รับไม้ต่อจาก Philippe Restaurant ร้านอาหารฝรั่งเศสไฟน์ไดน์นิ่งรุ่นเก๋าได้อย่างสวยงามจริงๆ สำหรับ “Maison Philippe” ตำนานบทใหม่ของพ่อครัวรุ่นใหญ่อย่าง Philippe Peretti เชฟชาวฝรั่งเศสที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์การทำอาหารยาวนานกว่า 20 ปี ทั้งจากสถาบันการทำอาหารชั้นนำจากประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ ก่อนตระเวรเดินทางไปหาความรู้เรื่องอาหารจากทั่วทุก ทั้งเมืองนิยอร์ก เกาะฮาวาย อิสราเอล จีน ดินแดนอาทิตย์อุทัย ก่อนจะตัดสินใจมาลงหลักปักฐานที่ประเทศไทยในที่สุด ในส่วนของ Maison Philippe ที่ตั้งอยู่ในโครงการ Living At Citi Resort (สุขุมวิท 39) เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสรสดั้งเดิมที่มีทั้ง All Day Breakfast จานอร่อยอาละคาร์ต และเซ็ตเมนู เสิร์ฟมาในบรรยากาศสบายๆ สไตล์บิสโทรเข้าถึงง่าย พื้นปูนเปลือบดิบเท่เข้าคู่ผนังสีเทาที่ถูกแซมด้วยภาพเพนท์หลากสีสันของศิลปินไทย มีผนังกระจกใสกว้างที่เห็นครัวเปิดมองดูเชฟทำงานเพลินๆ ตา แถมยังมีโซน Grocery ของอร่อยสูตรเด็ดของเชฟอย่าง เบเกอร์รีอบสดใหม่ ซอสพาสตา ซุป สตู ให้ซื้อฝากคนที่บ้านได้อีกด้วย เริ่มต้นชิมที่เมนูตัวดังอย่าง Onion Soup in Puff ซุปหัวหอมสไตล์ฝรั่งเศส ที่เปี่ยมด้วยรสชาติกลมกล่อมของหัวหอมคาราเมล เห็ดชิโรลล์และไก่รมควันเนื้อแน่น เพิ่มรสหอมมันด้วยชีสกงเต้รสถั่วชั้นดี กินคู่แป้งพัฟฟ์โฮมเมดเนื้อนุ่มฟู หอมกลิ่นเนย ต่อด้วยจานอร่อยที่ได้ใจสายเนื้อ Beef Steak with French Fries and Green Salad เสต็กเนื้อมีเดียมแรร์ชุ่มฉ่ำ ราดซอสกระเทียมพริกไทยรสเข้มข้นลงไปสักหน่อย เสิร์ฟเคียงหัวหอมคาราเมล มันฝรั่งทอดร้อนจี๋ และสลัดผักสดชื่น Tomato with Pork Stuffing and Pesto เนื้อหมูนุ่มฉ่ำใน ไปด้วยกันได้กับรสซุปมะเขือเทศรสเปรี้ยวละมุน และซอสเพสโต้โฮมเมดหอมๆ เสริมความอิ่มเอมด้วยข้าวผัดหอมกลิ่นกระทะ Chicken & Mushroom Vol au Vent แป้งพัฟฟ์เนื้อฟูสไตล์ฝรั่งเศส ราดด้วยซอสครีมรสหอมมัน ที่ทำจากไก่เนื้อนุ่มและเห็ด ตามมาติดๆ กับ Seafood Gratin กราแต็งร้อนๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสหวานปนหอมมันของชีสยืดเยิ้มและซีฟู้ดเนื้อสดเด้งอย่าง ล็อบสเตอร์ ปลาหมึก กุ้งและหอยเชลล์ ในส่วนของขนมต้องนี่เลย Apple Tart แอปเปิ้ลทาร์ตหอมกรุ่น รสเปรี้ยวอมหวาน เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาโฮมเมดสุดฟินและครัมเบิ้ลกรุบกรอบ ขาดไม่ได้กับ Creme Brulee ที่หอมกลิ่นน้ำตาลเบิร์นไฟมาแต่ไกล ตักกินพร้อมตัวเนื้อนิ่มเด้งยิ่งได้ใจสายหวาน

อีกหนึ่งความน่าสนใจของ Café Claire คือความแกลมที่สะท้อนออกมาจากมวลโดยรวมของห้องอาหารแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น อาหารฝรั่งเศสสุดสร้างสรรค์ที่พร้อมเสิร์ฟตลอดวัน ผนวกกับบรรยากาศภายในร้านที่ปลอดโปร่งและอบอวลไปด้วยพลังงานบวกชวนผ่อนคลาย แม้จะอยู่ใจกลางเมืองก็ตาม ที่ Oriental Residence Bangkok ถนนวิทยุ ซึ่งการผ่อนคลายที่ว่าจะไม่บรรลุผลหากคุณพลาดการดื่มชาพรีเมียม จาก TWG พร้อมเพลิดเพลินไปกับศิลปะการทำอาหารสไตล์ฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมที่บรรจงปรุงแต่งและขับเน้นรสชาติอย่างพิถีพิถันให้ออกมามีสไตล์เป็นของตัวเอง กระตุกต่อมอยากอาหารด้วย Burrata Salad ชีสบูร์ราตาชิ้นใหญ่ที่ทำจากนมวัว มีความครีมมี่และเค็มมัน วางมาบนสลัดร็อกเก็ต เสริมรสชาติด้วยเพสโตซอส และมะเขือเทศแฮร์ลูมจากเชียงใหม่ ช่วยให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี ต่อด้วยอีกหนึ่งเมนูเรียกน้ำย่อยสุดหรูของฝรั่งเศสอย่าง Escargots หอยทากจากฝรั่งเศสเสิร์ฟเป็นทาปาสขนาดพอดีคำ อบจนสุกพร้อมกับเนยและพาร์สลีย์ซอส ให้รสสัมผัสนุ่มหนึบยิ่งกินคู่กับขนมปังกระเทียมกรอบๆ เข้ากันได้ดีมาก อิ่มท้องเพิ่มขึ้นด้วย Scallops Risotto ข้าวริซอตโตผัดกับหญ้าฝรั่น ปรุงรสอย่างเบามือตามแบบฉบับดั้งเดิม มีความหอมหวานอร่อย กินคู่ฮอกไกโดสแกลอปและพาร์เมซานชีสที่ท็อปมาด้านบน อร่อยลงตัว มาถึงจานหลักอย่าง Australian Lamb Racks ซี่โครงแกะย่างหอมกลิ่นสโมกเสิร์ฟในระดับมีเดียม กินคู่ถั่วหวานซอเต มันฝรั่งฟองดองต์หอมกลิ่นเนย  และหอมแดงตุ๋นในซอสบัลซามิก ส่วนของหวานต้อง Brioche French Toast ซิกเนเจอร์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ด้วยความกรอบนอกนุ่มในของขนมปังบริออช หอมกลิ่นเนยและซินนามอน มีความกรอบจากน้ำตาลที่เคลือบอยู่ด้านนอก ตัดรสหวานด้วยความเปรี้ยวจากผลไม้สด ไม่ว่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี ส้ม และกีวี่ บอกเลยว่าห้ามพลาด เป็นอีกหนึ่งมื้อที่ทำให้อิ่มท้องพร้อมอิ่มใจ

บนถนนสาทรที่มากด้วยเชฟระดับตำนานและร้านอาหารชื่อดัง คงต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของร้าน Maison Dunand มามากไม่น้อย ร้านอาหารฝรั่งเศสที่นำเสนออาหารแบบไฟน์ไดนิงที่ครอบครองดาวมิชลินสตาร์ 1 ดาวเป็นที่เรียบร้อย ผลงานโดย เชฟอาร์โนด์ ดูนองด์ โซทิเยร์ (Chef Arnaud Dunand-Sauthier) ผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารมากว่า 25 ปี ภายในรั้วเดียวกันกับร้าน Maison Dunand เชฟอาร์โนด์ได้เปิดบ้านหลังใหม่! อย่าง Alpea บ้านไม้โอ๊กสไตล์ฝรั่งเศส ที่มอบความอบอุ่นให้กับแขกที่เข้ามาเยือน ผ่านเมนูความทรงจำตอนวัยเด็กที่อาศัยอยู่ในชาเลต์ (Chale't) หรือกระท่อมไม้หลังน้อยๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในแคว้นซาวัว (Savoie) สู่จานอาหารสุดพิเศษทั้งรสชาติและบริการอย่างอบอุ่น บรรยากาศเป็นบ้านหลังสีขาวตกแต่งเน้นสีเอิร์ธโทน ตั้งอยู่ในภายใต้ร่มไม้ใหญ่ เมื่อเดินเข้ามาบริเวณชั้นล่างเป็นร้านเบเกอรี่โฮมเมดและร้านของชำสุดน่ารัก ชั้น 2 เชฟได้เนรมิตให้แขกที่เข้ามาได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่อบอุ่นด้วยผนังหิน เตาผิง และโต๊ะไม้ นั่งชมบรรยากาศสวนป่าผ่านบานกระจก พร้อมแสงแดดสาดส่องลงมาตกกระทบบนโต๊ะและพื้นได้อารมณ์เหมือนอยู่ในบ้านที่ต่างประเทศ สำหรับอาหารเป็นเมนูที่เข้าใจง่ายและน่าจดจำ เริ่มจาก ขนมปังซาวร์โดสูตรโฮมเมด ที่อบมาแบบร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมกับเนยเบคอนทำเอง และ Foie Gras Terrine Seasonal Chutney ตับเป็ดบดเนื้อเนียน กินคู่กับซอสรูบาร์บและซอสเบอร์รีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ปาดบนขนมปังบริออช ต่อด้วย Eggplant Caviar, Crunchy Vegetables เมนูขนมปังปิ้ง (Tartines) เนื้อมะเขือยาวบดปรุงรสแบบอมเปรี้ยวนิด เสิร์ฟบนขนมปังบาแกตต์สไลซ์แล้วอบจนกรอบ ท็อปด้วยชีสและผักต่างๆ รสชาติเรียบง่ายและลงตัว สำหรับซิกเนเจอร์ที่มาแล้วห้ามพลาด! Cheese Fondue Ravioli, Pork Broth พาสตาราวิโอลีสอดไส้ชีสฟองดู (ของโปรดเชฟ) ในน้ำซุปหมูรสเข้มข้นเคลือบลิ้น ให้ความรู้สึกถึงการเคี่ยวซุปเพื่อดึงรสชาติจากวัตถุดิบออกมาได้เป็นอย่างดี เมนู Pike Perch Quenelles มูสปลาปลาไพค์เพิร์ช ปลาท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดและน้ำกร่อย โดยเชฟนำมาปั่นจนเป็นเนื้อมูส ทำเป็นรูปทรงเกอแนลเสิร์ฟมาในซอส Chignin Beurre Blanc ซอสเนยและไวน์ขาว รสครีมมี่ ท็อปด้วยไข่ปลาเทราต์แบบเน้นๆ ได้เท็กซ์เจอร์กรุบๆ เมนูต่อมา Buckwheat Pasta Ham & Cheese Gratin เมนูเทรดิชันพาสตาจากแคว้นซาวัว ซึ่งความพิเศษของเส้นพาสตาจะหั่นเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ผัดกับซอสรสครีมมี่ ท็อปด้วยชีส Reblochon ชีสไหลเยิ้มเคลือบเส้น ปิดท้ายด้วยของหวาน Traditional Crêpe Suzette มาพร้อมกับ Live Station ที่ทำเครปกันแบบร้อนๆ ราดด้วยซอสส้มคาราเมล เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมวานิลลา  และ ALPEA Signature Lemon Tarte ทาร์ตเลมอนในฉบับดั้งเดิม ท็อปด้วยอิตาเลียนเมอแรงก์ เปรี้ยวๆ หวานๆ หรือถ้าอยากลิ้มลองของหวานที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มฟูก็ต้อง Grand Marnier Soufflé ซูฟเฟล่อุ่นๆ ราดด้วยซอสวานิลลา เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมวานิลลา เข้ากันได้อย่างลงตัว Alpea Bistrot เป็นอีกหนึ่งร้านของเชฟอาร์โนด์ที่ถ่ายทอดความทรงจำผ่านอาหารรสชาติพิเศษ

