La Casa Nostra Wine Bar & Italian Restaurant เกิดขึ้นจากการรวมตัวของ Global Vineyards, เชฟ Alessandro Frau จาก Acqua ร้านอาหารดังในภูเก็ต และคุณ Marc ซอมเมอลิเยร์ในวงการโรงแรม ทำให้บ้านอิตาเลียนหลังนี้เด่นทั้งอาหารอิตาเลียนและไวน์            “เราร่วมหุ้นกับไร่ไวน์ ทำให้ไวน์ของที่นี่มีมากถึง 150 เลเบล ไวน์ส่วนใหญ่มาจากทั้งอิตาลีและฝรั่งเศส แต่ก็มีไวน์โลกใหม่บ้าง ที่สำคัญราคาก็ดีงามตามคุณภาพของไวน์” เชฟนีโน่ สคอนยามีลโล (Nino Scognamillo) เชฟใหญ่ของร้านเล่าถึงไวน์ ส่วนอาหารเขาบอกว่าเป็นอิตาเลียนโมเดิร์นที่ซ่อนความรัสติกเอาไว้ โดยเฉพาะการเลือกสรรวัตถุดิบคุณภาพดีจากทั่วโลก อาทิ ปลาหมึกยักษ์จากเมดิเตอร์เรเนียน เนื้อวัวสันในจากอเมริกา และโทมาฮอว์กจากเนื้อวากิวออสเตรเลีย แน่นอนว่าวัตถุดิบหลายอย่างต้องนำเข้าจากอิตาลี     เชฟนีโน่ยังบอกว่าวิธีการทำอาหารของเขาไม่มีอะไรมาก เขาให้ความเคารพต่อวัตถุดิบจึงปรุงน้อยมากไม่ให้ทำลายรสชาติของวัตถุดิบ ซึ่งเป็นพื้นฐานการทำอาหารของเชฟชาวอิตาเลียน แน่นอนว่าในฐานะชาวซิซิเลียนเขาได้ใส่เมนูอาหารสไตล์ซิซิเลียนลงไปด้วย                   Roasted Mediterranean Octopus หนวดปลาหมึกยักษ์ซูวีดนาน 1 คืนก่อนย่างบนกระทะให้ผิวนอกกรอบ โรยพริกปาปริการมควันจากสเปน กินกับมันฝรั่งบดผสมทรัฟเฟิลขาว เนื้อสัมผัสปลาหมึกดีมากตัดกับความเนียนนุ่มของมันฝรั่งที่หอมกลิ่นของทรัฟเฟิล     แต่ถ้าอยากสัมผัสรสชาติซิซิเลียนต้อง Risotto Olio, Aglio e Peperoncino with Sicilian Red Prawns Mazara del Vallo ข้าวริซอตโตรสเผ็ดและไม่เลียนกับกุ้งแดงรสหวานที่ทำออกมาคล้ายกุ้งเทมปุระ     ส่วนจานเด่นเป็น Grilled US Black Angus Beef Tenderloin เนื้อสันในแบล็กแองกัสจากยูเอสนุ่มชุ่มฉ่ำมีรสชาติในตัวเองกับซอสทรัฟเฟิลที่มีกลิ่นเพียงจางๆ ควรสั่งไวน์แดงมาสักแก้วรับรองออกรส    

ชาว Café hopping ฟังให้ดี เพราะตอนนี้ Bar Storia  Del Caffe วินเทจคาเฟ่ในซอยทองหล่อ เปิดตัวสาขา 2 และ 3 แล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสำหรับสาขาที่ 2 ซ่อนตัวอยู่ภายใน The Salil Hotel Sukhumvit 57 โรงแรมเก๋กลางใจเมืองนั่นเอง     สิ่งแรกที่สะดุดตาคือบาร์เครื่องดื่มสีดำขนาดใหญ่ ตัวร้านเป็นกระจกใสล้อมรอบ มีสีเขียวของต้นไม้ไว้พักสายตา ที่สำคัญคือยังคงยึดความวินเทจอันเป็นคาแรกเตอร์ของ Bar Storia  Del Caffe เอาไว้ ซึ่งล้อไปกับตัวโรงแรมได้อย่างแนบเนียน