาสสิกไชนีสไว้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ของสะสมจากบรรพบุรุษอย่างกรงนกโบราณอายุกว่าร้อยปี ไปจนถึงลวดลายภาพวาดเทพจีนบนกำแพงหลากหลายมุม นอกจากนี้บนชั้นสองยังเป็นอาร์ตแกลลอรีเล็กๆ ที่พร้อมเปิดพื้นที่ให้ศิลปินอิสระจัดแสดงงานได้อีกด้วย         ที่นี่เน้นเสิร์ฟเมนูชาจีนที่นำเข้าและคัดสรรอย่างดีจากประเทศจีน เราแนะนำช่วงเวลาแห่งชา เซตชาร้อนใส่กา (เราเลือกชาผู่เอ๋อร์กลิ่นหอมนุ่มนวล) เสิร์ฟพร้อมขนมเปี๊ยะเนื้อแน่นหอมหวาน และดาวเคลื่อนดาราคล้อย ชาอู่หลงที่เพิ่มความชื่นใจด้วยสมุนไพรจีนทั้งโปยกั๊กและเก๋ากี้ ใส่ฟักทองและเกาลัดเชื่อมเคี้ยวเพลิน       สำหรับคอกาแฟต้องลองสราญรมย์ เอสเปรสโซผสมไซรัปยูซุและลาเวนเดอร์ ดื่มแล้วชวนให้ใจผ่อนคลายสุดๆ ส่วนคนรักของหวานห้ามพลาดหยินหยาง ไอศกรีมรสงาดำและน้ำเต้าหู้ เพิ่มความอร่อยด้วยถั่วแดง พุทราจีน ลูกชิด และฟักทอง เสิร์ฟในวัฟเฟิลรูปหอยสุดน่ารัก หรือถ้ายังไม่อิ่มต้องลองไข่ทองคำ มันทอดกรอบคล้ายขนมไข่เต่า แต่สอดไส้เกาลัดและถั่วแดงกวนเพิ่มความอร่อย กินคู่กับวังบุปผา ความสดชื่นของโซดาและไซรัปกุหลาบผสมส้มมะปี๊ดที่ให้ความเปรี้ยวหวานชื่นใจในจิบเดียวแล้วแสนจะลงตัว        

หลังจากตั้งตารอคอยกันมานาน ในที่สุดร้าน Mil Toast House คาเฟ่ขนมปังสุดฮอตของเกาหลีก็มาเปิดสาขาในบ้านเรา ที่สยามสแควร์ ซอย 3 เป็นที่เรียบร้อย ความโดดเด่นต้องยกให้กับตัวร้านสองชั้นขนาดใหญ่และโลโก้ขนมปังอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา       สำหรับ Mil Toast House สาขาประเทศไทย ทางร้านยังคงความดั้งเดิมด้วยการใช้วัตถุดิบที่เหมือนกับประเทศเกาหลี แต่ปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทยขึ้นเล็กน้อย ในส่วนของการตกแต่งร้าน เลือกใช้โทนสีอุ่นและเฟอร์เจอร์ไม้เกือบทั้งหมด ดูน่ารักสบายตา เหมาะแก่การยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพสวยๆ สักใบ         เริ่มด้วยเมนูที่มาแล้วห้ามพลาดอย่าง Brioche Bread Ham & Corn (290.-) ซิกเนเจอร์ที่นำขนมปังไปนึ่งในซึ้งไม้ไผ่ จนได้สัมผัสนุ่มฟู ด้านในสอดไส้ข้าวโพดและแฮม รสชาติเค็มมัน หรือจะเลือกเป็นเมนูสุดพิเศษเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น อย่าง Brioche Bread Chocolate Nutella Marble (310.-) ตัวนี้ได้รสของนูเทลลาเต็มปากเต็มคำ เสริมด้วยความหอมของเนย เข้ากันได้ดี         ต่อด้วย Soufflé French Toast with Vanilla Ice Cream (365.-) ตัวโทสต์เหนียวนุ่ม ชุ่มฉ่ำไปด้วยเนย หอมกลิ่นเลมอนเบาๆ กินคู่กับไอศกรีมวานิลลา รสหวานละมุน อร่อยลงตัว       ต่อกันที่ Soufflé French Toast with Mont Blanc Cheese Mousse (405.-) ความพิเศษอยู่ที่ชีสมูสมองต์บลังค์เกาลัด รสชาติหวานมันกำลังดี กินกับตัวเฟรนช์โทสต์แล้วไม่เลี่ยน       Ham & Corn Bun (105.-) เมนูของคนรักข้าวโพด ด้านในของขนมปังสอดไส้ซุปข้าวโพด รสเค็มมัน ด้านบนเป็นข้าวโพดย่างเนย จับคู่กับ Signature Milk 5 Taste หรือนมซิกเนเจอร์ 5 สี ที่สามารถเลือกได้ ทั้งรสกล้วย รสสตรอเบอร์รี รสช็อกโกแลต รสเกาลัด และรสพีนัท         ส่วนเมนูเครื่องดื่มเราแนะนำ Almond Mocha (160.-) กาแฟดำรสเข้มข้น ท็อปมาด้วยครีมอัลมอนด์สูตรโฮมเมด โรยด้วยผงโกโก้ด้านบน หอมมันกลมกล่อม  