เพียงแค่ก้าวเข้าไปในร้าน Bisou (บิซู) เราก็รับรู้ได้ถึงความสนุกสนานที่เปล่งประกายออกมา ทั้งจากงานศิลปะที่ประดับประดาอยู่ทั่วร้าน ไปจนถึงภาพ ‘จูบ’ อันลือลั่นบนฝาผนัง ที่หยอกล้อไปกับชื่อของร้านว่า Bisou ซึ่งหมายถึง ‘จูบ’ ในภาษาฝรั่งเศส บอกได้ดีถึงความขี้เล่น ความเป็นกันเอง และความนอกกรอบของทั้งสองคู่หูชาวฝรั่งเศส อองตวน ดัคเกียง เชฟ และ ธีโอ ลาแวร์ญ ซอมเมอลิเยร์ ผู้ก่อตั้งร้าน บันไดที่พาขึ้นไปสู่ชั้นสองของร้านก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะเมื่อขึ้นไปแล้วจะมองเห็นที่นั่งรายล้อมช่องว่างที่สามารถมองทะลุลงไปยังชั้นล่างได้ ในมุมลึกสุดของชั้นสองนั้นเป็นที่ตั้งของไวน์เซลลาร์ซึ่งเรียงรายไปด้วยไวน์และแชมเปญที่ธีโอคัดเลือกมาด้วยตัวเอง เปิดต้อนรับให้ผู้มาเยือนได้เดินเข้าไปเลือกไวน์ได้ตามใจชอบ โดยในบรรดาขวดไวน์ต่าง ๆ จากทั่วโลกนี้ มีบางขวดที่มีภาพวาดสุดพิเศษบนขวดเป็นของแถมด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นร้านของชาวฝรั่งเศส แต่สำหรับเมนูอาหารของ Bisou ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นเมนูอาหารฝรั่งเศสเสียทีเดียว ด้วยแนวคิดการทำอาหารผ่านคำว่า K.I.S.S – Keep It Simple, Sexy อาหารแต่ละจานจึงเน้นไปที่ความสนุกสนานของการจับเอาวัตถุดิบต่าง ๆ มาผสมผสานกันจนออกมาเป็นความอร่อยในแบบฉบับของ Bisou เช่นเมนูกินเล่นอย่าง French Toast Black Truffle ขนมปังบริออชเนื้อฉ่ำเนยโทสต์จนผิวนอกกรอบกำลังดี ท็อปด้วยเห็ดทรัฟเฟิล และ BFC, Bisou Fried Chicken & Salmon Roe ไก่ทอดสูตรเฉพาะของร้าน ที่ท็อปมาด้วยไข่ปลาแซลมอน กรอบนอกนุ่มในไร้กระดูก กินหมดแล้วจะเห็นลวดลายของจานที่แฝงไปด้วยความทะลึ่งตึงตัง แต่สนุก! Beef Tartare เป็นจานต่อมาที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะเป็นการจับคู่เนื้อวากิวเทนเดอร์ลอยน์และโบนแมร์โรว์มาด้วยกันในจานเดียว ให้รสชาติที่กลมกล่อม กินได้เพลิน ๆ ตลอดมื้ออาหาร สำหรับอาหารจานหลักที่เป็นเนื้อสัตว์นั้นมีสองซิกเนเจอร์ที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ Monkfish ปลาชิ้นใหญ่ที่เชฟอองตวนเปิดใจเลยว่าเป็นจานที่ท้าทายไม่น้อยในการกำจัดกลิ่นคาว แต่ด้วยความสดนั้นทำให้จานนี้น่าประทับใจด้วยเนื้อปลาแน่น ๆ เข้ากันกับมันฝรั่งบดและซอสเห็ดเป็นอย่างดี อีกหนึ่งจานต้องยกให้ Hanger Steak สเต๊กเนื้อวากิวดรายเอจ ย่างจนได้ผิวนอกที่กรอบชวนตะลึง แถมด้วยรสชาติเนื้อที่เข้มข้นเข้ากับโบนแมร์โรว์และหัวหอมกงฟีที่ให้รสชาติหวานเข้ามาแทรก โดยจานนี้เราสามารถเลือกมีดหั่นสเต๊กได้เองตามที่เราถนัดมือด้วย มีจานเนื้อแล้วก็ต้องมีจานผัก โดยมีเมนู Heirloom Tomatoes ที่เชฟเลือกใช้มะเขือเทศจากเชียงใหม่ มาเพิ่มรสชาติด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ในจานอย่าง สไปซี่ซอร์เบต์ ผงมะกอกเพิ่มสัมผัสระหว่างเคี้ยว และชีสสด ที่รวมกันแล้วให้ความหวานอมเปรี้ยวพร้อมด้วยความเผ็ดนิด ๆ เพิ่มความสดชื่นระหว่างมื้ออาหารได้ดีทีเดียว อีกหนึ่งเมนูคือ Smocked Carrot แครอทรมควัน กับเชดด้าชีส และซอสกระเทียม ที่เข้าปากเพียงคำเดียวก็ได้กลิ่นรมควันหอมตลบอบอวล บาร์ของร้านพร้อมเสิร์ฟซิกเนเจอร์ค็อกเทลอีกหลากหลายเมนู แต่ละเมนูนั้นมีชื่อเรียกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น Kate Middleton, Natalie Portman, Paris Hilton, Marylin Monroe และ Amy Winehouse อย่าลืมสั่งมาจิบคู่กันเพื่อให้ได้ประสบการณ์ของมื้อเย็นที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ Bisou

ยินดีต้อนรับสู่ “กาสตง” (Gaston) ห้องอาหารฝรั่งเศสสไตล์เฟรนช์-บิสโทรแห่งใหม่ของโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ การตกแต่งได้แรงบันดาลใจจากร้านสไตล์บิสโทรในปารีสที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย เป็นกันเอง แล้วเพิ่มความสนุกสนานด้วยสีแดงบอร์โดซ์และสีทอง ขับให้ภาพศิลปะบนผนังโดดเด่นยิ่งขึ้น คลอด้วยเสียงเพลงฝรั่งเศสเบาๆ เพิ่มสุนทรีย์ในมือนี้ได้เป็นอย่างดี ทุกเมนูของกาสตงรังสรรค์จากวัตถุดิบที่คัดสรรเป็นพิเศษโดยเชฟชาวฝรั่งเศสอารมณ์ดี เดวิด เซนญา (David Senia) ที่จะพาทุกคนสนุกไปตั้งแต่จานแรกจนถึงจานสุดท้าย แน่นอนว่าที่นี่มีเมนูฮอตฮิตตลอดกาลของปารีสอย่างสเต๊กฟริตส์ (Steak Frites) สเต๊กเนื้อริบอายนุ่มฉ่ำราดซอสเนยสูตรลับตามแบบฉบับฝรั่งเศสเสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดแบบดั้งเดิมที่ยังหั่นด้วยมือและสลัดผัก นอกจากเนื้อแล้ว เราแนะนำกุ้งลายเสือย่างเนื้อสดแน่นที่เข้ากับซอสเนยได้ดีไม่แพ้กัน ส่วนเมนูสไตล์บิสโทรก็เรียกว่ามีครบทุกภูมิภาค อาทิ Fromage de Tête เยลลี่เนื้อสัตว์เสิร์ฟแบบเย็น ราดซอส Charcutière ซอสเข้มข้นแบบฝรั่งเศส Calamars farcis,Piperade ปลาหมึกสอดไส้หมูสับกินกับซอส Piperade รสเข้มข้นจากมะเขือเทศและพริกหวานกงฟี Pissaladière Provençale ทาร์ตหัวหอมแบบโพรวองซ์ที่ได้ทั้งความกรอบของทาร์ต รสหวานจากหัวหอม และรสเค็มอ่อนๆ จากแองโชวี Confit de canard poele น่องเป็ดกงฟีที่เนื้อนุ่มและ Juicy นอกจากนี้ยังมี Escargot a la bourguignonne เมนูคลาสสิก รวมถึงหอยนางรมสดหลากหลายสายพันธุ์ อาทิ Fines de Claire, Parcs de l'Impératrice, Gillardeau, David Hervé Spéciales ฯลฯ ปิดท้ายด้วยของหวานที่มีไฮไลต์อย่าง Baba “Gaston” aux pruneaux ฉ่ำลิ้นด้วยรสเข้มหอมจากบรั่นดีอาร์มาญัก