ส่วนด้านหลังเป็นห้องแกลลอรี่ขนาดย่อมให้เดินถ่ายรูปได้เพลินๆ  แถมมีเสียงเพลงจากแผ่นเสียงเปิดคลอ ชวนให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต       ด้วยความที่ตัวร้านตั้งอยู่ในโรงแรม อาหารและเครื่องดื่มของที่นี่จึงค่อนข้างหลากหลายกว่าสาขาอื่น มี All Day Breakfast อาหารเช้าพร้อมเสิร์ฟตลอดวัน รวมทั้งชุดชายามบ่าย ส่วนเมนูไฮไลต์ เราแนะนำ Spaghetti Italian Sausage A.O.P. จานนี้อร่อยมาก เส้นสปาเกตตีลวกแบบอัลเดนเต้ ผัดกับไส้กรอกเนื้อแน่น ทีเด็ดอยู่ที่ไอเท็มเสริมอย่างพริกแห้ง คั่วจนหอม เพิ่มความเผ็ดร้อนแบบไทย       ต่อด้วย Pizza Parma Ham and Rocket Leaves พิซซ่าโฮมเมด แป้งบางกรอบ อบร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล ด้านบนท็อปด้วยพาร์มาแฮมอย่างดี ชีส และร็อคเก็ต เราชอบที่เสิร์ฟมาขนาดกำลังเหมาะ กินหมดได้สบายๆ แบบไม่ต้องแบ่งใคร (ที่สำคัญคือซอสของเชฟทำมาได้รสเหมาะแล้ว ไม่ต้องพึ่งพาซอสตัวอื่นเพิ่ม) อีกหนึ่งจานเด่น  Grilled Salmon Lemon Caper Sauce แซลมอนชิ้นโต นำไปนาบกระทะให้หนังด้านนอกกรอบ เนื้อในยังชุ่มฉ่ำ ราดด้วยซอสเคเปอร์ ก่อนกินบีบเลมอนลงไปเล็กน้อย ช่วยชูรสของแซลมอนได้ดีเชียว       ส่วนคอเครื่องดื่ม นอกจากกาแฟที่เป็นซิกเนเจอร์ เมนูค็อกเทลและม็อกเทลน่าสนใจ อากาศร้อนๆ แนะนำ Virgin mojito ม็อกเทลสุดสดชื่น แก้วนี้พิเศษที่ทางร้านใช้น้ำตาลกรวดละลายช้าให้รสหวานตัดกับรสเปรี้ยวของมะนาวในแก้ว     จิบไป ฟังเพลงไป เพลินจนลืมความวุ่นวายด้านนอกไปได้เลย

เรื่องของอาหาร ชายจุกกล้าพูดได้เลยว่ามันไร้พรมแดน ไร้ชาติ หรือแม้กระทั่งไร้ศาสนากันเลยแหละ อาหารหลายอย่างมันเย้ายวนและไม่มีข้อจำกัด ซึ่งที่ Enoteca ทำให้เราเห็นสิ่งนั้น เมื่อได้ตัวเชฟสเตฟาโน บอร์รา (Stefano Borra) เชฟใหม่จากตูริน ที่ก้าวข้ามข้อจำกัดของอาหารอิตาเลียนด้วยการเติมกลิ่นอายของอาหารฝรั่งเศสเข้ามาให้อาหารของเขาที่เอโนเทก้าโดดเด่นอย่างน่าสนใจ       เชฟสเตฟาโน เดินทางจากบ้านเกิดในเมืองตูริน แคว้นพรีมอนต์ไปร่ำเรียนวิชาการครัวไกลถึงฝรั่งเศสและทำงานอยู่นาน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอาหารของเขาจึงมีกลิ่นอายของฝรั่งเศส ก่อนตัดสินใจกลับมาที่ตูริน และเปิดร้านของตัวเองในชื่อ Restaurant VO จนได้ดาวมิชลินมาครอง ก่อนตัดสินใจเดินทางมาร่วมงานกับเอโนเทก้า     เชฟไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากให้ชายชิมเทสติ้งเมนูที่ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจง่ายกว่าการนั่งพูดคุยกัน ชายตื่นเต้นกับของกินเล่นอย่างหนังปลาทอด สาคูทอด แคบหมู มันน่าสนใจว่าร้านอิตาเลียนดังเลือกเสิร์ฟอะไรแบบนี้ซึ่งแปลกดี Amuse Bouche ครัวซองต์จิ๋วกับพัฟไส้เนื้อนกกระทา และไอศกรีมพาร์มีซานกับทรัฟเฟิล           จานแรกเป็นเมนูอาหารอิตาเลียนประจำเมืองตูริน Tuna Terrine with Red Bell Pepper Cream เทอร์รีนทูน่าที่รสจัดหน่อยกับครีมพริกหวานที่เคลือบด้านนอก     จานถัดมามีความเฟรนซ์มาก Foie Gras in Different ways ชายไม่คุ้นเคยกับฟัวการ์สในอาหารอิตาเลียน แต่เชฟก็อยากนำเสนอหนทางสมัยใหม่ของการปรุงอาหาร เริ่มที่ลิควิดฟัวการ์สที่ซ่อนอยู่ภายในบอลมันฝรั่งทอด ฟัวการ์สเทอร์รีนกับฟิกซ์แห้ง ฟัวการ์สทอดกระทะเคลือบพอร์ตไวน์ และที่อร่อยที่สุดฟัวการ์สแครมบรูเล     ชายเลิฟจานนี้ Spaghetti Tomatoes water and Burrata สปาเก็ตตี้เส้นใหญ่หน้าตาเรียบๆ แต่มีกลิ่นรสของมะเขือเทศด้วยเทคนิคการต้ม กับชีสบูราต้าฉ่ำๆ และมะเขือเทศอบแห้ง     ตามด้วยลาซานญ่าสุดล้ำ Lasagna 2017 พาสต้าสีเขียวแบบกรอบและต้ม กับรากูซอสโบลองเนสและเบชาเมลซอส เป็นสูตรที่คุณยายของเชฟสอนมา     สำหรับเมนคอร์สเป็น Baby Lamb from Pyrenees with Morels mushroom เนื้อลูกแกะจากเทือกเขาพีเรนิสที่ซูวี 1 วันเต็ม จนนุ่ม ปรุงให้หนังกรอบ กินกับเห็ดมอเรลที่ฉ่ำซอส     ปิดท้ายด้วยของหวาน ll Pistacchio พิตตาชิโอ้จากซิซิลีทำเป็นสปองค์เค้ก ครีม และไอศกรีม ตัดหวานด้วยราส์พเบอร์รี่สดและซอสราส์พเบอร์รี่  

ลุ้นจนตัวโก่งว่า คุณโชติ และคุณเดบบี้ ลีนุตพงษ์ จะสรรหาร้านอาหารแบบไหนมาเปิดตัวอีก ก็เล่นปิดข่าวเงียบ ให้เดาแบบไม่มีทิศทาง หลังจากประสบความสำเร็จกับทั้ง Vesper และ il Fumo มาแล้ว เพียงบ่นว่าเมื่อไหร่ร้านใหม่จะเสร็จ ชายจุกก็ไปนั่งอยู่ที่บาร์หินอ่อนในร้านสีฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้เดาอีกครั้งว่าที่นี่ขายอะไร สำหรับแฟนของ 2 ร้านนี้ น่าจะพอเดาออกได้ไม่ยากว่าต้องเป็นอาหารอิตาเลียน แต่แบบไหนล่ะ ไม่ต้องบอกดีกว่าเดินเข้าไปดูเลย แว่บแรกรับรองว่าเดาได้         La Dotta : Pasta Bar & Store เป็นร้านอาหารเฉพาะทางด้านพาสต้า จึงมีตู้โชว์เส้นพาสต้าสดสารพัดชนิดที่ทำตอนเช้าไว้เป็นดิสเพลย์ให้เราเลือกว่าอยากกินเส้นพาสต้าแบบไหน แน่นอนว่าวิธีทำ ส่วนผสม หรือรูปทรง ก็ต่างกันไปด้วย