OO PASTA (ดับเบิลโอ พาสต้า) ร้านพาสต้าเส้นสดขนาดกะทัดรัดบนถนนสามเสนที่ตอนนี้กลายเป็น 1 ในร้านพาสต้าคิวแน่นที่ใครๆ ก็อยากมาลองชิมให้ได้สักครั้ง           เชฟผู้อยู่เบื้องหลังร้านนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น เชฟโมน ธีระธาดา เชฟหนุ่มฝีมือดี (เชฟหน้ากากแดงจาก The Next Iron chef season 2) ที่อยากให้ร้านนี้เป็นเหมือนห้องทดลองขนาดเล็ก ที่นี่เราจะได้เห็นทีมเชฟลงมือทำเส้นพาสต้าหลากหลายรูปทรงกันใกล้ๆ ตั้งแต่สปาเกตตีไปจนถึงพาสต้าแบบยัดไส้ เหมือนได้ชมงานคราฟต์ในอีกรูปแบบหนึ่ง         ไม่ใช่แค่เส้นพาสต้าเท่านั้นที่โดดเด่น แต่ซอสทั้ง 12 ชนิดยังออกแบบมาให้จับคู่กันได้ทั้งหมด รองท้องด้วย Grilled Prawn Garlic Butter กุ้งย่างราดซอสการ์ลิคบัตเตอร์สูตรเชฟโมนที่ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล เนื้อกุ้งสดหวานเข้ากับซอสได้ดี ต่อด้วย Gnocchi ญอกกีเนื้อแน่นและหนึบจับคู่กับซอส Rosa ญอกกีเนื้อแน่นและหนึบจับคู่กับซอส Rosa ซอสสีส้มพาสเทลจากมะเขือเทศและปาปริก้า ใส่แซลมอนลงไปด้วย รสเข้มข้นครีมมี่ถูกปาก         ส่วนใครไม่โปรดปรานซอสครีม ลองสั่ง Farfalle พาสต้ารูปโบจับคู่กับซอส Tomato Reduction ที่หลายคนติดใจ โดดเด่นที่รสเปรี้ยวสดชื่นจากมะเขือเทศสด ใส่ไส้กรอกอิตาเลียน จบด้วยกลิ่นหอมจากโหระพา         ปิดท้ายด้วยเส้น Spaghetti ผัดกับซอส Squid ink หรือซอสหมึกดำเสิร์ฟพร้อมกุ้งย่างสีส้มตัดกัน ได้ทั้งกลิ่นหอมและรสทะเลเข้มข้นเต็มคำ       กระซิบอีกนิดว่า ทางร้านรับจองผ่านโทรศัพท์อาทิตย์ต่ออาทิตย์ (หรือ walk-in หน้าร้าน) ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการโทร.จองคือ 14.00 -17.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ทางร้านพักครัวก่อนเข้าสู่มื้อเย็น       จะได้ไม่พลาดความอร่อย

เมื่อร้าน Tables Grill ร้านเก่าแก่ประจำโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ได้โบกมือลาไป ตอนนี้มีร้านน้องใหม่อย่าง Salvia (ซาลเวีย) ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์ออสเตอเรีย (Osteria) แบบอิตาเลียนดั้งเดิมมาให้บริการแทน       ซาลเวีย ในภาษาอิตาเลียนแปลว่าใบเสจ (พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง) ร้านบรรยากาศสบายเสิร์ฟเมนูอิตาเลียนดั้งเดิมรสชาติถูกปากชาวไทย โดยมีหัวหน้าเชฟ โรแบร์โต ปาเรนเตล่า เชฟหนุ่มจากแคว้นปิเยมอนเตเป็นผู้กำกับรสชาติ     Insalata Cesare (250 บาท) สลัดผักโรเมนหรือผักกาดคอสสดกรอบ ราดเดรสซิ่งแองโชวีรสเค็มมัน และชีส Grana Padano รสเค็มมัน     Burrata e pomodori (390 บาท) สลัดชีสบูราต้าจากหัวหิน เนื้อนุ่มครีมมี่ กับมะเขือเทศเชอร์รี่สดๆ จากเชียงใหม่รสหวาน เติมรสเค็มมันลงตัวด้วยมะกอกดำ     พิซซ่าที่นี่ขนาดกำลังดีและราคาก็น่ารัก ต้องลองสั่ง Salsiccia e broccolini (230 