ปัวโรต์ (Poirot) เป็นชื่อห้องอาหาร (หรือถ้าจะให้ถูกต้องเรียกว่า ”ตู้รถไฟ”) ที่เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เขาใหญ่ รีสอร์ต (InterContinental Khao Yai Resort) โรงแรมแห่งใหม่ในคอนเซ็ปต์ที่จะพาเราย้อนอดีตไปสู่ยุคทองของการเดินทางด้วยรถไฟในบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยความร่มรื่นของพื้นที่เขาใหญ่ไม่ไกลนักจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่อย่าคิดว่านี่เป็นเพียงตู้เสบียงธรรมดาๆ เพราะเชฟที่นี่พร้อมเสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสสุดหรูให้แขกที่มาเยือนได้ละเลียดอาหารพลางดื่มด่ำไปกับธรรมชาติกลางป่าเขาได้อย่างสุดชิล เสมือนหนึ่งเรานั่งอยู่ในตู้เสบียงชั้นเฟิร์สคลาสของขบวนรถไฟสุดหรูที่กำลังวิ่งผ่านเทือกเขาในยุโรป เพียงก้าวขึ้นมาบนตู้รถไฟขบวนอร่อยนี้ เราก็จะตกลงไปสู่ห้วงบรรยากาศที่หรูหราและคลาสสิกในโทนสีเหลืองทองและไม้เนื้อเข้ม ชวนให้นึกถึงฉากสวยสะกดจากภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายสืบสวนชื่อดังของอกาธา คริสตี้ “Murder On The Orient Express” ที่มีตัวละครคุณลุงหนวดงาม แอร์กูล ปัวโรต์ เป็นผู้ดำเนินบทบาทนักสืบ ไม่ผิดแน่ ชื่อปัวโรต์ของห้องอาหารแห่งมีที่มาจากนิยายชื่อดังเรื่องนี้นั่นเอง นอกจากโซนในตู้รถไฟแล้ว หากอยากสัมผัสอากาศที่เริ่มเย็นสบาย ยังสามารถเลือกนั่งโซนเทอร์เรส ซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงามไม่แพ้กัน เลือกที่นั่งได้ดั่งใจแล้วก็ลงมือสั่งอาหารกันเลย เมนูอาหารที่นี่มีไม่มากแต่มีครบเมนูคลาสสิกสไตล์ฝรั่งเศสที่หลายคนหลงรัก เริ่มด้วยอะมูสบุช เพสต์ตับบดบนขนมปังกรอบ ก่อนนำเข้าสู่จานแรก Wagyu Beef Tartare ทาทาร์เนื้อวากิวปรุงรสได้อย่างเข้มข้นท็อปด้วยไข่นกกระทาดอง เคียงมากับสลัดผักสดใหม่ เสิร์ฟพอร์ชั่นใหญ่ให้อร่อยเต็มคำ จานต่อมา Potato Leek Soup ซุปมันฝรั่ง ต้นหอม และทรัฟเฟิล เสิร์ฟคู่กับบาบ้าอบใหม่ กินด้วยกันคือครีมมี่ละมุนละไมมาก ส่วนจานหลักมีให้เลือกครบทั้งเนื้อวัว เนื้อหมูอิเบริโค่ เนื้อแกะ และจานปลา เราขอแนะนำเมนูคลาสสิกของคนรักเนื้ออย่าง Beef Bourguignon เนื้อออสเตรเลียนวากิวส่วนเทนเดอร์ลอยน์ตุ๋นในซอสไวน์แดงเข้มข้น เสิร์ฟกับมันบดเนื้อนวลเนียนละเอียดและเบคอนรมควันชิ้นโต เป็นจานที่คนรักเนื้อพลาดไม่ได้ หากไม่กินเนื้อลองสั่ง Saddle of Lamb เนื้อแกะม้วนสอดไส้สตัฟฟิ่งเห็ดและทรัฟเฟิล เสิร์ฟกับมันบดและซอสเนื้อแกะ (lamb jus) สำหรับของหวาน คนรักสตรอว์เบอร์รีต้องยอมใจให้กับขนมหวานสีสวยจานนี้ Strawberry Flembée ที่ใช้สตรอว์เบอร์รีโครงการหลวงลูกเบ้อเริ่มมาทำเฟลมเบ้ให้หวานนุ่มฉ่ำนอกแต่ด้านในยังกรอบ เสิร์ฟกับไอศกรีมโฮมเมดรสน้ำผึ้งจากเชียงใหม่หวานกลมกล่อมหอมน้ำผึ้งแตะจมูกเลยทีเดียว หากมีโอกาสมาเที่ยวที่เขาใหญ่ แวะมาฝากท้องที่ตู้รถไฟแสนอร่อยของนักสืบหนาวดงามคนนี้กันได้ และถ้าอยากได้เครื่องดื่มดีๆ สักแก้วก่อนหรือหลังอาหาร ตู้รถไฟขบวนติดกันยังเป็นที่ตั้งของ Papillon Bar บาร์ที่ตกแต่งในสไตล์วินเทจเรียบหรู พร้อมเสิร์ฟคลาสสิกเฟรนช์ค็อกเทลและซิกเนเจอร์ค็อกเทลให้ได้ลิ้มลองกันไปยาวๆ ตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน

มีร้านอร่อยใหม่ๆ ให้สายฟู้ดอย่างเราได้มาชิมตลอดจริงๆ สำหรับห้าง CentralWorld คราวนี้เราแวะมาชิม Poulet Thailand” ร้านอาหารฝรั่งเศสเลื่องชื่อแห่งประเทศสิงคโปร์ มีเมนู ‘Signature Roast Chicken’ หรือไก่อบสไตล์ฝรั่งเศส เป็นเมนูชูโรง ตามความหมายของชื่อร้านอย่างคำว่า ‘Poulet (พูเลท์)’ ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ไก่ นั่นเอง ใครอยากลิ้มลองอาหารฝรั่งเศสกินง่าย (Casual Modern French Cuisine) รสเข้มข้นถูกปากคนไทยให้ตรงดิ่งมาที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณชั้น 6 ได้เลย จานแรกเราลองชิม Salad de Saison สลัดผักเอาใจสายเฮลท์ตี ผักสดกรุบกรอบ มะเขือเทศสีเหลือง ลูกฟิกชีสรีคอตตาหอมมัน ราดน้ำสลัดรสเปรี้ยวสดชื่น ตามด้วย French Onion Soup ซุปหัวหอมสไตล์ฝรั่งเศส ได้รสหวานเค็มของหัวหอมผัดคาราเมล กินกับขนมปังอบเข้ากัน Mushroom Soup ชามนี้เราเลิฟมาก เห็ดนานาชนิดผสานไปกับนมสด และวิปปิงครีม ได้รสครีมมีเข้มข้น คนรักเส้นต้องสั่ง Tiger Prawn Aglio Olio พาสตาเส้นแองเจิลแฮร์กินง่าย ผัดพร้อมกุ้งลายเสือเนื้อแน่น ไส้กรอกไก่สไปซี่โฮมเมด มะเขือเทศ กระเทียมและน้ำมันพริก Slow-Cooked Beef Oxtail หางวัวตุ๋นอย่างดีจนได้เนื้อสัมผัสนุ่มๆ เคล้าไปกับหัวหอมคาราเมล มันบดเนื้อเนียนและเชสดาร์ชีสหอมมัน กินพร้อมแป้งพ็อตพายสไตล์โฮมเมดฟุ้งกลิ่นเนย มาถึงจานซิกเนเจอร์ที่ทุกคนรอคอยนั่นคือ Signature Roast Chicken with Creamy Tom Yum Sauce ไก่ตัวอวบอ้วนผ่านกระบวนการหมักสูตรเฉพาะของทางร้านนานถึง 24 ชั่วโมง ก่อนอบในสไตล์ฝรั่งเศสจนได้เนื้อนุ่มฉ่ำใน เข้ากันดีกับซอสครีมต้มยำรสเข้มข้น   ขนมหวานต้องนี่เลย Vanilla French Toast ขนมปังบริออชฟูๆ ชุ่มเนย ท็อปด้วยวิปครีมปุกปุย ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รีสดชื่น เบอร์รีสดต่างๆ ราดซอสเบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน ก่อนปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มอย่าง Homemade Brazilian Lemonnade น้ำมะนาวในแบบฉบับบราซิล รสเปรี้ยวหอมมันนี้ได้มาจากน้ำส้มจี๊ด น้ำเลมอน และนมสด ยังมีอีกหลายเมนูเลยที่อยากลิ้มลอง

อากาศเริ่มเย็นแล้ว เขาใหญ่ (Khao Yai) เดสติเนชั่นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติอันร่มรื่นจึงเป็นจุดหมายยอดฮิตของนักท่องเที่ยว และยังเต็มไปด้วยของกินอร่อยๆ สำหรับสายกูร์เมต์อีกด้วย ใครกำลังมองหาที่ซึ่งมีทั้งร้านอาหารอร่อยทั้งยังจะได้อิ่มเอมไปกับบรรยากาศที่สวยงาม ต้องมาที่ VinCotto Restaurant ร้านอาหารซึ่งโอบล้อมไปด้วยไร่องุ่นกว้างใหญ่ของ GranMonte Vineyard and Winery รับรองว่าจะได้ลิ้มรสอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับปรุงในสไตล์โฮมเมด แพร์ริ่งกับไวน์ที่คัดสรรมาอย่างดีจนจุใจ เหมือนได้วาร์ปไปกินอาหารในวินยาร์ดแสนสวยที่ฝรั่งเศสอย่างไรอย่างนั้น เราได้พบกับคุณนิกกี้ - วิสุตา โลหิตนาวี และคุณมีมี่ - สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี สองพี่น้องทายาทรุ่นที่สองของ GranMonte Vineyard and Winery ซึ่งเล่าถึงที่มาของร้านอาหารแห่งนี้ว่า เดิมทีที่ตรงนี้เป็นไร่เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเริ่มผลิตและส่งไวน์เข้าสู่ตลาดก็เริ่มมีคนที่เดินทางมาซื้อไวน์ที่หน้าไร่มากขึ้น ทางครอบครัวจึงเกิดความคิดว่าควรมีร้านอาหารไว้รับรองลูกค้า จึงปรับพื้นที่บ้านส่วนหนึ่งเป็นร้านอาหารและภายหลังได้ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับแขกได้เต็มที่ในช่วงไฮซีซั่น   ด้านเมนูอาหารนั้น ทางคุณแม่และลูกๆ ทั้งสองชอบเข้าครัวทำอาหารมาแต่เดิม โดยเฉพาะคุณแม่สกุณา โลหิตนาวีนั้นชอบทำอาหารฝรั่งเศสคลาสสิกอยู่แล้ว จึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการสร้างสรรค์เมนูเด็ดประจำร้าน ทั้งยังมีส่วนผสมจากต้นองุ่นในไร่ที่นำมาใช้อย่างลงตัว อาทิ Prawn and Seedless Grape Salad (280 บาท) องุ่นไร้เมล็ดเก็บสดๆ จากไร่ทั้งหวานและกรอบโรยหน้ามาบนผักสลัด ราดด้วยเดรสซิ่งรสเปรี้ยวเบาๆ ชวนสดชื่น ทอปด้วยเนื้อกุ้ง ไข่กุ้ง และอัลมอนด์สไลซ์ อร่อยลงตัวจนขึ้นแท่นเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน หรือจานเบาๆ สำหรับคนรักชีส Burrata with Pesto and Grilled Tomato (330 บาท) ซึ่งเลือกใช้ชีสสดจากผู้ผลิตชีสอาร์ติซานในท้องที่เขาใหญ่ เนื้อเนียมนุ่มเข้ากับมะเขือเทศย่างรสหวานฉ่ำในซอสเพสโตชวนสดชื่น ตามด้วยจานกินเล่นอย่าง Chicken Wrapped in Vine Leaves (320 บาท) เนื้อไก่ห่อใบองุ่นอ่อนซึ่งเป็นผลิตผลในไร่อีกเช่นกัน กินได้ทั้งคำ มีความหวานนิดๆ จากลูกเกดโฮมเมดที่สอดไส้ด้านใน กินกับซอสองุ่นเพิ่มความเพลิดเพลิน และ Pan-Seared Foie Gras in Grape and Verjus Sauce (850 บาท) ฟัวกราส์นาบกระทะหวานมันตัดรสด้วยความเปรี้ยวอมหวานของซอสองุ่นเวอร์จุส เพิ่มรสเค็มนิดๆ มาตัดหวานด้วยเกลือไวน์แดงที่ทางร้านทำเอง อีกเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์และอยากให้ทุกคนได้ลิ้มลอง Slow-Cooked Lamb Shank in Red Wine (760 บาท) สตูน่องแกะตุ๋นไวน์แดงซึ่งต้องตั้งไฟตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวันจนเนื้อแกะนุ่มละลายในปาก ผักต่างๆ เข้ารสในน้ำซอสไวน์แดงจนได้ความอร่อยเต็มๆ ในทุกคำ เสิร์ฟกับมันบดเนื้อเนียน เนื้อแกะไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย ส่วนสายแป้งฝากท้องไว้กับสารพัดเมนูพาสตาและพิซซาได้ อาทิ Pizza Salami (380 บาท) ซึ่งใช้ซาลามีท่อนโตแทบจะบังแป้งพิซซ่ามิด โรยด้วยชีสเต็มๆ หน้า อร่อยกินเพลินแบบหยุดไม่ได้ ปิดท้ายด้วยของหวานรสเบาและสดชื่นด้วยความหวานจากธรรมชาติ Chesse Pie with Fresh Grapes (140 บาท) ชีสพายองุ่นสดที่ทอปด้วยองุ่นไร้เมล็ดทั้งหวานทั้งกรอบจนพูน ต่อด้วย Panna Cotta with Grape Preserve (140 บาท) แพนนาคอตตาซอสองุ่น ทอปด้วยครีมสดฟูๆ ละลายในปาก ขนมหวานที่นี่ใช้วานิลลาที่ปลูกเองในไร่ ซึ่งวานิลลาที่นำมาปลูกต้นแรกนั้นได้รับมาจากอดีตบรรณาธิการบริหารของ Gourmet & Cuisine คุณอ้วน - สมศักดิ์ วงศ์เดชานันท์ นั่นเอง โลกกลมจริงๆ ไฮไลต์อีกอย่างของร้านคือเมนู “ไวน์แพร์ริ่ง” จานเดี่ยว ซึ่งออกแบบมาสำหรับคนที่อยากกินอาหารจานเดียวแต่ได้แพร์ริ่งกับไวน์ที่เข้ากันซึ่งแนะนำโดยนักทำไวน์อย่างคุณนิกกี้ เลือกได้ว่าจะแพร์ริ่งเป็นแก้วหรือคาราฟ (เหยือกขนาด 250 มล.) อาทิ  Australian Wagyu Ribeye with 2020 GranMonte Gradient Cabernet Sauvignon (1,750 บาท สำหรับแพร์ริ่งแบบแก้ว) จับคู่เนื้อวากิวริบอายกับไวน์แดง Grilled Sea Bass with Lemon and Caper Sauce with 2020 GranMonte Midnight Harvest Chenin Blanc (690 บาท สำหรับแพร์ริ่งแบบแก้ว) สำหรับคนชอบกินปลา และ Coq au Vin with 2019 GranMonte Heritage Syrah Viognier (600 บาท สำหรับแพร์ริ่งแบบแก้ว) ไก่ตุ๋นซอสไวน์แดงเนื้อนุ่มรสกลมกล่อม VinCotto Restaurant ให้บริการตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงมื้อค่ำ อยากลิ้มรสความอร่อยอย่างครบครัน แนะนำให้จองเข้าพักที่ GranMonte Wine Cottage ห้องพักน่ารักๆ ที่เห็นวิวเป็นไร่องุ่นล้อมรอบด้วยภูเขาทุกด้าน วิวยามเช้าสวยงามมากๆ และมีห้องพักจำนวนจำกัดเพียง 8 ห้องเท่านั้น หากติดใจอาหารและเครื่องดื่มของที่นี่ ก่อนกลับอย่าลืมแวะที่อาคารร้านค้าซึ่งมีคาเฟ่ให้บริการ พร้อมสินค้าผลผลิตจากไร่มากมายให้ซื้อหากลับบ้านได้อีกด้วย