ชื่อของ Bora Bora นั้นเป็นที่รู้จักกันในนามของเกาะสวรรค์แห่งการพักร้อน เมื่อกลายเป็นชื่อของคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ใน ซ.หลานหลวง 8 แล้ว คาเฟ่แห่งนี้ก็เปรียบเสมือนพิกัดที่เปิดประตูให้ผู้มาเยือนได้ทุกคนเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจไปกับบรรยากาศที่แสนเป็นกันเอง รายล้อมไปด้วยมุมถ่ายรูปแบบมินิมัล พร้อมกันนั้นก็ได้เอ็นจอยกับเครื่องดื่มแก้วโปรดที่มีให้เลือกหลายหลายแบบ         ด้วยประสบการณ์ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ทำให้เจ้าของร้านทั้งสองคนนั้นจริงจังกับเรื่องเมล็ดกาแฟไม่น้อย โดยเมล็ดกาแฟในร้านนั้นใช้เป็นเมล็ดกาแฟนำเข้าแทบทั้งหมด อีกทั้งยังมีเบลนด์เฉพาะที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามฤดูกาลอีกด้วย         เริ่มต้นด้วยเมนูกาแฟแนวสร้างสรรค์อย่าง Sweet&Sour ที่เน้นดื่มง่าย ให้รสชาติหวานอมเปรี้ยว เพิ่มความสดชื่นในระหว่างวันได้เป็นอย่างดี       ต่อด้วย Dalgona Latte กาแฟดัลโกนาที่โด่งดังเป็นกระแสมาแล้วพักใหญ่ ซึ่งเป็นกาแฟนมรสชาติกลมกล่อมโปะมาด้วยแผ่นน้ำตาลเกาหลี หรือที่เราเรียกว่าดัลโกนา ซึ่งจะค่อย ๆ ละลายทีละนิดเพิ่มรสชาติหวานให้กับกาแฟแก้วนี้     อีกแก้วนั้นเป็นเมนูชาชื่อว่า Mixed fruite green tea เป็นชาเย็นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากร้านชานมไข่มุกชื่อดังในซิดนีย์ จุดเด่นอยู่ที่รสชาติเปรี้ยวนิดหวานหน่อยจากผลไม้ท้องถิ่นเข้าไป เช่น แตงโม เสาวรส และส้ม ได้ความสดชื่นแบบเต็มพิกัด     สำหรับใครที่อยากละเลียดกาแฟคลาสสิค สั่งลาเต้ร้อนที่มาพร้อมลาเต้อาร์ตสุดประณีตสักแก้วก็ดีเหมือนกัน     นอกจากเมนูเครื่องดื่มแล้ว ที่ร้านยังมีซอฟต์คุกกี้โฮมเมดหลากหลายหน้าตามาให้ลิ้มลองด้วย อย่างเช่น SMore Cookies และ Lemon Cookies ที่เป็นตัวเด็ดของร้านเลย    

ชวนเหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์ไปชาร์จพลังกันที่ Chivit Issara โฮมคาเฟ่ขนาดกะทัดรัดย่านบางพลี ที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ชวนให้รู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา โดดเด่นด้วยเมนูอาหารรสมือแม่กับขนมเค้กโฮมเมด ราคาสบายกระเป๋า ที่ใครได้กินเป็นต้องติดใจ         ชื่อร้าน Chivit Issara (ชีวิตอิสระ) มาจากเจ้ากระรอกที่คุณนุช ปิยวรรณ เจ้าของร้าน ได้พบโดยบังเอิญ ซึ่งน้องมักจะแวะเวียนมารออาหารที่บ้านของคุณนุชเป็นประจำ ทำให้เกิดความผูกพันธ์จนนำมาตั้งเป็นชื่อคาเฟ่บรรยากาศร่มรื่นแห่งนี้         เริ่มด้วย ข้าวแมวขโมย (65.-) เมนูของคาวที่เสิร์ฟปลาทูตัวใหญ่มาพร้อมข้าวผัดไข่ร้อนๆ เพิ่มความหอมด้วยผักชะอม แนะว่าก่อนกินให้บีบมะนาวลงบนข้าว รับรองว่าถูกใจคนชอบรสชาติจัดจ้าน       ต่อด้วย Strawberry Shortcake (85.-) สปันจ์เค้กเนื้อนุ่มฟู กินพร้อมครีมสดรสหวานกำลังดี ตัดเลี่ยนด้วยรสเปรี้ยวของสตรอว์เบอร์รีด้านบน อร่อยลงตัว       Basque Cheesecake (80.-) ชีสเค้กหน้าไหม้เนื้อเนียนละมุน กินแล้วละลายในปาก ท็อปมาด้วยสตรอว์เบอร์รีชิ้นโต รสหวานฉ่ำ       สายกาแฟต้องลอง Black Coffee Coconut (60.-) เอสเปรสโซรสเข้มข้น ผสานมากับน้ำมะพร้าวสด รสหอมหวาน เข้ากันได้ดี หรือจะเลือกเป็น เสาวรสโซดา (60.-) เมนูช่วยเติมความสดชื่น รสชาติหวานอมเปรี้ยว ดับร้อนได้ดีเลยล่ะ       นอกจากนี้ทางร้านยังรับรังสรรค์เค้กวันเกิด หน้าตาสวยงาม ใครที่กำลังมองหาร้านเค้กไปเซอร์ไพรส์คนที่คุณรัก สามารถสั่งล่วงหน้าได้ 2-3 วัน  