ชวนให้จินตนาการว่าเมื่อเข้าไปในปากแล้วจะให้เนื้อสัมผัสแบบไหน พาสต้าที่เป็นศูนย์กลางของร้านก็คือ Tortelloni ซึ่งเชฟเล่าให้ฟังยาวมาก จับใจความได้ว่าเหมือนพุงของเทพีวีนัสนั่นเอง ส่วนชื่อ ลา ดอตต้า เป็นชื่อเล่นของเมืองโบโลญญ่า ที่ชวนให้นึกไปถึงพาสต้าซอสโบลองเนส แต่ร้านพาสต้าบาร์แบบนี้ไม่มีในอิตาลีนะ เชฟ Francesco Deiana เชฟประจำเวสเปอร์บอกกับชายว่าในอิตาลีมีเพียง Pastificio ขายเส้นทำสดให้กลับไปปรุงเอง แต่ในอังกฤษกลับมีร้านแบบนี้ และคุณโชติก็อินสปายต่อมายังที่นี่       คงต้องยกให้ที่นี่เป็นเจ้าแห่งพาสต้าไปในเวลานี้ ทั้งพาสต้าสด พาสต้าแห้ง และพาสต้ากลูเต็นฟรี(จากแป้งข้าวโพด) ซึ่งที่นี่มีครบ ทำจากแป้งนำเข้าจากอิตาลีผสมไข่เป็ดออแกนิค บางชนิดก็ใช้เพียงแป้งและน้ำ เชฟฟรานเชสโก้บอกว่าที่นี่อยากให้ความรู้เรื่องการกินพาสต้าแบบคนอิตาเลียนแท้ๆ เราเลือกเส้นที่เข้ากับซอสไว้หมด แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนกิน แต่เชฟบอกว่าเป็นเรื่องผิดบาปมากถ้าเรากินสปาเก็ตตี้ไปพร้อมกับซอสมีทบอล เพราะคนอิตาเลียนไม่ทำกัน เชฟว่าแม่ตีตายเลยแหละถ้ารู้  แต่ก็มีพาสต้าบางจานที่ทวิสต์ออกมาแต่ก็ไม่ถึงกับผิดบาป Wagyu Beef Bolognese Tagliatelle พาสต้าเส้นแบนกับซอสเนื้อที่มีเนื้อวากิวแบบมีเดียมแรรหั่นเต๋าแทรกมาด้วย มันก็ให้เนื้อสัมผัสดีแหละ จานนี้เป็นไอเดียของเชฟ Nelson Amorim เชฟชาวโปรตุกีสประจำอิลฟูโม่     แต่ถ้าเป็นเมนูพาสต้าทั้งหมดต้องยกให้เชฟชาวซิซิเลียน Giampiero Quartararo เชฟประจำลาดอตต้า Bucatini Carbonara เส้นพาสต้าแห้งทรงกระบอกเส้นยาวที่มีรูตรงกลางกับแก้มหมู ชีส และไข่แดง มีกลิ่นเฉพาะตัวและริชมาก เชฟยังแนะนำว่าเส้น Rigatoni เส้นทรงกระบอกสั้นที่มีแฉกรอบๆ ก็เข้ากับซอสนี้     มาที่นี่อาหารจานหลักคือพาสต้า จึงมีเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยอย่าง Fresh crab meat “Bruschetta” หรือ Mini Bolognese lasagna ให้เลือกเพียง 3-4 อย่าง พาสต้าดีจนชายเองก็ต้องกลับไปในวันรุ่งขึ้นไปลอง Fileja with clams & baby squid in white wine sauce เส้นพาสต้าที่ใช้มือม้วนเนื้อหนึบหนาเด้งสู้ดี แถมหอยก็มากว่าครึ่งค่อนทะเล ใครชอบทะเลมีฟิน     หลังมื้ออาหารแนะนำที่บาร์ชั้นบนที่ได้คุณปาล์ม-ศุภวิชญ์ มุททารัตน์ กรุ๊ปบาร์เมนเนเจอร์มาคิดสูตรแบบง่ายๆ ที่เน้นความคลาสลิก อิตาเลียน และวัตถุดิบสดโดยเฉพาะน้ำผลไม้คั้นสด Passione Negroni จินอินฟิวกาแฟ คัมปารี เวอร์มุท ตัดด้วยรสเปรี้ยวของน้ำเสาวรส ดื่มง่ายกว่าคลาสลิกเนโกรนี Amalfi Southside ตีความจากชายฝั่งอะมัลฟีในอิตาลีที่ขึ้นชื่อเรื่องส่งออกเหล้าเลมอนเชลโล่ ผสมด้วยน้ำส้มยูสุสด และจิน นอกจากนั้นยังมี G & T & Tea จินโทนิคที่อินฟิวกับชารอนนาเฟล สดชื่นดี ปิดท้ายมื้ออาหารได้แบบโคตรดี      