จากร้านอาหารสไตล์ Chef's Table อยากทำแต่ไม่อยากกิน สู่การต่อยอดโปรเจ็กต์ใหม่ในชื่อ “Yak Yang (อยากย่าง)” ร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศส (French-inspired Bistro) ที่ยังคงคอนเซ็ปต์ "อยากทำ" อาหารให้ทุกคนได้กิน แต่ครั้งนี้เน้นเสิร์ฟเมนูอะลาคาร์ต บรรยากาศภายในร้านดีไซน์ให้ได้กลิ่นอายฝรั่งเศส เน้นโทนสีอุ่นจากเฟอร์นิเจอร์ ตัดกับพื้นลายตารางขาวดำ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นคอมฟอร์ตโซนสำหรับทุกคนที่พร้อมสังสรรค์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง ด้านในสุดเป็นพื้นที่ครัวทำงานจริง เปิดโล่งให้มองเห็นและได้ยินเสียงต่างๆ ของการรังสรรค์เมนูสุดพิเศษในค่ำคืนนี้ เชฟต้อนรับด้วย Amuse Bouche แป้งซาวร์โดขนาดพอดีคำ ท็อปด้วยแซลมอนทาร์ทาร์ รสเปรี้ยวสดชื่น หอมกลิ่นมะนาว เรียกน้ำย่อยกันต่อกับ Hokkaido Scallop XXL Carpaccio หอยเชลล์ฮอกไกโดสไลซ์บาง เสิร์ฟพร้อมสลัดผักสดกรุบกรอบและไข่ปลาแซลมอน ราดด้วยน้ำยำสไตล์ฝรั่งเศสผสมดาชิเล็กน้อย เป็นซอสสูตรเฉพาะของร้าน จานนี้ได้รสหวาน หนึบและฉ่ำจากสแกลลอปซึ่งเข้ากันได้ดีกับซอสรสเปรี้ยวนิดๆ ที่ต้องบอกว่าอร่อยลงตัวมาก ถัดมาเป็นเมนูขึ้นชื่ออย่าง Foie Gras Poêlé Thick Cut ตับห่านชิ้นโตจากฟาร์มในฝรั่งเศส ชิ้นหนาพิเศษ มีเนื้อที่แน่น ไขมันน้อย นำมาย่างจนกรอบนอกแต่อมชมพูข้างใน ราดด้วยซอสสูตรเฉพาะ กินคู่กับขนมปังกรอบและผักสลัด อร่อยกันต่อกับเมนู Burrata & Heirloom Tomatoes สลัดบูร์ราตาชีสนำเข้าจากประเทศอิตาลี รสชาติออกเปรี้ยวนิดๆ ให้ความสดชื่น อร่อยจนอดใจรอเมนูต่อไปไม่ไหว ต่อด้วย Truffle Soup ซุปเห็ดทรัฟเฟิลเข้มข้น ที่มีความครีมมี่ ไม่หนักท้อง กลิ่นหอมอวลในปาก ด้านบนเป็นปาร์มีจาโนเรจจาโนและโครเกตต์เห็ดสับ กินตัดกันเพลินๆ ต่อมาคือเมนูสปาเห็ดฮอก หรือ Spaghetti Truffle Cream Sauce สปาเก็ตตีครีมซอสเห็ดทรัฟเฟิล ท็อปด้วยฮอกไกโดสแกลลอปชิ้นโตที่สุกกำลังดี กินกับซอสรสชาติเข้มข้น หอมทรัฟเฟิล อร่อยสุดๆ Crispy Skin Dry-Aged Barramundi ปลากะพงทะเลย่างจนหนังกรอบแต่เนื้อข้างในยังฉ่ำ เสิร์ฟคู่ซอสปิกกาตา เบสเป็นเนย AOP ของฝรั่งเศส กินคู่กันอร่อยกลมกล่อม ถัดมาคือเมนูขายดีอย่าง Beef Short Ribs เนื้อฉ่ำมาก ไม่เหนียว ได้กลิ่นหอมของพริกไทยอ่อนๆ ยกให้เป็นเมนูที่ต้องสั่งเท่านั้น สปาโคตรปู Crab Spaghetti เส้นสปาเก็ตตีผัดกระเทียมพริกแห้งร้อนๆ ท็อปด้วยไข่ปลาแซลมอนและกรรเชียงปูก้อนโต ได้รสเปรี้ยวเล็กน้อย มีกลิ่นหอมของมะนาว อร่อยสมกับเป็นเมนูแจ้งเกิดของ “อยากทำแต่ไม่อยากกิน” เสิร์ฟต่อไม่รอช้ากับไซด์ดิสเห็ดผัด ที่มาพร้อมกับมันบดเนื้อเนียนนุ่มและหอมเนย เป็นสูตรมิชลิน 2 ดาว Herb Crusted Baby Rack of Lamb (Half Rack) สเต๊กเนื้อซี่โครงลูกแกะ หรือ Agneau de Lait เนื้อนุ่ม หอมกลิ่นสมุนไพร กินคู่กับซอสไวน์แดง เข้ากันสุดๆ ปิดท้ายด้วยเมนูสเปเชียลของวันนี้ Confit de Canard น่องเป็ดมัสโกวีย่างแบบสุกกำลังดี เนื้อนุ่มละมุน กินคู่ซอสไวน์แดง จะได้รสเปรี้ยวเล็กน้อย จานนี้ไม่มีในเมนูแต่ถ้าใครอยากลิ้มลองสามารถสั่งเป็น Crispy Skin Dry-Aged Duck Breast จะเป็นอกเป็ดย่างไฟอ่อนๆ จนกรอบ แต่คงเนื้อด้านในอมชมพู อร่อยไม่แพ้กันเลย

“Petits Plats” ร้านอาหารฝรั่งเศสเมดิเตอร์เรเนียนที่ตั้งอยู่ในโครงการ Velaa Sindhorn Village ต้วร้านสีขาวครีมเรียบง่าย บรรยากาศสบายๆ ผสมผสานความหรูหราสไตล์ Casual Dining พื้นกระเบื้องสีขาว-ดำลายตารางหมากฮอส เข้ากับผนังสีขาวสะอาด มีเคาน์เตอร์หินอ่อนลายสวยให้นั่งมองครัวเปิดดูทีมเชฟปรุงอาหารถนัดตา เดินเข้ามาอีกโซนตัวร้านจะให้มู้ดแอนด์โทนที่แตกต่าง ผนังสีขาวแซมด้วยภาพวาดและของตกแต่งจากศิลปินชื่อดัง ได้แก่ ภาพโมนาลิซาอวบอ้วนน่ารักของ Fernando Botero จิตรกรและประติมากรชาวโคลัมเบีย ภาพบอลลูนด็อกหลากสีสัน และงานปั้นรูปกระต่ายสีชมพูบานเย็นจาก  Jeff Koons งานประติมากรรมรูปฟักทองลายจุดของ Yayoi Kusama ศิลปินร่วมสมัยชาวญี่ปุ่นก็เข้าที ยังมีงานอาร์ตลายเส้นโค้งมนสีสันสดใสของ Keith Haring ศิลปินอาร์ตชาวอเมริกันอีกด้วย พื้นไม้และโซฟาหนานุ่มสีเขียวเสริมให้บรรยากาศอบอุ่น เสมือนได้นั่งกินข้าวอยู่ในอาร์ตแกลลอรี่ ใครที่อยากเอ็นจอยกับเพื่อนแบบส่วนตัว ร้าน Petits Plats ก็มีโซนไพรเวทนะ (ชั้น 2 ) พร้อมฟินกับจานอร่อยจากหัวหน้าเชฟ Eray Katirci พ่อครัวชาวตุรกีขี้เล่นที่เชี่ยวชาญการทำอาหารหลากสไตล์ เช่น ฝรั่งเศส เมดิเตอร์เรเนียน และอาหารญี่ปุ่น ต้อนรับด้วย Tartare de boeu ขนมปังกรอบกินพร้อมทาร์ทาร์เนื้อ ที่ปรุงด้วยหัวหอม เคเปอร์ เห็ด พริกไทย และซอสสูตรลับรสเค็มกลมกล่อม ท็อปด้วยคาเวียร์เลอค่า ตามมาติดๆ กัน Uni with Black Meringue เมอแรงก์สีดำเงาที่ทำมาจากหมึกดำและส้มยุซุ ไปด้วยกันได้ดีกับอูนิคำโตๆ รสเค็มได้ที่ คนรักทรัฟเฟิลต้องชอบ Truffle French Toast บริออชชุ่มเนยชิ้นพอดีคำ เข้ากันกับมูสทรัฟเฟิลหอมๆ ก่อนโรยด้วยทรัฟเฟิลสไลซ์มหาศาล  Foie Gras Poêlé รสชาติดีงาม ตับห่านคุณภาพครีมมี่เซียร์ให้สุกกำลังดี ราดด้วยซอสเบอร์รีรสเปรี้ยวหวาน Carpaccio De Sériole ปลาหางเหลืองเนื้อสด แร่เป็นแผ่นบางๆ กินง่าย เคล้ากับน้ำยำสไตล์อิตาเลียนรสเปรี้ยวสดชื่น หรือใครเป็นสายเนื้อจะสั่ง Carpaccio de boeuf เนื้อคุณภาพแร่บางเฉียบ ราดด้วยน้ำยำในแบบฉบับอิตาเลียน แฟนคลับพาสตาชื่นชอบ Rigatoni à la Truffe เส้นรีโตกานีโฮมเมด ลวกสุกพอเหมาะผัดพร้อมซอสครีมรสหอมมัน ทางร้านใส่ทรัฟเฟิลหอมฟุ้งลงไปด้วย จานหลักเป็น Confit de Canard อาหารฝรั่งเศสจานคลาสสิก ขาเป็ดชิ้นโตจุใจ กงฟีจนเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ รสเค็มได้ที่ ตัดกับข้าวรีซอตโตผัดฟักทองบัตเตอร์นัตรสหวานมัน พร้อมสั่ง Frites Maison มันฝรั่งทอดโฮมเมด เนื้อแน่นๆ ไม่อมน้ำมันมากินด้วย Escargots จานดาวเด่นประจำร้าน หอยทากสัญชาติฝรั่งเศสตัวอวบอ้วน อบกับเนยสด กระเทียมและสมุนไพรต่างๆ จนได้เนื้อนุ่มหนึบ กินกับขนมปังกระเทียมทำเองหอมกรุ่นยิ่งฟินเข้าไปใหญ่ ของหวานเราแนะนำ Pain Perdu à la Française เฟรนช์โทสต์สไตล์ฝรั่งเศสฟินสุดใจ ขนมปังโฮมเมดฉ่ำเนยและไข่ เซียร์ให้หอมฟุ้ง จับคู่กับซอสคาราเมลรสหวานหอม ไอศกรีมวานิลลาทำเองชื่นใจและครัมเบิ้ลกรุบกรอบ ในโครงการ Velaa Sindhorn Village มีร้านน่าสนใจเยอะทีเดียว  