ใครคิดถึงเฟรนช์โทสต์ของคุณมู่-จักรทอง อุบลสูตรวานิช แห่ง Let Them Eat Cake ครั้งนี้เธอกลับมาแล้วกับ Maison Bleue ไลฟ์สไตล์คาเฟ่ในซอยเมธีนิเวศน์ (BTS พร้อมพงษ์) ที่ให้อารมณ์เหมือนได้นั่งอยู่ตามชานเมืองของฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยดอกลาเวนเดอร์           ใช่ว่าที่นี่จะมีแต่ขนมเท่านั้น คุณมู่ยังเซอร์ไพรส์เราด้วยเมนูคาวที่ตีความจากขนมหวานจานสวย รวมถึงยังมีกาแฟเบลนด์พิเศษจากโรงคั่ว XOXO อย่าง Monsieur และ Mademoiselle ที่มีให้ชิมเฉพาะที่นี่       เริ่มจานแรก Mademoiselle’s Pomelo Tart ทาร์ตส้มโอที่ได้ไอเดียจากเมนูแสนอร่อยประจำบ้านอย่างยำส้มโอฝีมือคุณแม่ ปรับสูตรให้กลายมาเป็นเมนูลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส แต่งหน้าด้วยคางกุ้งชุบแป้งทอด ได้ทั้งเนื้อสัมผัสกรุบกรอบและรสชาติเข้มข้นสดชื่น       Duck Breast “Ispahan” เมนูคาวที่คุณมู่ตีความจากขนมอีสปาอ็อง อกเป็ดซอสราสป์เบอร์รี เสิร์ฟกับราสป์เบอร์รีสด ผลลิ้นจี่นาบกระทะกับน้ำกุหลาบหอมๆ และมันฝรั่ง กลายเป็นจานคาวที่มีทั้งความเค็ม เปรี้ยว หวานลงตัว       Seared Foie Gras “Cérémonie” จานนี้สีสวย ฟัวกราส์นาบกระทะกินกับซอสสตรอว์เบอร์รี่ป่ารสเปรี้ยวสดชื่นวางบนขนมปังบริออชนาบกระทะ เคียงด้วยสตรอว์เบอร์รี่สดและเจลลีชามะลิ เลือกอิ่มได้ทั้งแบบ 1 ชิ้นและ 2 ชิ้น       และพลาดไม่ได้กับ Chocolate-Hazelnut Bostock  ช็อกโกแลต-เฮเซลนัตบอสสต็อก บริออชรสช็อกโกแลตทิ้งให้เก่าหนึ่งคืน ชุบน้ำเชื่อมโกโก้ ทาอัลมอนด์ครีมผสมพราลีเน่และ Mixed Berries Clafoutis คลาฟูตีเบอร์รี่รวมที่อร่อยไม่แพ้กัน รวมถึงเมนูอื่นที่รออยู่อีกเพียบ       ส่วนใครอยากสวมบทเชฟดูบ้าง ลองสั่งเมนูเดลิเวอรี่ DIY Brioche French Toast ที่คุณมู่เตรียมให้ขนมปังกับเนยสูตรพิเศษไว้ให้แล้ว การันตีว่าทำอย่างไรก็อร่อย

เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอร้านที่จริงจังเรื่องคัสตาร์ดและบอกว่าตัวเองเป็น “ร้านคัสตาร์ดแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย” เน้นคัสตาร์ดเป็นเมนูชูโรง จนเราต้องตามมาพิสูจน์รสชาติ กระทั่งได้ข้อสรุปว่า “คัสตาร์ดร้านนี้คือเดอะเบสต์”         ที่มาที่ไปของร้านเริ่มจากคุณมาย เจ้าของร้านที่หลงเสน่ห์รสชาติและความนุ่มนิ่มละลายในปากของคัสตาร์ด แต่กินที่ไหนก็ยังไม่ใช่แบบที่ชอบ จนต้องเข้าครัวลองทำลองชิมด้วยตัวเอง โดยมีครูยูทูปเป็นผู้สอน แล้วปรับสูตรจนตรงนิยามที่ตามหา “คัสตาร์ดเนื้อเนียนข้น หวานน้อย ไม่มีฟองอากาศ กินแล้วหายวับไปในปาก ไม่มีกลิ่นไข่ มีแต่กลิ่นวานิลลาหอมๆ ขึ้นจมูก”        จากนั้นจึงเริ่มทำขายในออนไลน์ซึ่งก็โด่งดังจนยั้งไม่หยุด จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดร้าน ซึ่งสิ่งแรกที่ทำให้เราประทับใจคือกลิ่นหอมๆ ของวานิลลา และแอบสังเกตเห็นเม็ดสีดำจิ๋วๆ แซมอยู่ในเนื้อขนม ซึ่งคุณมายบอกว่าเป็นเม็ดวานิลลาแท้ๆ จากเกาะมาดากัสการ์ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าดีที่สุดในโลก ไหนๆ ก็มาถึงร้านแล้ว เบอร์หนึ่งที่เราขอลองก่อนเพื่อนคือ Custard Sea Salt Caramel คัสตาร์ดหอมหวาน ราดซอสคาราเมลรสเค็มจางๆ ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว หรือจะเป็น Frozen Custard หรือคัสตาร์ดที่นำไปทำไอศครีม เนื้อจะหนุบหนับเหมือนไอศครีมโมจิ ถ้าอยากเพิ่มดีกรีความอร่อยอีกขั้นก็สั่ง Frozen Custard Jelly เราจะได้ละเลียดพร้อมกันทั้งเยลลี่เด้งๆ คัสตาร์ดเย็นๆ ราดด้วยนม Premium Milk ที่เป็นอีกเมนูขายดีของร้าน จะสั่งแยกมาดื่มก็ได้ ความพิเศษของนมแก้วนี้คือทางร้านเบลนด์ขึ้นมาเอง มีรสชาติเข้มข้นหวานมัน เข้นข้นขนาดที่ว่าอุ่นร้อนแล้ววางทิ้งไว้จะขึ้นหน้านมเป็นแผ่นให้ตักกินได้ถึง 2 รอบ ใครแพ้น้ำตาลแลคโตสในนมยิ่งไม่ต้องกังวลเพราะใช้เบสจากนม Lactose Free ทำให้ดื่มได้แบบไม่ต้องกังวลว่าจะท้องอืดท้องเสียเลย     ลูกค้าหลายคนยังมีวิธีกินสนุกๆ ที่เพิ่มความสุขใจ อย่างการนำคัสตาร์ดมาจับคู่กับเมนูอื่นๆ เช่น เป็นสเปรดกินกับครัวซองต์ที่เราลองแล้วว่าเข้ากันสุดๆ นอกจากคัสตาร์ดที่เป็นพระเอก ที่นี่ยังมัดรวมเมนูเด็ดๆ ไว้ด้วยกันมากมาย อาทิ สโคน วัฟเฟิล โชกุปัง แยม รวมถึงเครื่องดื่มสุดฮอตที่สั่งมาฟินได้ไม่ซ้ำ     เริ่มที่ครัวซองต์ทางร้านใช้เนยแท้ ทำออกมาได้ชิ้นปุ๊กปิ๊กกำลังดี โดยส่วนตัวเราชอบกินครัวซองต์ต้นตำรับที่ไม่ปาดหน้าด้วยอะไรเลย แต่พอมาร้านนี้ลองบิแล้วจุ่มลงในถ้วยคัสตาร์ด หรือจะเอาช้อนตักคัสตาร์ดแล้วปาดไปบนครัวซองต์ก็อร่อยไม่แพ้กัน ครัวซองต์อุ่นๆ กรอบๆ จับคู่กับคัสตาร์ดนุ่มๆ เย็นๆ เข้ากันที่สุด ส่วนวัฟเฟิล แป้งเหนียวนุ่มได้รสสัมผัสไม่เหมือนใคร กินเปล่าๆ ก็อร่อยเพราะใช้เนยแท้เช่นเดียวกัน       ยังมีโชกุปัง บิ๊กปังแป้งนุ่มชิ้นโตๆ ให้เลือกอีก 2 แบบ แบบแรกเรียกพี่เสือ ปังก้อนนี้ใช้เวลาทำถึง 2 วัน เพราะประกอบด้วยแป้งที่ขึ้นรูปไว้ 52 ชิ้นย่อย ทำให้ต้องใช้เวลาทำนานมาก แต่อร่อยคุ้มค่าการรอคอยจริงๆ อีกชนิดเรียกพี่ขาว ปังขาวก้อนโตปั้มโลโก้ Hungry Me สุดน่ารัก ทำจากแป้งข้าวสาลีคุณภาพดีจากญี่ปุ่น เป็นแป้งไม่ขัดสี ทำให้ขนมปังหอมและเหนียวนุ่มมาก กินเปล่าๆ ก็ฟิน       ของดีถัดมาคือแยมผลไม้โฮมเมด ใส่เนื้อผลไม้มากถึง 75% น้ำตาลน้อย ผ่านการพาสเจอไรซ์มาอย่างดี กินคู่กับเบเกอรี่หรือจะเอาไปฟรีซแล้วกินเป็นไอศครีมก็ดีงามจนต้องติดตู้เย็นไว้เป็นประจำ       สำหรับคนรักสโคน แนะนำ The scone way สโคนในถ้วยกาบหมาก เนื้อฉ่ำเนย อบพร้อมกับถ้วยกาบหมากรักษ์โลกจากชุมชนบ้านโฮมฮักจังหวัดตาก สโคนของที่นี่จึงมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เวลากินนำไปดิปกับนมร้อนและแยมจะเข้ากันมาก        วัฟเฟิลครีมอัลมอนด์ วัฟเฟิลอุ่นๆ กินกับครีมอัลมอนด์เย็นๆ โรยด้วยอัลมอนด์คั่วหอมๆ กัดตรงไหนก็ละมุนไปหมด       ส่วนเครื่องดื่มต้องแก้วนี้ Custard coffee กาแฟอเมริกาโนท็อปปิ้งด้วยคัสตาร์ดพุดดิ้ง รสชาติหวานขมเข้ากันสุดๆ คนที่ไม่ดื่มกาแฟก็มี Custard tea latte เป็นคัสตาร์ดพุดดิ้งท็อปปิ้งบนชานมสูตรพิเศษของทางร้าน ได้คนละฟีลแต่อร่อยไม่น้อยหน้ากัน       ด้านสาวกชานมต้องยกนิ้วให้ ชานมไข่มุก นอกจากจะใช้นมพรีเมียมของทางร้านแล้ว ไข่มุกยังเป็นบุกบราวน์ชูการ์ที่ให้แคลอรี่น้อยแถมอร่อยกว่าเดิม ส่วนชาจะใช้ใบชาดำจากไต้หวันซึ่งมีกลิ่นหอมมาก ความเข้มข้นของนมทำให้เครื่องดื่มอร่อยแทบไม่ต้องใส่น้ำตาล ใครชอบหวานน้อยไม่ผิดหวัง       ปิดท้ายด้วย Eldorado เยลลี่แอ็ปเปิ้ลสุดคิ้วท์ในแก้วเบียร์ บนแก้วมีฟองนุ่มอร่อยทำจากเยลลี่แอ็ปเปิ้ลก่อนกินต้องทำท่าเก๋ๆ เรียกแขก จะสาดเพื่อน หรือคว่ำเล่นก็ได้ไม่มีหก แก้วนี้อิ่มจุกเพราะมีคอลลาเจนเยอะมาก     ยกให้เป็นที่สุดของร้านคัสตาร์ด ที่มัดรวมแต่ของอร่อยไว้ด้วยกันจริงๆ