Akart Bistro & Bar อีกหนึ่งร้านใหม่บนถนนเย็นอากาศที่ควรแวะไปเช็คอินสุดๆ ในเวลานี้ ตัวร้านตั้งอยู่ ในโครงการ Yarden Yenakart ที่มองเผินๆ แล้วรู้สึกว่า เหมือนบ้านหลังสวยในละครย้อนยุค (ที่หญิงใหญ่ชอบดู) ด้านในยิ่งโปร่งสบาย แอบถามจากคุณเก๋-ญาณีเจ้าของร้านถึงได้รู้ว่า ตัวร้านเป็นบ้านเก่าอายุเกือบ 50 ปี โดยพยายามรักษาโครงเก่าไว้ให้มากที่สุด ทั้งหน้าต่าง เสาไม้ แต่เพิ่มความโปร่งแสงด้วยกระจกใสให้มองเห็นความร่มรื่นด้านนอก  คุณเก๋บอกว่าส่วนตัวติดรสมืออาหารไทยของคุณยาย แต่ในขณะเดียวกันก็ชอบทำอาหารอิตาเลียนเอามากๆ จึงหยิบสิ่งที่รักและสิ่งทีชอบมาไว้ด้วยกันเสียเลย แต่ขอย้ำว่านี่ไม่ใช่การฟิวชั่น เพราะเธอแบ่งแยกชัดเจนระหว่างอาหารไทยและอาหารอิตาเลี่ยน แถมแยกครัวไทยกับครัวฝรั่งไว้คนละฝั่งอีกด้วย ด้วยความหิวระดับติดเพดาน เราเริ่มด้วยเมนูซิกเนเจอร์ผัดไทยหอยทอดอากาศ จานนี้เห็นแล้วถึงกับตกใจในความช่างคิด คุณเก๋เล่าขำๆ ว่าเวลาไปกินร้านอื่นก็ตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะกินหอยทอดหรือผัดไทย จึงจับมารวมกันในจานเดียวเสียเลย ผัดไทยเส้นเหนียวไม่เละ รสชาติดีทีเดียว เพราะที่ร้านทำน้ำผัดไทยเอง แล้วโปะด้วยหอยทอดร้อนๆ ด้านบน เสิร์ฟมาพร้อมผักแนม ทั้งหัวปลี ถั่วงอก ต้นกุยช่าย  ใครชอบรสจัด แนะนำแกงส้มปลากะพง และยำวุ้นเส้นอัญชัน เมนูโบราณสูตรคุณยาย  ส่วนแฟนอาหารอิตาเลียนแบบฮาร์ดคอร์ แนะนำ Akart Pizza Creamy Fettucine Ham & Mushroom พิซซ่าหน้าเฟตตูชินีเสิร์ฟร้อนๆ แป้งพิซซานวดเอง ท็อปด้านบนด้วยเฟตตูชินี่ผัดแฮมเห็ดสุดครีมมี่ แล้วไปอบอีกครั้ง และจานโปรดของหญิงใหญ่ Lobster Pasta with A.O.P จานนี้อร่อยมาก ล็อบสเตอร์เนื้อแน่น สด และหวาน ไปได้ดีมากกับเส้นพาสต้าแบบอันเดนเต้ผัดกับน้ำมันมะกอก กระเทียม และพริกไทยดำ จบเมนูสุดท้ายด้วยอะไรเบาๆ Akart Cotton Candy เครื่องดื่มสุดสนุกประจำร้าน ชาไทยและชามาเลย์กลิ่นหอมรสเข้ม ท็อปด้วยสายไหมฟูฟ่อง ประดับด้วยดอกเข็มเพิ่มความน่ารัก  ชวนให้นึกถึงตอนเราดูดน้ำหวานจากปลายดอกเข็มเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อย