บาท) แป้งนุ่มหอมกลิ่นเตาถ่านสไตล์นโปเลียน ใส่บรอกโคลี เบคอน ชีสมอสซาเรลล่าและกอร์กอนโซล่ารสเข้ม     พาสต้าก็เด็ดเพราะเชฟทำเส้นสดเอง ที่แนะนำคือ Spaghetti vongole e acciughe (460 บาท) สปาเก็ตตี้หอยตลับกับไวน์ขาว พริกป่นและเนยแองโชวี ถ้าชอบเส้นเกลียวเคี้ยวหนุบๆ ต้อง Fusilli caserecci al ragù d’ agnello (330 บาท) พาสต้าเส้นเกลียวเหมือนเชือกที่เชฟทำเอง ผัดกับซอสรากูเนื้อแกะที่ตุ๋นช้าๆ จนนุ่มและรสเข้มข้น       ส่วนจานเนื้อ Tagliata di Angus 350 g (1,380 บาท) เสิร์ฟมาบนเตาย่างเล็กๆ ได้กลิ่นหอมของควันจากใบองุ่น เนื้อริบอายแองกัสออสเตรเลียนย่างมาสุกแบบปานกลาง เมื่อสไลด์แล้วเนื้อสีชมพูสวย นุ่ม กินคู่กับผักร็อกเก็ตและมะเขือเทศเชอร์รี่       ของหวานเราก็ไม่อยากให้ข้าม Tiramisu (220 บาท) เนื้อนุ่ม หอมกลิ่นกาแฟและเหล้าอัลมอนด์อะมาเรตโต (Amaretto) ได้รสชีสมาสคาร์โปนครีมมี่ โรยผงโกโก้และช็อกบอลเม็ดเล็กกรุบกรอบ Crostata di fichi (220 บาท) ทาร์ตลูกฟิก คาราเมลหอมหวาน ลูกฟิกเนื้อนุ่ม เข้ากับอัลมอนด์ครีมและไอศกรีม     เป็นเมนูอิตาเลียนที่อร่อยและคุ้นเคยจนอยากกลับไปกินบ่อยๆ

หากมาถึงเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่างพัทยาและมองหาห้องอาหารรสชาติดีที่มีบรรยากาศสุดหรูในราคาที่เข้าถึงได้ แนะนำ Marini Gastrobar ห้องอาหารอิตาเลียนและซีฟู้ดที่ซ่อนตัวอยู่ใน Hotel Vista Pattaya ด้วยจุดเด่นของรสชาติที่ปรุงแบบต้นตำรับจากวัตถุดิบสดใหม่ โดยฝีมือเชฟเปี๊ยกหนุ่มร่างเล็กที่รอบรู้และเปี่ยมด้วยประสบการณ์ด้านอาหารอิตาเลียนมานานหลายปี จะสั่งเมนูไหนรับรองว่าถูกปากถูกใจทั้งนั้น         เริ่มที่ Parmaham Pizza พิซซ่าหน้าตาเรียบง่ายแต่ครองแชมป์ยอดขายในสายพิซซาของร้าน แป้งไม่หนามากกินแล้วไม่หนักท้องเกินไป ปกติพิซซาต้องกินร้อนๆจะฟินมาก แต่ถาดนี้วางทิ้งไว้สักพักก็ไม่เสียรส แป้งยังคงกรอบนอกนุ่มใน ยิ่งได้ซอสโฮมเมดรสเปรี้ยวตัดรสเค็มนิดๆ ของพาร์มาแฮมก็ยิ่งลงตัว แต่ถ้าชอบความเปรี้ยวสดชื่นอีกระดับก็หยิบจุ่มซอสมะเขือเทศได้เลย       ต่อด้วยจานเด็ดขายดีไม่น้อยหน้าสปาเก็ตตีซอสปู เส้นสปาเก็ตตี้ลวกได้สุดนุ่ม เคี้ยวลื่นคอ ผัดกับซอสปรุงจากน้ำสต๊อกที่เคี่ยวจากเนื้อปูม้าเน้นๆ รสชาติเข้มข้นและหอมมันจากวิปครีม เป็นเมนูที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความสดชื่นจากท้องทะเล       ส่วนสายเนื้อห้ามพลาด เนื้อออสโซบูโกเสิร์ฟกับมันบด (Osso Buco) เชฟเลือกใช้เนื้อน่องมาตุ๋น เนื้อไม่เปื่อยมากทำให้เคี้ยวสนุก เพราะทั้งนุ่มและหนึบสู้ฟัน ราดด้วยซอสเกรวีสูตรต้นตำรับอิตาเลียน เสิร์ฟคู่กับมันบดเนื้อเนียน อร่อยเข้ากันที่สุด       ปลาพ็อกล็อคซอสต้มข่า เมนูพิเศษที่อาจไม่มีให้กินทุกวัน แต่ถ้าอยากลองจะร้องขอเชฟดูก็ได้ เชฟใช้ปลาพ็อกล็อค (Alaska Pollock) ซึ่งเป็นปลาตระกูลเดียวกับปลาค็อด (Cod)  กริลล์พอให้ผิวกรอบแต่รักษาความฉ่ำนุ่มของเนื้อใน