บริเวณสี่แยกราชเทวีที่แสนคึกคักด้วยรถราที่แล่นกันขวักไขว่ ตรงหัวมุมหนึ่งจากถนนพญาไทที่เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเพชรบุรี มีคาเฟ่เล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า SecondDecember ตั้งอยู่ เสมือนเป็นมุมเล็ก ๆ ให้เข้าไปพักผ่อนหย่อนใจ และเติมเต็มความสุขด้วยอาหารและเครื่องดื่มหลากเมนู       อาหารในร้านจะมีทั้งเมนูคาวหวานที่คุ้นเคยทั้งไทยและเทศ ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ เบเกอรี่ อาหารเช้า หรือเมนูคอมฟอร์ทฟู้ด นำมาปรับนิดผสมหน่อยใส่ความสร้างสรรค์ลงไปจนกลายเป็นเมนูสุดแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง         เริ่มต้นด้วย สปาเกตตีเบคอนผัดน้ำมันมะกอกพริกแห้ง เมนูสไตล์อิตาเลียนที่ไม่เลี่ยนด้วยความเผ็ดเบา ๆ จากพริกแห้ง เข้ากันดีความเส้นสปาเกตตีเหนียวนุ่มและเบคอนรสชาติกลมกล่อม     ยังอยู่กับเมนูเส้นเหมือนเดิมกับอีกเมนูอิตาเลียนคลาสสิค สปาเกตตีโบโลเนส ซอสมะเขือเทศหมูสับที่ใคร ๆ ก็รู้จักและชื่นชอบ เข้มข้นด้วยมะเขือเทศที่มาพร้อมกลิ่นหอม ๆ แสนลงตัว     อีกหนึ่งเมนูเส้นที่เป็นซิกเนเจอร์น่าลองของร้านก็คือ สปาเกตตีคาโบซอสเผ็ดไข่ออนเซ็น ที่จับเอาคาโบนารามาเพิ่มรสชาติให้เผ็ดถูกปากคนไทยมากขึ้น และเพิ่มความกลมกล่อมด้วยไข่ออนเซ็น     ปิดท้ายด้วยเมนู ข้าวไข่ข้นต้มยำหมูสับพริกแห้ง จานใหญ่ เสิร์ฟมาในรูปแบบของข้าวสวยร้อย ๆ โปะไข่ข้นขนาดจุใจ เพิ่มรสชาติเผ็ด เปรี้ยว และเค็มของต้มยำหมูสับพริกแห้ง บีบมะนาวลงไปนิดหน่อยก็จะได้ความเปรี้ยวและกลิ่นหอม ๆ เพิ่มความสมบูรณ์แบบให้อาหารจานนี้อย่างลงตัว     สำหรับเมนูเครื่องดื่มที่ไม่ควรพลาด แนะนำให้ลอง สตรอว์เบอร์รี่โยเกิร์ตสมูทตี้ สีชมพูดูน่ารับประทาน ให้รสชาติหวานอมเปรี้ยวอย่างลงตัว เพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี     SecondDecember Cafe ยังพร้อมเสิร์ฟความอร่อยผ่าน Lineman ได้ด้วยนะ

หลังจากพักการทำโฮมสเตย์ในชั้นบน Remedy Stay and Café จึงปรับเปลี่ยนมาเป็น “Remedy Coffee Roastery” คาเฟ่น่านั่ง (กว่าเดิม) ที่พร้อมเสิร์ฟกาแฟดีที่จะช่วยเยียวยาจิตใจที่อ่อนล้า รวมทั้งเป็นสถานที่ลับๆ บนถนนดำรงรักษ์ที่เหมาะมาพักผ่อนหย่อนใจจากชีวิตประจำวันแสนวุ่นวายของใครหลายคน       ไม่เพียงบรรยากาศสไตล์โฮมมี โทนสีขาวและน้ำเงิน ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้ความอบอุ่นสบายใจ ไปจนถึงโซนริมคลองด้านหลังร้านที่สามารถนั่งชมวิวภูเขาทองและเรือที่สัญจรแล่นผ่านไปมา รวมทั้งเสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงของสะสมของเจ้าของร้านที่เปิดเคล้าคลออย่างรื่นรมย์จะช่วยเยียวยาใจได้เป็นอย่างดีเท่านั้น แต่ที่นี่ยังให้ความสำคัญกับกาแฟคุณภาพดีที่คัดสรรจากหลากหลายแหล่ง โดยเฉพาะเมนูซิกเนเจอร์ที่ใช้กาแฟจากดอยขุนช่างเคี่ยน จังหวัดเชียงใหม่ให้รสชาติออกฟรุตตี้ หอมคาราเมล เบลนด์กับกาแฟบราซิล หอมถั่วและเฮเซลนัต รวมทั้งกาแฟจากปางขอน จังหวัดเชียงรายที่ให้รสชาติโทนช็อกโกแลตหอมกลมกล่อมซึ่งเหมาะกับกาแฟนม         เราแนะนำ Dirty ริสเทรตโตเข้มข้นราดบนนมสดเย็นสูตรพิเศษของร้านที่ผสมใหม่ทุกแก้วและแช่เย็นไว้เพื่อความอร่อยกลมกล่อม และ Breezy Passion Remedy Signature ความสดชื่นของเสาวรสคั้นสดผสมน้ำผึ้งและโซดา ราดดับเบิลเอสเปรสโซช็อตเข้มๆ ที่ใช้กาแฟขุนช่างเคี่ยน       สำหรับคนรักของหวานต้องลอง Lemon Cheese Pie เลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวอมหวานตัดด้วยครีมชีสหอมมัน ท็อปด้วยรังผึ้งหอมหวาน เลมอน สตรอว์เบอร์รี และบลูเบอร์รีสด และ Blueberry Cheese Pie ทีเด็ดอยู่ที่การใช้บลูเบอร์รีสดวางอัดแน่นบนหน้าชีสพาย ราดซอสบลูเบอร์รีโฮมเมดเปรี้ยวหวานกำลังดี       ส่วนใครเป็นสาวกมินต์ช็อกห้ามพลาด Mint Chocolate Chip Frappe นมมินต์ปั่นกับช็อกโกแลตชิปหอมหวานเย็นสดชื่นกำลังดี สั่งมาพร้อมเมนูใหม่ Mint Chocolate Chip Cake เค้กมินต์ช็อกโกแลตเนื้อนุ่มหอมมินต์ยิ่งอร่อยเพลิน    