ประสบความสำเร็จจากสาขาแรกที่ The Emquartier อย่างงดงาม ครั้งนี้ Victoria by Cocotte”ร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ Modern Brasserie มาบุกสาขา 2 ที่ห้างฯ ใหญ่อย่าง เซ็นทรัลเวิลด์’ (บริเวณชั้น 1 โซนเอเทรียม)  แน่นอนว่าคอนเซ็ปต์ร้านยังคงเป็นอาหารฝรั่งเศสคอมฟอร์ตฟู้ด ซึ่งปรุงจากวัตถุดิบคุณภาพ และทีมเชฟฝีมือดีที่เสิร์ฟแบบ All Day Dining เช่นเคย       ให้คุณเพลิดเพลินได้ทั้งมื้อเช้า บรันช์ ดินเนอร์ ของหวานและเครื่องดื่มรสชาติดี ที่เคล้าไปกับบรรยากาศสบายๆ แต่แฝงไปด้วยความมีสไตล์ราวกับคุณนั่งเล่นอยู่ริมชายหาด Saint Riviera ประเทศฝรั่งเศส เก้าอี้หวายสีน้ำเงินสลับขาว ทั้งยังมีมุมโซฟานุ่มๆ ตัดกับสีทองเพื่อเพิ่มความหรูหรา เหมาะกับทุกๆ โอกาส ทั้งออกเดตกับคนพิเศษ ประชุมงานสำคัญ หรือแม้กระทั่งพักเอาแรงจากการชอปปิง       เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับ Bruschetta Tomato Confit แซนด์วิชหน้าเปิดสไตล์อิตาเลียนแสนอร่อย ขนมปังฝรั่งเศสสไตล์โฮมเมด เข้าคู่ไปกับมะเขือเทศกงฟีนุ่มๆ ซอสเพสโตรสเผ็ดกลมกล่อม หอมกลิ่นใบโหระพา และชีสสตราชาเทลลาครีมมี     Truffle Deviled Eggs ไข่ออร์แกนิกคุณภาพ ต้มจนได้ที่ กินพร้อมซอสครีม ที่ครีเอทมาจากไข่แดงและมายองเนสทรัฟเฟิล รสเปรี้ยวละมุน ท็อปด้วยทรัฟเฟิลสุดเลอค่าอีกที     เอาใจแฟนคลับพาสตาด้วย Aglio Olio Bacon สปาเก็ตตีเบคอนผัดพริกแห้ง เส้นสปาเก็ตตีเหนียวนุ่ม รสเผ็ดนุ่มนวล หอมกลิ่นกระเทียม เสริมรสเค็มด้วยเบคอนที่เรารัก     จานหลักเราเลือกเป็น Salmon Chorizo สเต็กแซลมอนชิ้นโตๆ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ผิวนอกเกรียมกรอบ เสิร์ฟพร้อมผักย่างกินง่าย อาทิ เห็ด หน่อไม้ฝรั่ง และซอส Chorizo สีส้มรสเข้มข้น มีรสเผ็ดเล็กๆ จากพริกปาปริก้าด้วย     ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง Tropical Panna Cotta พานาคอตตารสครีมมะพร้าวหอมมัน เนื้อนุ่มเนียนเด้ง เข้าปากพร้อมไอศกรีมเชอร์เบตรสมะม่วงน้ำดอกไม้ รสหวานฉ่ำ ครีมเสาวรส ครัมเบิลมะพร้าวกรุบกรอบ ยังมีเนื้อมะม่วงและสับปะรดมาให้ด้วยนะ  

แทบไม่น่าเชื่อว่าภายในซอยวิภาวดี 60จะมีร้านอาหารฝรั่งเศสบรรยากาศสุดคลาสสิกซ่อนตัวอยู่ Le Vipa” ร้านอาหารฝรั่งเศสในปราสาทที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบทิวดอร์ (Tudor) ซึ่งมักพบเห็นได้ในยุโรปอย่างฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ถูกจำลองมาตั้งอยู่ใจกลางซอยนี้แล้ว       ด้วยความหลงใหลในอาหารและไวน์จากฝรั่งเศสนำพาให้กัปตันแหลม – เรืออากาศโท นภสูร ชยันตรดิลก  ได้พบเจอกับเชฟกิต – กิตติวงศ์ แสงชื่นถนอม ซึ่งขณะนั้นทำงานอยู่ในร้านมิชลินหนึ่งดาวที่ Abbaye de la Bussiere ใน Burgundy ได้มาร่วมงานกันในโครงการที่เป็นเหมือนความฝันของกัปตันแหลม ที่อยากจะมีร้านอาหารฝรั่งเศสบรรยากาศดีๆ เสิร์ฟไวน์พรีเมียม พร้อมด้วยอาหารคุณภาพดีเฉกเช่นที่ได้รับประทานกันในปารีส     กัปตันแหลมเล่าว่าบ้านหลังนี้สร้างเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เจ้าของเดิมเป็นอดีตนักเรียนอังกฤษซึ่งชื่นชอบของเก่ามาก สถาปัตยกรรมต่างๆ ของบ้านล้วนทำในอังกฤษทั้งหมด เขียนแบบและนำวัสดุเข้ามา ทั้งไม้ กลอนประตู มือจับ แจกัน ขอบหน้าต่าง เครื่องสุขภัณฑ์ หรือแม้แต่ปลั๊กไฟก็ต้องใช้อะแดปเตอร์ ใช้เวลาสร้างประมาณ 5 ปี ความโดดเด่นของตัวอาคารอยู่ที่การโชว์เนื้อไม้แยกส่วนออกมาจากตัวปูน เป็นสถาปัตยกรรมอิงลิชทิวดอร์ มีภาพจำเป็นรูปจั่วซึ่งนำมาใช้เป็นโลโก้ของร้านด้วย ภายในร้านแบ่งเป็น 3 โซน ชั้นบนและโซนด้านในสามารถจัดเป็นพื้นที่ไพรเวต ส่วนโซนตรงกลางเปิดรับลูกค้าทั่วไป และในพื้นที่เดียวกันนี้ยังมีอีก 2 อาคารที่จะเปิดเป็นห้องจัดเลี้ยง และพรีเมียมสเต็ก ในอนาคตอันใกล้         สำหรับเมนูอาหารที่เป็นไฮไลต์ประจำร้าน เริ่มด้วย Spanish Caesar ทางร้านใช้เบบี้ครอสคลุกกับซอสซีซ่าร์สูตรเฉพาะของร้าน  ความพิเศษอยู่ที่ Jamon Iberico de Bellota หมูดำไอเบอริโก้ส่วนที่ดีที่สุด เป็นหมูดำสเปนเลี้ยงในธรรมชาติ ที่ออกแบบให้หมูต้องเดินไปยังแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุดไปกลับวันละ 12.5 กิโลเมตร เนื้อหมูจึงเป็นสีแดงซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อที่ออกกำลัง ผ่านการเอจจิงนาน 48 เดือน หอมกลิ่นโอ๊ค รสชาติหมูและซอสเข้มข้น ตัดด้วยความสดมากๆ ของเบบี้ครอส แค่เพียงจานแรกก็เห็นได้ชัดถึงความตั้งใจในการเฟ้นหาวัตถุดิบ     ตามด้วย Wild Mushroom Soup ที่ใช้เห็ด 9 ชนิดในการปรุงซุปถ้วยนี้ หนึ่งในนั้นคือเห็ดเมอเรล ซึ่งราคาแพงกว่าแบล็กทรัฟเฟิลเมื่อเทียบน้ำหนักกันปอนด์ต่อปอนด์ ซุปถ้วยนี้มี 3 เลเยอร์ บนสุดเป็นแผ่นเห็ดกรอบทำจากเห็ดเมอเรล ตรงกลางเป็นซุปเห็ด และล่างสุดเป็นคัสตาร์ดที่ทำจากเห็ด กัปตันแหลมแนะนำให้ตักกินพร้อมกันทั้ง 3 เลเยอร์จะได้ความริชของเห็ดที่กลมกล่อม       ต่อด้วย Spanish Gambas เป็นกุ้งทะเลทอดกับน้ำมันมะกอก กระเทียม และปาปริก้า ในสไตล์สเปน มาพร้อมชิ้นขนมปังที่แนะนำว่าต้องใช้ขนมปังปาดน้ำมันมะกอกกินไปพร้อมๆ กัน หรือจะเป็นขากบฝรั่งเศส ที่ใช้ขากบนำเข้าจากฝรั่งเศสทอดกับน้ำมันมะกอก เนื้อใสคล้ายปลาหิมะ แม้ขาจะเล็กกว่าขากบในบ้านเราเกือบครึ่ง แต่รสชาติเหนือกว่าหลายเท่าตัว       จานเส้นเป็น Pasta Truffle เส้นสปาเก็ตติโนแบบอัลเดนเต้ ใช้เห็ดเมอเรลและเนื้อเห็ดทรัฟเฟิลสดสับทำเป็นซอส  มุมขวาบนมีชีสพามิชิอาโนซึ่งบ่มนานกว่าพามิซานให้คลุกเคล้าเพิ่มรสชาติกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น     จานหลักสุดอร่อยของมื้อ ขอยกให้ Black Cod เป็นปลาหิมะย่างด้วยแชมเปญ เนื้อปลาด้านนอกกรอบภายในยังคงนุ่ม หอมกลิ่นแชมเปญ เสิร์ฟพร้อมหนังปลา อิคุระ ซอสแชมเปญ มีแครอตพูเล และเบซิลออยล์เคียงมาด้วย     จบแบบฟินๆ ด้วย Gelato with Fresh Fruit สดชื่นเป็นที่สุด     เซ็ต 6 คอร์สเมนูราคาเริ่มต้นเพียง 2,500 บาท (ไม่รวมภาษีและเซอร์วิส) ตามไปชิมความอร่อยได้ที่ Le Vipa เลขที่ 1/99 ซอยวิภาวดีรังสิต 60 แยก 18-1-2 เปิดบริการ 17.00-23.00 น. (หยุดวันอังคาร) สำรองล่วงหน้าที่ โทร. 08-0747-4487, 08-6571-8687