จากนั้นราดด้วยซอสเคี่ยวในอุณหภูมิที่พอเหมาะจนได้กลิ่นและรสชาติที่กลมกล่อม มีความครีมมี่นิดๆ ละมุนลิ้น       ถึงคิวของไฮไลท์ห้ามพลาดเพราะเป็นเมนูโปรโมชั่นที่ขายดีจนต้องมีต่อโปรฯ กันยาวๆ ได้แก่ พล่าเนื้อปลา จานนี้เชฟเลือกใช้ปลา Pacific Ocean Perch ส่งตรงจากทะเลอลาสก้า แหล่งน้ำที่สะอาดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นำมาย่างให้เหลืองหอมคลุกเคล้ากับน้ำพล่ารสจัดจ้าน ตักเข้าปากคำแรกก็แทบหยุดมือไม่ได้       อย่าลืมของหวานทีรามิสุ รสหวานนุ่มละมุนลิ้น ตัดความเลี่ยนด้วยผลไม้รสเปรี้ยวได้อย่างเข้ากัน       หรือจะล้างปากด้วยผลไม้สดหลากชนิดที่เสิร์ฟเป็นชิ้นพอดีคำในผลแก้วมังกรผ่าซีกก็ได้ทั้งความกรอบอร่อยและสดชื่น ถือเป็นการปิดท้ายมื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด       ไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดยาวก็แวะมาฟินกับอาหารจานเด็ดแบบนี้ได้ทุกวันที่ Marini Gastrobar

About Eatery ร้านอาหารอิตาเลียนภายในตึกโอเชี่ยน ทาวเวอร์ 2 ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้คนในย่านอโศก ทั้งหนุ่ม-สาวออฟฟิต และนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี เมื่อมองผ่านกระจกใสหน้าร้านเข้าไปเห็นพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง ซึ่งจัดวางทุกอย่างเป็นสัดส่วน กำแพงอิฐสไตล์ยุโรปเข้าคู่กันกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ดูแล้วช่างอบอุ่น มีบาร์ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยไวน์ละลานตา สเตชั่นทำพาสต้า และครัวเปิดที่ให้คุณได้มองเชฟปรุงอาหารได้อย่างเพลิดเพลิน     เห็นไวน์เยอะแบบนี้ แน่นอนว่าที่นี่เขาโดดเด่นเรื่องไวน์ About Eatery เป็น “ไวน์บาร์ธรรมชาติแห่งแรกในประเทศไทย” เสิร์ฟไวน์ธรรมชาติ (Natural Wines) ทั้งสัญชาติไทยและเทศ ที่ใช้กระบวนการผลิตตามวิถีธรรมชาติแท้ๆ อันได้แก่ เก็บองุ่นด้วยมือ ไม่เติมน้ำตาลสังเคราะห์ ไม่ใช้กรดเปรี้ยว ใช้ยีสต์ธรรมชาติ ทั้งหมดก็เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของไวน์ ซึ่งสะท้อนไปถึงแหล่งที่ปลูกนั้นๆ     แพร์ริ่งไปกับ “พาสต้าเส้นสด” ที่ใครๆ ก็เรียกหา รังสรรค์โดย Gabriele Tozzo Luna เชฟชาวอิตาเลียนมากฝีมือ ผู้ซึ่งฝึกปรือทำพาสต้ามาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ใครต้องการชิมพาสต้าโฮมเมดประเภทไหน ก็สามารถเลือกแล้วรอดูเชฟสร้างสรรค์ได้อย่างถนัดตา หรือหากต้องการไอเดียเรื่องซอสชนิดต่างๆ ทางเชฟ Gabriele ก็สามารถแนะนำได้เช่นกัน       นอกจากนั้น About Eatery ยังมีความพิเศษที่เสิร์ฟ “เมนูตามฤดูกาล” ต่างๆ อีกด้วย โดยร้านจะใช้วัตถุดิบสดใหม่ที่หาได้ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ซีฟู้ด ผักและผลไม้ ผสมผสานไปกับวัตถุดิบหลักจากประเทศอิตาลี อาทิ แป้ง ชีส