เติมความอบอุ่นให้หัวใจด้วย Maison B (เมซง-เบ) คาเฟ่น่ารักไซส์กะทัดรัด บนถนนเจริญนคร ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟและเบเกอรี่อบสดใหม่ พร้อมต้อนรับเหล่าคนที่หลงใหลในของหวาน ให้มาใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกัน       ภายในเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลัก ซึ่งตัดกับกำแพงสีขาวคลีนที่ตกแต่งด้วยบรรดากรอบรูป ของเก่าสะสมและดอกไม้แห้งอยู่ทุกมุมร้าน เสริมความอบอุ่นด้วยแสงธรรมชาติที่ลอดผ่านผ้าม่านสีขาวเข้ามาด้านใน ชวนให้รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย     ทางร้านเน้นเสิร์ฟเบเกอรี่โฮมเมดเป็นหลัก ซึ่งจะสลับเปลี่ยนกันไปไม่ซ้ำในแต่ละวัน เมนูแรก Cinnamon Apple Crumble with Vanilla Ice Cream (140.-) พายแอปเปิ้ลเนื้อฉ่ำ หอมกลิ่นชินนามอน ที่เพิ่มความกรุบกรอบด้วยครัมเบิ้ล กินพร้อมไอศกรีมวานิลลารสหวานละมุน เข้ากันได้อย่างลงตัว     ต่อด้วย Chocolate Soufflé (110.-) ทางร้านจะให้เราเติมนมลงไปในถ้วยช็อกโกแลตจนฟองขึ้นฟูลอยขึ้นมาเหนือแก้ว พอยกดื่มแล้วฟองนมจะติดริมฝีปาก เป็นเมนูซิกเนเจอร์แสนน่ารักที่ไม่ควรพลาด     หรือจะเลือกเป็น Tiramisu (120.-) ทีรามิสุเนื้อนุ่มฟู ที่กินคำแรกก็ได้รสชาติของกาแฟสุดเข้มข้น เนื้อสัมผัสเบา หอมมันกลมกล่อม จับคู่กับ Kahlua Moonlight (120.-) ลาเต้เย็นจากเมล็ดกาแฟคั่วกลางของดอยสะเก็ต ท็อปด้วยไอศกรีมรสกาแฟหวานมัน กลมกล่อม       ปิดท้ายด้วยความสดชื่นของ Mojito (90.-) เครื่องดื่มที่ได้ความซาบซ่าของโซดา รสชาติเปรี้ยวหวาน หอมกลิ่นใบมิ้นต์ชื่นใจ  

เมื่อเอ่ยถึง Wonderland แล้ว นึกถึงอะไร? หนึ่งในนั้นต้องมีการ์ตูน Alice in Wonderland ขึ้นมาในหัวแน่ ๆ และก็ต้องบอกว่าการ์ตูนสุดคลาสสิคนี้เองก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เกิดร้านอาหาร Secret Wonderland แห่งนี้ขึ้นมาอยู่เคียงคู่กับโรงแรม Bangkok Oasis บนถนนพระราม 6       ดินแดนลึกลับชวนฝันนี้ซุกซ่อนตัวอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ น้ำตกขนาดย่อม และหมอกควันจาง ๆ ส่วนภายในนั้นเต็มไปด้วยข้าวของแอนทีค รวมทั้งพื้นตารางหมากรุก และโคมไฟแบบห้อยหัว ที่ให้บรรยากาศราวกับหลุดเข้าไปในโลกของการ์ตูน และด้วยหน้าต่างขนาดใหญ่ที่เปิดโล่ง ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ได้รับลมเบา ๆ ในขณะที่นั่งรับประทานอาหารจานเด็ดของร้านไปพร้อม ๆ กัน       เมนูอาหารของร้านมาในรูปแบบของอาหารไทยฟิวชั่นเน้นความพิเศษของวัตถุดิบ เริ่มต้นด้วยเมนู ข้าวผัดกะเพราเสิร์ฟพร้อมกับล็อบสเตอร์ ที่ได้เนื้อสัมผัสแน่นหวานฉ่ำของล็อบสเตอร์เต็มคำเข้าคู่กับข้าวผัดกะเพรารสจัดจ้านตามแบบฉบับอาหารไทย โรยหน้าด้วยใบกะเพราทอดกรอบ     เมนูข้าวจานต่อมาคือ ข้าวผัดกระเทียมเสิร์ฟพร้อมเนื้อออสเตรเลียวากิว ย่างระดับกึ่งสุกกึ่งดิบได้ความหอมนุ่มจากเนื้อที่เป็นเอกลักษณ์ เพิ่มรสชาติความเป็นไทยเข้าไปด้วยน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ด     ปิดท้ายของคาวด้วย ยำวุ้นเส้นอัญชันกุ้งแม่น้ำ ที่จัดเต็มกับกุ้งแม่น้ำเนื้อหวานตัวโต ๆ  2 ตัว เข้ากับรสชาติของน้ำยำรสเปรี้ยวหวานและเผ็ดนิด ๆ กำลังดี และวุ้นเส้นสีม่วงเส้นเหนียวนุ่ม กินได้เพลิน ๆ     สำหรับเมนูเครื่องดื่มของร้านนั้นต้องยกยิ้วให้กับความสร้างสรรค์ เริ่มต้นด้วย สมูตตี้มะม่วงเสาวรส ที่เพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดีด้วยความหวานหอมของเนื้อมะม่วง เข้ากับความเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดของเสาวรส ส่วนเมนูกาแฟเย็น ๆ ลองเป็น ลาเต้ 3D ที่น่ารักกว่าใครด้วยฟองนมสามมิติ ที่ชาวอินสตาแกรมเมอร์จะต้องถูกใจแน่นอน       นอกจากนี้แล้ว Secret Wonderland ยังให้บริการ Chef Table สุดเอ็กซ์คลูซีฟด้วย หรือถ้าอยากมีมื้ออาหารสุดพิเศษที่บ้าน ก็สามารถสั่งผ่านแอปพลิเคชั่น Lineman และ Robinhood ได้เช่นกัน

หากอยากนั่งชิลในคาเฟ่สไตล์เกาหลีที่อบอุ่นแบบมินิมอลและค่อนข้างเป็นส่วนตัว แนะนำ Eattention Please ซอยจุฬา 50 ที่วันนี้เป็นคอมมูนิตี้ที่รวมพลของนักเรียน นักศึกษา และคนทำงานในยานนี้ที่มักหลบความวุ่นวายภายนอกมานั่งอ่านหนังสือ พูดคุย รวมถึงฝากท้องกับอาหารและเครื่องดื่มแสนอร่อยได้ทั้งวัน       ในร้านจัดสรรพื้นที่ทั้ง 3 ชั้นสำหรับกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างลงตัว โดยชั้นล่างเป็นคาเฟ่ เรียบง่าย นั่งสบาย ชั้น 2 เป็น Co-Working Space กว้างขวางเหมาะกับกิจกรรมสุดชิล  ไม่ว่าจะนั่งกินหรือเอนกายอ่านหนังสือ ส่วนชั้น 3 เป็นสตูดิโอ จุดรวมพลของคนรักงานศิลป์ที่หมุนเวียนมาจัดแสดงงานหลากหลายแขนง           สำหรับอาหารจะเป็นการผสมผสานจานเด็ดทั้งไทย เกาหลี และญี่ปุ่น ที่ดูเรียบง่ายแต่เข้าถึงหัวใจสายกินที่สุด อาทิ ข้าวไข่ข้นกระเพรากุ้ง ข้าวนุ่มหอม ออนท็อปด้วยไข่ข้นและผัดกระเพรารสจัดจ้าน ใส่กุ้งพูนจานแทบมองไม่เห็นข้าวด้านล่าง       ข้าวเบคอนซอสญี่ปุ่น เป็นเมนูที่เสิร์ฟถึงโต๊ะก็ได้กลิ่นหอมๆ ของซอสญี่ปุ่นที่กระตุ้นน้ำย่อยให้ตื่นตัว เบคอนแผ่นบางผิวกรอบ ฉ่ำซอสญี่ปุ่นรสเค็มหวาน สมทบด้วยสาหร่ายอบกรอบและงาขาวคั่วหอมๆ ยิ่งเคี้ยวยิ่งฟินเหมือนสั่งตรงมาจากญี่ปุ่นจริงๆ       สปาเก็ตตี้เบคอนผัดพริกแห้ง เส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่ม ผัดคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง รสชาติกลมกล่อม ออกเผ็ดนิดๆ จากพริกแห้งช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร     มาม่าเกาหลีกุ้ง เสิร์ฟในหม้อทองเหลืองสไตล์เกาหลี แค่เห็นก็หิว กินคนเดียวก็ฟิน แบ่งกันกินก็เพลิน         ถัดมาเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งร้านนี้มีเมนูไฮไลท์หมุนเวียนมาให้เอ็นจอยเยอะมาก อาทิ Orange Black Coffee กาแฟอเมริกาโน่ช็อตสุดเข้ม ตามด้วยน้ำส้มสด จิบแรกจะได้รสสัมผัสเปรี้ยวๆ หวานๆ แล้วตามด้วยรสเข้มขมของอเมริกาโน่ จิบแรกก็จี๊ดเลย       Thai Tea แก้วนี้มอบแด่คนรักชาไทย รสชาติกลมกล่อม หวานมัน หอมกลิ่นชาไทยทุกครั้งที่จิบ       Fruity Ice Tea ชาเอิร์ลเกรย์ผสมน้ำผึ้งมะนาว เพิ่มกลิ่นหอมด้วยไซรัปพีชและกุหลาบ แก้วนี้เหมาะจับคู่กับ Falling in Love เมนูสุดโรแมนติกจากส่วนผสมของไซรัปกลิ่นกุหลาบ ท็อปด้วยลิ้นจี่ หอมหวานอมเปรี้ยว จิบเดียวชื่นหัวใจ       ปิดท้ายด้วย Ginger Honey Lime Soda เมนูสู้ร้อนที่มาพร้อมกลิ่นขิงหอมๆ ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า     ถ้าคิดถึงบรรยากาศของคาเฟ่สไตล์เกาหลี ที่นี่ตอบโจทย์มาก  