เป็นเวลายาวนานกว่า 63 ปีแล้ว ที่ร้านอาหารฝรั่งเศสเลอ นอร์มังดีอยู่คู่กับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ร้านไฟน์ไดนิ่งแห่งนี้ได้รับรางวัล 2 ดาวจากมิชลินสตาร์ตั้งแต่ปีแรกที่มีการประกาศรางวัลมิชลินสตาร์ในประเทศไทย     เลอ นอร์มังดีได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่ออลัง รูซ์ (Alain Roux) เชฟชื่อดังระดับโลก จากห้องอาหารเดอะ วอร์เตอร์ไซด์ อินน์ มาเป็นหัวหน้าเชฟใหญ่นำทีมสร้างสรรค์เมนูจากสูตรของตระกูลรูซ์โดยใช้ชื่อว่า เลอ นอร์มังดี บาย อลัง รูซ์     ชื่อของมิเชล รูซ์ และอลัง รูซ์ สองเชฟพ่อลูกชาวฝรั่งเศสแห่งร้านดอะ วอร์เตอร์ไซด์ อินน์ คงคุ้นหูดีสำหรับนักชิมชาวไทย เป็นร้านชื่อดังที่ได้รับมิชลินสตาร์ 3 ดาวมายาวนานถึง 38 ปี ตระกูลรูซ์มาเป็นเชฟรับเชิญที่ห้องอาหารเลอ นอร์มังดี เกือบ 10 ครั้ง ดังนั้นสองร้านนี้จึงมีความผูกพันธ์กันมาอย่างยาวนาน     เดอะ วอร์เตอร์ไซด์ อินน์ (The Waterside Inn) เป็นห้องอาหารและยังเป็นโรงแรมขนาดเล็กกะทัดรัด ตั้งอยู่ริมแม่นำ้เทมส์ สหราชอาณาจักร เป็นอีกหนึ่งร้านในตำนานแห่งวงการอาหารฝรั่งเศสในเวทีระดับโลก เป็นห้องอาหารฝรั่งเศสที่อยู่นอกประเทศฝรั่งเศสที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 3 ดาว เป็นเวลานานต่อเนื่องยาวนานถึง 38 ปี     เชฟอลัง รูซ์ได้ส่งมือขวาอย่างเชฟฟิล ฮิคแมน มาเป็นหัวหน้าพ่อครัวประจำห้องอาหารเลอ นอร์มังดี บาย อลัง รูซ์ ควบคุมดูแลการจัดการในครัวประจำวัน โดยมีเชฟอลังเป็นผู้ควบคุมแนะนำ เชฟฟิลมีประสบการณ์ในครัวมามากกว่า 20 ปี และได้รับการฝึกอบรมจากทั้งเชฟมิเชล และจากเชฟอลังเป็นเวลากว่า 10 ปี จึงมั่นใจได้ว่าคุณภาพจะเหมือนกับร้านต้นตำรับ     เมื่อเชฟอลังมารับช่วงต่อจึงปรับเมนูใหม่ทั้งหมด แนะนำเป็น Testing Menu ที่เชฟอลังได้เลือกสรรเมนูที่เหมาะสมมาไว้ในคอร์สเดียวกัน โดยเป็นเมนูที่มาจากร้าน เดอะ วอร์เตอร์ไซด์ อินน์ทั้งหมด อาหารของเชฟอลังจะไม่หวือหวา แต่จะโชว์รสชาติของวัตถุดิบให้อร่อยลึกล้ำด้วยเทคนิคฝรั่งเศส   เริ่มต้นจากคานาเป้คำเล็ก Dill Scone ไส้แอปเปิลกรอบๆ และเกี๊ยวที่ทำจาแป้งพาสตาสอดไส้มาสคาร์โปนกรอบเค็มๆ Ostra regal oyster หอยนางรมจาก saint malot รสหวานของเนื้อหอย และเค็มจากน้ำทะเล กับแตงกวาและไลม์คูลี่ ให้รสสดชื่น       Ceviche Seabass and Octopus อาหารเรียกน้ำย่อยเป็นเซบิเชปลากะพงสดเนื้อหวาน และหนวดปลาหมึกยักษ์ที่ตุ๋นจนนุ่มในน้ำซอสเสาวรส และน้ำมันผักชีสีเขียวสวย     ขนมปังที่เสิร์ฟในมื้อก็ไม่ธรรมดา มีทั้ง ซาวร์โด สูตรของเชฟอลัง มาพร้อมเนยจืด และเกลือจากจังหวัดน่าน และ บริออช ผิวกรอบหอมฉ่ำเนย       Pan-fried Foie gras ฟัวกราสย่างเสิร์ฟพร้อมดอกกะหล่ำย่าง เมล็ดสนและเมล็ดสนบด เคเปอร์ทอด และเคเปอร์มูส ลูกเกดซันทาน่ารสหวาน และ Gewurztraminer ซอสไวน์จากแคว้นอัสซาสรสหวาน     Poached Halibut ปลาฮาลิบัทโพชนุ่มๆ เสิร์ฟกับผักกาดขาวลวก ซอสไลม์วอดก้า และใช้ส้มโอของไทยแทนเกรฟฟรุ๊ต จานนี้ได้รสละมุนเบานุ่มลิ้น     จานยอดนิยมตลอดกาลของวอร์เตอร์ไซด์ อินน์ คือ Challandais Duck เป็ดชาลลองส์ที่บ่มไว้ 10 วันเพื่อไล่ไขมัน อบทั้งตัว และนำมาสไลด์ที่โต๊ะ เสิร์ฟพร้อมซอสลูกพลัม เนื้อเป็ดนุ่มหอม เป็นจานอร่อยที่ห้ามพลาด     ก่อนถึงของหวานจะมีลิ้นจี่ซอเบย์รสเปรี้ยวอมหวาน ล้างปากเรียกความสดชื่น จะสั่งชีสจากฝรั่งเศสมารับประทานเพิ่มเติมก็ได้ โดยจะมาเป็นรถเข็นให้เลือกที่โต๊ะ       ปิดท้ายด้วยของหวานตำรับฝรั่งเศส Warm Golden Plum Soufflé ซูเฟล่ที่จะเปลี่ยนผลไม้ไปตามฤดูกาล ช่วงฤดูหนาวนี้จึงเป็นซูเฟล่ลูกพลัม อบร้อนๆ เนื้อซูเฟล่นุ่มฟูเบา หอมหวานรสพลัม อย่าลืมเผื่อท้องสำหรับ Petit four ที่อร่อยทุกคำ       เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของห้องอาหารระดับตำนานที่นักกินทั้งหลายห้ามพลาด   ราคา : tasting lunch menu วันอังคาร -วันศุกร์ 3 คอร์ส ราคา 2,500++ บาท 4 คอร์ส ราคา 3,400++ บาท รวมชีส วันเสาร์ -วันอาทิตย์ 8 คอร์ส ราคา 7,500++ บาท 9 คอร์ส ราคา 8,400++ บาท รวมชีส tasting dinner menu วันอังคาร -วันพฤหัสบดี 6 คอร์ส ราคา 6,400++ บาท 7 คอร์ส ราคา 7,300++ บาท รวมชีส วันศุกร์ –วันอาทิตย์ 8 คอร์ส ราคา 7,500++ บาท 9 คอร์ส ราคา 8,400++ บาท รวมชีส

ใครคิดถึงเฟรนช์โทสต์ของคุณมู่-จักรทอง อุบลสูตรวานิช แห่ง Let Them Eat Cake ครั้งนี้เธอกลับมาแล้วกับ Maison Bleue ไลฟ์สไตล์คาเฟ่ในซอยเมธีนิเวศน์ (BTS พร้อมพงษ์) ที่ให้อารมณ์เหมือนได้นั่งอยู่ตามชานเมืองของฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยดอกลาเวนเดอร์           ใช่ว่าที่นี่จะมีแต่ขนมเท่านั้น คุณมู่ยังเซอร์ไพรส์เราด้วยเมนูคาวที่ตีความจากขนมหวานจานสวย รวมถึงยังมีกาแฟเบลนด์พิเศษจากโรงคั่ว XOXO อย่าง Monsieur และ Mademoiselle ที่มีให้ชิมเฉพาะที่นี่       เริ่มจานแรก Mademoiselle’s Pomelo Tart ทาร์ตส้มโอที่ได้ไอเดียจากเมนูแสนอร่อยประจำบ้านอย่างยำส้มโอฝีมือคุณแม่ ปรับสูตรให้กลายมาเป็นเมนูลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส แต่งหน้าด้วยคางกุ้งชุบแป้งทอด ได้ทั้งเนื้อสัมผัสกรุบกรอบและรสชาติเข้มข้นสดชื่น       Duck Breast “Ispahan” เมนูคาวที่คุณมู่ตีความจากขนมอีสปาอ็อง อกเป็ดซอสราสป์เบอร์รี เสิร์ฟกับราสป์เบอร์รีสด ผลลิ้นจี่นาบกระทะกับน้ำกุหลาบหอมๆ และมันฝรั่ง กลายเป็นจานคาวที่มีทั้งความเค็ม เปรี้ยว หวานลงตัว       Seared Foie Gras “Cérémonie” จานนี้สีสวย ฟัวกราส์นาบกระทะกินกับซอสสตรอว์เบอร์รี่ป่ารสเปรี้ยวสดชื่นวางบนขนมปังบริออชนาบกระทะ เคียงด้วยสตรอว์เบอร์รี่สดและเจลลีชามะลิ เลือกอิ่มได้ทั้งแบบ 1 ชิ้นและ 2 ชิ้น       และพลาดไม่ได้กับ Chocolate-Hazelnut Bostock  ช็อกโกแลต-เฮเซลนัตบอสสต็อก บริออชรสช็อกโกแลตทิ้งให้เก่าหนึ่งคืน ชุบน้ำเชื่อมโกโก้ ทาอัลมอนด์ครีมผสมพราลีเน่และ Mixed Berries Clafoutis คลาฟูตีเบอร์รี่รวมที่อร่อยไม่แพ้กัน รวมถึงเมนูอื่นที่รออยู่อีกเพียบ       ส่วนใครอยากสวมบทเชฟดูบ้าง ลองสั่งเมนูเดลิเวอรี่ DIY Brioche French Toast ที่คุณมู่เตรียมให้ขนมปังกับเนยสูตรพิเศษไว้ให้แล้ว การันตีว่าทำอย่างไรก็อร่อย

อยากทำแต่ไม่อยากกิน” เชฟเทเบิ้ลชื่อกวนๆ ที่ลูกค้าพากันแนะนำแบบปากต่อปากถึงความอร่อยสไตล์คลาสสิคและความสนุกสนานเป็นกันเองของเชฟ     บนชั้น 2 ของโรงพิมพ์กิจการของครอบครัว “เชฟบิ๊ก” เปิดเป็นเชฟเทเบิ้ลเล็กๆ ที่มีครัว และโต๊ะอาหารเพียงแค่โต๊ะเดียว เชฟบิ๊กจบปริญญาโทด้านอาหารจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แต่ไม่อยากทำงานที่บ้าน จึงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามร้านอาหารดังๆ มาแล้วมากมาย   เชฟเทเบิ้ลนี้เหมือนมากินข้าวที่บ้านเชฟ บรรยากาศอบอุ่นรับลูกค้าได้สูงสุดรอบละ 9 คน แต่ถ้ามา 6 คนขึ้นไป เชฟปิดรอบให้เป็นมื้อแบบส่วนตัวเลย อาหารของเชฟเข้าใจง่ายเป็นอาหารฝรั่งเศสสไตล์คลาสสิค เชฟเป็นคนไปตลาดเองดังนั้นไม่กินอะไรหรืออยากกินอะไรก็บอกเชฟก่อนได้     หลังจากนั่งดูเชฟเตรียมอาหารใกล้ชิดถึงขอบเตา เราก็ได้ชิมคอร์สแรก Abalone Escargot เชฟเสิร์ฟหอยเป๋าฮื้ออบเนยกระเทียมสไตล์เอสคาร์โกที่ดั้งเดิมจะใช้หอยทากฝรั่งเศส แต่โดยมากจะเป็นเนื้อหอยกระป๋องเชฟจึงใช้หอยเป๋าฮื้อแทน เนื้อหอยอบมานุ่มไม่เหนียว หอมกลิ่นของเนยกระเทียมและสมุนไพร     คอร์สต่อมาคือ Crab Spring Roll แป้งเปาะเปี๊ยะม้วนเป็นโรลกรอบ ไส้เป็นทาร์ทาร์เนื้อกรรเชียงปูก้อนใหญ่เบิ้ม รสหวาน หอมกลิ่นผิวมะนาว เจลมะม่วงและแอปเปิ้ลรสเปรี้ยวหวานหอมสดชื่น ใส่ไข่แซลมอนเพิ่มเนื้อสัมผัสและความแวววาวสวยงาม     มาถึงจานที่เชฟภูมิใจนำเสนอเป็นเมนูคลาสสิคที่ได้แรงบันดาลใจจากยอดเชฟ Paul Bocuse จึงเป็นเมนู Tiger Prawn Bisque ซุปบิสรสเข้มข้นทำจากกุ้งลายเสือ คลุมถ้วยด้วยแป้งพายชั้นอบจนฟูกรอบส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้อง เสิร์ฟมาพร้อมกุ้งลายเสือตัวโต     Barley Risotto ข้าวบาร์เลย์ผัดกับสต็อคเข้มข้นที่ทำจากเห็ด คล้ายริซอตโตแต่ได้สัมผัสที่นุ่มเหนียวเคี้ยวมันกว่า เสิร์ฟพร้อมหอยเชลล์ฮอกไกโดย่าง ฟัวกราสย่างชิ้นใหญ่หนานุ่ม โรยด้วยเห็ดทรัฟเฟิลสไลด์     มาถึงจานไฮไลต์อย่าง Beef Wellington ที่เชฟทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ เนื้อสันในย่างห่อด้วยเห็ดและผักโขมผัด แล้วหุ้มด้วยแป้งพายชั้นที่ทำลวดลายไว้อย่างสวยงาม อบจนแป้งชั้นนอกสุกเหลืองกรอบ เนื้อสุกแบบปานกลางสีชมพูสวยงาม เสิร์ฟพร้อมซอสเนื้อแบล็คทรัฟเฟิลที่เคี่ยวจากกระดูกวัวกว่า 10 กก. จนได้ซอสรสเข้มข้น กลมกล่อมเข้ากัน     สุดท้ายคือ Chocolate Crème Brûlée ช็อกโกแลตแครมบรูเลที่ใช้เวอโรน่าช็อกโกแลตเข้มข้นโรยน้ำตาลและพ่นไฟจนหน้ากรอบ ราดซอสวนิลา   จบมื้อได้อร่อยและสนุกเหมือนได้มากินข้าวที่บ้านเพื่อน  

เมื่อพูดถึงร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่เป็นที่รักของนักท่องเที่ยวมากที่สุดชื่อของ David’s Kitchen คงต้องติดอยู่ในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะร้านนี้เคยติด Top 10 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกจาก Trip Advisor เว็บท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกประจำปี 2018 มาแล้ว ซึ่งปัจจัยความสำเร็จก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความอร่อยของอาหารฝรั่งเศสที่เข้าคู่กับการบริการอันดีเยี่ยมของ คุณเดวิด ฟิลิปป์ กอร์ดอน (David Philip Gordon) เจ้าของร้าน         อาหารแต่ละจานที่เสิร์ฟเป็นฝีมือของเชฟโอ - อาทิตย์ ดิษฐสุนนท์ เชฟคนไทยที่ได้นำความรู้ที่ได้เรียนรู้จากการทำงานมาตลอดชีวิตสร้างสรรค์ความอร่อย อีกทั้งยังมีการสร้างสมดุลของรสชาติในแต่ละจานจนออกมาเป็นอาหารฝรั่งเศสที่กินง่ายทั้งหน้าตาและรสชาติ ประเดิมด้วย Fettucine with Truffle Cream, Lobster Claw and Sliced Summer Black Truffle เฟตตูชินี่เส้นเหนียวนุ่มผัดกับครีมทรัฟเฟิลที่ทำจากเนยฝรั่งเศสและน้ำมันกุ้งจนได้ความหอมละมุน เสิร์ฟพร้อมกับเนื้อล็อบสเตอร์ส่วนก้ามชิ้นโตเนื้อแน่นเต็มคำ     แล้วมาเปิดปุ่มรับรสกันต่อด้วย Spicy Pomelo with Fried Red Snapper Fish ยำส้มโอสายน้ำผึ้งรสจี๊ดจ๊าดจากรสชาติถึงเครื่องจากการเข้าคู่กันของมะนาว น้ำปลา และถั่วลิสง กินคู่กับปลากะพงแดงจากภูเก็ตแล่บางๆ ก่อนจะห่อด้วยแตงกวาญี่ปุ่นและแครอทเพิ่มความกรอบหวาน     หรือจะลอง Slow Baked Fillet of Tasmanian Salmon with White Wine Sauce แซลมอนชิ้นหนามาม้วนแล้วย่างให้มีความกึ่งดิบนิดๆ เพื่อความนุ่มที่พ่วงมากับรสชาติหวานๆ เสิร์ฟพร้อมซอสไวน์ขาวรสเปรี้ยวนิดๆ แต่ทว่าเข้มข้นด้วยครีมและเนย     ขณะที่จานหลักก็มีซิกเนเจอร์อย่าง Braised Beef Cheek Slow Cooked in Red Wine with Paris Mash เนื้อวากิวออสเตรเลียส่วนแก้มวัวที่มีทั้งความนุ่มและหอมมันมาหมักกับไวน์แดงไว้ข้ามคืนก่อนจะนำไปตุ๋นจนนุ่ม เสิร์ฟพร้อมมันบดสูตรเด็ดที่หวานละมุนและนุ่มนวล หรือจะเปลี่ยนจากเนื้อมาเป็น Braised Lamb Shank Slow Cooked in Red Wine with Paris Mash ขาแกะชิ้นโตตุ๋นในน้ำเกรวี่นานถึง 2 – 3 วัน จนได้ความนุ่มหอมละลายในปากก็ดีไม่แพ้กัน       แล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วย Tiramisu ที่ครีมมาสคาโปนทั้งฉ่ำและนุ่มจนเราต้องเทใจให้จริงๆ  

“มานั่งกินข้าวบ้านเพื่อน” คือคอนเซ็ปต์ที่เชฟอ้น ปฐพี แห่งร้านเลเลฟอง (L'éléphant) ร้านอาหารฝรั่งเศสระดับท็อปลิสต์ของเชียงใหม่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงอาหารฝรั่งเศสได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดใจ     ชื่อร้าน “เลเลฟอง” เป็นภาษาฝรั่งเศสหมายถึงช้าง ซึ่งเราจะเห็นได้จากรูปทรงอาคารด้านนอกที่เป็นรูปช้างตัวใหญ่ (การเดินเข้ามาด้านในจึงเหมือนการเดินลอดใต้ท้องช้างไปในตัว) เดิมทีพื้นที่ของร้านเคยเป็นอาร์ตแกลอรีมาก่อน ทุกพื้นที่ด้านในจึงมีกลิ่นอายของงานศิลปะซึ่งช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ในมื้ออาหารได้ดีเยี่ยม       เชฟอ้นบอกกับเราว่าโชคดีที่อยู่เชียงใหม่ นอกจากวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศแล้ว เชฟยังเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่มีความสดใหม่ อาทิ ผักตามฤดูกาลจากโครงการหลวง มาปรุงแบบสดใหม่ทุกจาน     เริ่มด้วยจานเรียกน้ำย่อย L'éléphant Salmon Gravlax ปลาแซลมอนหมักกับเกลือ น้ำตาล ไวน์ขาว และผักชีลาว จัดวางให้เหมือนดอกกุหลาบดอกโต กินกับซอสฮอร์สราดิช กินแล้วกระตุ้นต่อมอยากอาหารได้ดีเยี่ยม ตามด้วย Seasonal Fish ปลาตามฤดูกาล ครั้งนี้เราได้ชิมปลากะพงขาวจากภาคใต้เนื้อนุ่มเบา เชฟย่างแล้วเพิ่มกลิ่นหอมด้วยทาร์รากอน กินกับซอสที่ทำจากไวน์ขาว เนย และเลมอน       ตามด้วย Truffle Cream Soup in Puff Pastry ซุปแบล็กทรัฟเฟิลในพัฟอบกรอบ (เชฟใช้ทรัฟเฟิลตามฤดูกาล) เราชอบที่ซุปมีความครีมมี่และกลิ่นหอมจรุงใจกินกับพัฟกรอบๆ แล้วดีงาม ขาดไม่ได้สำหรับ Ox Tongue Stew สตูลิ้นวัวสายพันธุ์ชาร์โรเลส์ตุ๋นในไวน์แดงนาน 6-8 ชั่วโมงที่ทั้งนุ่มหอม กินง่าย และสัมผัสได้ถึงซอสไวน์แดงที่แทรกอยู่ในลิ้นวัวทุกคำ       ปิดท้ายด้วยของหวาน Mango & Butterfly Pea Panna Cotta สีสวยจากมะม่วงตามฤดูกาล ดอกอัญชัน และท็อปด้วยซอสลาเวนเดอร์มิกซ์เบอร์รี่ให้อารมณ์ฝรั่งเศสเบาๆ      