แม้สถานการณ์ไวรัสในปีนี้จะรุนแรงจนทำให้ร้านแรกบนถนนข้าวสารต้องปิดไป แต่แฟนๆ ของ “เสน่ห์” ร้านขนมไทยร่วมสมัยขวัญใจคนรักของหวานยุคนี้ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะตอนนี้เสน่ห์เปิดบ้านใหม่ใจกลางซอยอิสรภาพ 21 ในสไตล์โฮมคาเฟ่น่านั่งสบายตาที่มาพร้อมบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง และเหมาะกับการจัดเวิร์กช็อปสอนทำขนมไทยมากขึ้น       โดย คุณหนุ่น เจ้าของร้านปรับเปลี่ยนบริเวณโรงรถหน้าบ้านให้กลายเป็นพื้นที่ของคนรักขนมไทย ทั้งนักชิมและนักเรียนที่อยากรู้และอยากลองทำขนมไทยโบราณ แต่ใส่ไอเดียให้น่ารักน่ากิน ดูเข้าถึงง่าย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของเสน่ห์ รวมทั้งเพิ่มเติมเมนูขนมที่เหมาะสำหรับสั่งเดลิเวอรีหรือซื้อกลับบ้าน อาทิ อาลัว โสมนัส และกลีบลำดวน         ด้วยความหอมหวานชวนชิมที่มองแล้วละลานตาเลือกไม่ถูก เราแนะนำให้สั่ง เสน่ห์ Signature Set เมนูซิกเนเจอร์ที่รวมความอร่อยของขนมยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นเปียกปูนเผือก ทองเอก เสน่ห์จันทร์ สัมปันนี อาลัวดอกไม้ ขนมต้มไส้กะฉีก และเมนูสุดเก๋ที่นำมาตีความใหม่ให้ออกมาหน้าตาน่ากินกว่าเดิม ทั้งบุหลันดั้นเมฆ แป้งนุ่มหนึบ หยอดสังขยาเพิ่มความหวานมัน ขนมเหนียวเสียบไม้แบบดังโงะ ราดคาราเมลน้ำตาลมะพร้าว โรยข้าวพองกรุบกรอบ และขนมถ้วยไข่ดาวสีเขียวสวย หอมใบเตย เติมกะทิสดและสังขยาสีเหลืองนวลให้เหมือนไข่ดาวแสนน่ารัก                   ส่วนใครอยากแวะมาจิบเครื่องดื่มเบาๆ เติมความสดชื่น ที่นี่ก็มี Sane Cocoa & Coco ดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้น ใส่นมและน้ำตาลมะพร้าวเพิ่มความหอมหวานกลมกล่อม และ Sane Cold Brew Coffee กาแฟดริปเย็นใส่น้ำตาลมะพร้าว แก้วนี้ก็หอมหวานมี “เสน่ห์” ไม่แพ้กัน    

ยกให้เป็นพื้นที่แห่งความสบายใจ สำหรับร้านบ้าน บ้าน 34 Home Cafe คาเฟ่ที่เหมาะแก่การ ไปนั่งเล่น จิบเครื่องดื่มและกินขนมรสอร่อย ในราคาสบายกระเป๋า โดดเด่นด้วยบรรยากาศสุดร่มรื่นจากบรรดาต้นไม้นานาชนิด ชวนให้รู้สึกสดชื่น อบอุ่นเหมือนได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อน       ทางร้านเน้นเสิร์ฟอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด อาทิ เมนูอาหารเช้า อาหารกินเล่น ขนมปังหลากหลายรสชาติ และเครื่องดื่มมากกว่า 20 ชนิด เราเลือกเป็น ปังเยิ้ม (59.-) ขนมปังเนื้อนุ่มท็อปมาด้วยชีส เบคอนและไข่เยิ้มๆ จับคู่กับเครื่องดื่มสุดสดชื่นอย่าง มะกรูดโซดา (55.-) รสเปรี้ยมอมหวาน เข้ากันอย่างลงตัว     ต่อด้วย สังขยาทูโทน (39.-) ขนมปังปิ้งหั่นชิ้นพอดีคำ เสิร์ฟพร้อมสังขยาใบเตยและสังขยาชาไทย หอมหวาน รสชาติกลมกล่อม     ของคาวต้องไม่พลาด สปาเกตตีไก่กรอบซอสกะเพรา (89.-) เส้นสปาเกตตีเหนียวนุ่มคลุกเคล้ามากับซอสกะเพรารสจัดจ้าน กินพร้อมเนื้อไก่ ที่ทอดมาได้กรอบกำลังดี อร่อยอิ่มท้อง     ปิดท้ายด้วย ชาไทย (45.-) สูตรพิเศษที่ผสมผสานตัวชาหลากหลายชนิด ออกมาได้รสชาติกลมกล่อม หอมกลิ่นดอกไม้ หรือจะเลือกเป็น Black Ginger (65.-) ที่ดื่มแล้วจะได้ความเข้มข้นจากเอสเปรซโซช็อต และความซ่าของจินเจอร์เอล บวกกับความเปรี้ยวเล็กน้อยของเลมอน สดชื่น ตาตื่นไปทั้งวัน