ตั้งแต่เมืองไทยประกาศแจกดาวมิชลิน ร้านอาหารชื่อดังและเชฟฝีมือดีจากทั่วโลกต่างทยอยเข้ามาเปิดร้านในบ้านเรา รวมทั้ง Chef’s Table Bangkok ร้านอาหารฝรั่งเศสไฟน์ไดนิ่งนำทีมโดยเชฟมิชลินสตาร์ Vincent Thierry ที่เปิดร้านยังไม่ครบปีแต่ก็คว้าดาว 1 ดวงมาครอบครองได้เรียบร้อยแล้ว       เชฟเทเบิ้ลแบงคอก ร้านใหม่บนชั้น 61 ของโรงแรมเลอบัว แอท สเตท ทาวเวอร์ สีลม จะทำให้คุณใจเต้นตั้งแต่ก้าวแรก เพราะทั้งวิวสวยๆ ของกรุงเทพ และการได้ประจันหน้ากับครัวเปิดที่มีเตาบนเคาท์เตอร์หินอ่อนขนาดใหญ่อยู่กลางร้านดูหรูหรา ให้คุณได้เห็นทีมเชฟปรุงอาหารกันสดๆ ตรงหน้า       หัวหน้าเชฟของร้านนี้คือเชฟวินเซนต์ชาวฝรั่งเศสถือเป็นเชฟมีฝีมือในวงการเพราะเขาเคยทำงานในร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินทั้งที่ปารีสและฮ่องกงมาแล้ว จึงเชื่อมือได้ว่าอาหารสไตล์คลาสสิคฝรั่งเศสของเขาจะกระตุ้นต่อมรับรสของคุณได้แน่ ตอนนี้เขาเสิร์ฟเชฟเทสติ้งเมนู 7 คอร์ส แต่ละคอร์สมีตัวเลือก 2 อย่าง ที่เราได้ลองคือ King Crab Tiramisu เนื้อปูคิงแครปรสหวานเนื้อแน่นเสิร์ฟกับผลไม้อย่างมะม่วง มะละกอ ซอสพริกหวานสีส้ม Piquillos จากประเทศสเปน สลับกับสีขาวจากครีมทีรามิสุ เชฟตกแต่งจานมาสวยงามอย่างมีศิลปะ เป็นจานเรียกน้ำย่อยที่สดชื่นเริ่มต้นมื้อได้ดี     John Dory, Caviar Impérial de Sologne ปลาจอนดอรี่โพชเนื้อนุ่มรสเค็มอ่อนๆ กับหอยหลอดและคาร์เวียร์ เสิร์ฟพร้อมวอเตอร์เครสซอสสีเขียวเข้มรสมัน ตัดรสเปรี้ยวด้วยมะนาวหั่นชิ้นเล็ก     Duo of Challans Duck จานนี้เสิร์ฟเป็ดชาลลองจากฝรั่งเศสใน 2 สไตล์คือ เนื้ออกเป็ดเซียร์และอบ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟกับซอสที่เคี่ยวจากกระดูกเป็ดรสเข้มข้นหวานอมเปรี้ยว คู่มากับอาร์ติโชคบดและย่าง ซอสและโฟมทำจากเสจให้กลิ่นหอม อีกแบบคือขาเป็ดกงฟี เนื้อนุ่ม รสเค็ม มีกลิ่นหอมชวนกิน     สุดท้าย Black Beer Biscuit and Chocolate Ganache ความอร่อยที่ผสานกันของซอฟท์ช็อกโกแลตบิสกิต ช็อกโกแลตกานาช คาราเมลซอสที่อินฟิวส์ด้วยชาไทย และไอศกรีมช็อกโกแลตซอเบท์ ได้รสทั้งหวานเค็มผสมกัน มีรสของชาไทยที่ให้ทั้งกลิ่นหอมและตัดเลี่ยนได้ดี     สรุปได้ว่าทุกจานอร่อยสมรางวัล

เมื่อนึกถึงขนมปังสูตรต้นตำรับฝรั่งเศสแล้วล่ะก็ หลายคนคงนึกถึงร้านเด่นร้านดังในกรุงเทพฯ แต่ความจริงแล้วเชียงใหม่ก็เป็นที่ตั้งของร้านขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสอย่าง Chez Nous ที่ชาวเชียงใหม่รักกันสุดหัวใจ     “เชนู” (Chez Nous) มาจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “บ้านเรา” ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของ คุณไหม - ปิยะกมล วาณิชย์มงคล ที่ต้องการให้ที่นี่เป็นเสมือนบ้านสไตล์คันทรี่ในชนบทของประเทศฝรั่งเศสที่แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศอันแสนอบอุ่นและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอบอวลของขนมปังอบสดใหม่สูตรต้นตำรับ จากวิธีการทำที่พิถีพิถัน ร่วมด้วยวัตถุดิบที่อิมพอร์ตมาจากฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็น แป้ง เนย อัลมอนด์ ไปจนถึงช็อกโกแลต       เริ่มกันด้วย Thousand Layers Croissant ครัวซองต์พันชั้นสูตรซิกเนเจอร์ที่โดดเด่นด้วยความกรอบนอกนุ่มในสอดแทรกรสชาติหอมหวานมันและละมุนในทุกๆ คำ จากชั้นแป้งบางๆ ที่เรียงซ้อนเป็นชั้นสวย ต่อด้วย Almond Croissant ครัวซองต์อัลมอนด์ที่ต้องรีบจับจองกันตั้งแต่ตอนเช้าๆ เพราะหมดกันตั้งแต่หัววัน ซึ่งความอร่อยคงต้องยกให้กับไส้ครีมอัลมอนด์เนื้อนุ่มที่ผสานกับความกรุบกรอบของอัลมอนด์สไลซ์ได้อย่างลงตัว       ถ้าใครอยากลองขนมหายากก็ต้องลอง Kouignamann หรือ ควิน-ยา-มาน ขนมฝรั่งเศสโบราณจากแคว้นบริตตานีย์ที่พกพาจุดเด่นความเข้มข้นหวานมันของแป้งพัฟกรอบนอกนุ่มในที่ซุกซ่อนความชุ่มฉ่ำของเนยและคาราเมลอย่างเต็มพิกัด     แต่ถ้ายังไม่จุใจก็ยังมีเมนูบรันช์ง่ายๆ ให้เลือกชิมอย่าง Wholewheat Breadbowl ที่ทำเก๋ด้วยการนำขนมปังโฮลวีทโฮมเมดทรงหัวกะโหลกมาคว้านไส้ออกทำเป็นชาม ก่อนจะเติมความอร่อยของปลาแซลมอนรมควันคลุกเคล้าด้วยซอสทาร์ทาร์รสอมเปรี้ยว โรยหน้าอีกนิดด้วยชีสและไข่แดงแล้วนำไปอบ เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมสลัดผักเพิ่มความสดชื่น     แล้วปิดท้ายกับ Chef Dark Chocolate 64 %  เครื่องดื่มสุดเข้มข้นโดดเด่นด้วยความอร่อยของช็อกโกแลตนำเข้าจากฝรั่งเศสที่มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและแบบเย็น แน่นอนว่านอกจากความเข้มข้นยังพกพารสชาติหอมมันหวานน้อย ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ต้องถูกใจอย่างแน่นอน     บอกเลยว่าไม่ลองไม่ได้  

 “ไอวี่ 47” ร้านอาหารและบาร์ร่วมสมัยเสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสเจือกลิ่นอายเอเชียเล็กๆ ในบรรยากาศของบ้านสองชั้นทันสมัย อบอุ่น แฝงด้วยความเรียบหรู ตกแต่งภายในเน้นความชิคเท่สีดำและน้ำตาล มีครัวเปิดกลมกลืนไปกับสวนสวยและต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวชอุ่ม เจ้าของร้านคือสองนักฟุตบอลมืออาชีพชื่อดังขวัญใจชาวไทยที่รักในอาหารอย่างแซม นอร์ดีน (Sam Nordine) และทริสตอง โด (Tristan Do) ลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสตำแหน่งกองหลังฝั่งขวาให้กับสโมสรฟุตบอลทีมทรู แบงค็อก ยูไนเต็ดและยังเป็นผู้เล่นทีมชาติไทยอีกด้วย         เริ่มต้นมื้อด้วยเมนูยอดนิยมของร้านอย่าง Salmon Tartar ที่ใช้สก็อตติชแซลมอนสดเนื้อสีแดงส้มหั่นชิ้นเล็ก เคล้ากับเดรสซิ่งที่ทำจากพอนสึยูสุและทรัฟเฟิล รสเปรี้ยวเค็มและมีกลิ่นหอม เพิ่มลูกเล่นด้วยเจลลี่พอนสึยูสุรสเค็มเปรี้ยว และเจลลี่แอปเปิ้ลรสหวานสดชื่น กินกับกัวกาโมเล่รสมัน ท๊อปด้วยไข่ปลาแซมอลและโทบิโกะดูแวววาวสวยงาม     จานต่อมาคือ Scallops หอยเชลล์ฮอกไกโดตัวใหญ่ย่างกระทะ เสิร์ฟกับแก่นตะวันสโลว์คุกกับโชริโซ่ไส้กรอกรสเผ็ดจากสเปน ท๊อปด้วยโฟมโชริโซ่กลิ่นหอมสโมค จานนี้ได้รสหวานเค็มเผ็ดลงตัว ต่อด้วยจานปลาคือ Lemon Sole ปลาตาเดียวอบด้วยไฟอ่อนทำให้ได้เนื้อนุ่มรสหวาน หอมกลิ่นเนย เสิร์ฟกับดอกกะหล่ำริซอตโตใส่ไวน์ขาว ท๊อปด้วยโฟมมิโสะวาซาบิไวน์ขาวที่มีกลิ่นหอมและรสเค็มนิดๆ       มาถึงจานหลักเราลองชิม Beef Rib Eye เนื้อแองกัสออสเตรเลีย 270 วัน นำมาบ่มไว้ 30 วัน เพื่อดึงรสชาติของเนื้อให้เข้มข้นขึ้น ย่างสุกปานกลางเนื้อนุ่มฉ่ำ เสิร์ฟกับกระเทียมกงฟีในน้ำมันเนื้อนุ่มๆ มันฝรั่งบดทรัฟเฟิลกลิ่นหอม และซอสพริกไทยที่ถูกปากคนไทย     มาถึงของหวานที่ห้ามพลาดเลยคือ Brunt Cheesecake ชีสเค้กอบจนหน้าไหม้เป็นสีน้ำตาลเข้มแต่กลับทำให้มีกลิ่นหอมมากขึ้นและมีรสขมนิดๆ ช่วยตัดเลี่ยนของชีสเค้กได้ดี เสิร์ฟพร้อมซอสเบอร์รีและวิปครีม อีกจานคือ Melon Bergamot เมลอนหั่นเต๋าแช่ในน้ำดอกเอลเดอร์กลิ่นหอมหวาน เมอร์แรงค์สีเขียวอ่อนแผ่นบางกรอบรสเปรี้ยวทำจากมะนาวและผิวเลมอน กับไอศกรีมกรีกโยเกิร์ตน้ำผึ้งป่ารสเปรี้ยวหวานหอมสดชื่น       เริ่มต้นและจบมื้อได้ดีจริงๆ