ไส้กรอก แฮม หรือเนื้อบด ปรุงให้ออกมาเป็นจานที่ดีที่สุด เสิร์ฟให้ลูกค้าประทับใจ เฉกเช่นเมนูคริสมาสต์เหล่านี้     Sauteed Mussels (980++ บาท) ชามนี้สำหรับคนรักหอยโดยเฉพาะ เพราะมีทั้งหอยแมลงภู่ตัวอวบ หอยแครงเนื้อหวาน และหอยเสียบที่ส่งตรงมาจากฮอลแลนด์ ผัดกับกระเทียม พริก น้ำมันมะกอก และผักชีฝรั่ง จนได้รสเค็มหน่อยๆ เผ็ดเล็กๆ หอมกรุ่นกลิ่นสมุนไพร     ไปต่อกันที่ Cotechino with Lentils (980++ บาท)  โกเตชิโน่ หรือที่เรียกกันว่า ไส้กรอกหมูหมักสไตล์อิตาเลียน ทำมาจากหมูบดซึ่งห่อหุ้มด้วยขาหมู เสิร์ฟพร้อมกับถั่วเลนทิลที่ทางร้านนำไปตุ๋นกับเครื่องเทศต่างๆ จนหอมฟุ้ง เมนูนี้ชาวอิตาเลียนนิยมรับประทานกันในช่วงวันขึ้นปีใหม่ เพราะเชื่อว่าหากใครได้ลิ้มลองชีวิตจะมีแต่ความโชคดี     Risotto (790++ บาท) ข้าวริซอตโตเรียงเม็ดสวย เคล้าไปกับฟัวกราส์รสครีมมี และเห็ดมอเรล วัตถุดิบสุดล้ำค่าของเชฟชาวฝรั่งเศส ใครเลิฟเมนูเส้นเราแนะนำ Beetroot Lorighittas Pasta (690++ บาท) พาสตาเส้นสด สีแดงเลือดหมูธรรมชาตินี้ได้มาจากบีตรูต เข้ากันได้ดีกับหอยลายตัวอ้วน และสมุนไพรนานาพันธุ์ รสชาติเผ็ดเล็กๆ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเฮิร์บส์       ล้างปากด้วยของหวานอย่าง Panettone (290++ บาท) ขนมปังที่ชาวอิตาเลียนมักรับประทานในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ ภายในเนื้อนุ่มๆ หอมกรุ่นกลิ่นเนยผสานไปกับผิวส้มสดชื่นนั้นเต็มไปด้วยธัญพืชต่างๆ อาทิ อัลมอนด์ ลูกเกด และผลไม้แห้ง กินคู่ไปกับไอศกรีมวานิลลาทำเองรสหวานหอม วิปครีมนุ่มละมุน ซอสช็อกโกแลตรสเข้ม และแอปเปิ้ล     จิบคู่ไปกับ Orange Wine (1,250++ บาท) ไวน์ส้มรสชาตินุ่มนวลจิบเพลิน ฟุ้งไปด้วยกลิ่นของผิวส้ม ลูกพีชแห้ง และแอปริคอท     ฟินทุกเมนูจริงๆ นะขอบอก

L'OLIVA Ristorante Italiano & Wine Bar ร้านอาหารอิตาเลียนที่ตั้งอยู่ภายในซอยนภาศัพท์ 2 ย่านทองหล่อ ของคุณจูน และ คุณนีน่า แทกทีมกับ Nicolino Pasquini เชฟชาวอิตาลีมากฝีมือ ที่ได้นำสูตรลับแสนอร่อยประจำครอบครัวมารังสรรค์เป็นอาหารอิตาเลียนสไตล์รัสติก ให้ถูกปากคนไทย จับคู่ไปกับไวน์ชั้นดีจากแคว้นอาบรุซโซ ที่เสิร์ฟมาในบรรยากาศเรียบง่ายอบอุ่น เสมือนคุณอยู่ในหมู่บ้านชนบทของประเทศอิตาลีก็ไม่ปาน     บ้านเก่าขนาดใหญ่ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยตึกสูง ด้านหน้าของร้านมี “ต้นมะกอก” สวยงามขนาบข้างทางเข้าไว้คอยต้อนรับ ที่เชฟ Nicolino นำมาปลูกไว้เพื่อระลึกถึงหมู่บ้านผลิตไวน์ในภาคอาบรุซโซที่เขาเติบโตมา ซึ่งมันถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ชนิดนี้ และนี่ก็เป็นที่มาของชื่อร้าน L'OLIVA อ่านว่า “โลลิวา” แปลว่า ต้นมะกอกนั่นเอง     ผนังนอกบ้านติดด้วยบานกระจกใสแสดงถึงความทันสมัย เมื่อเดินเข้ามาด้านในกลับให้ฟิลลิ่งถึงความโฮมมี ผนังไม้ผสมผสานไปกับปูนเปลือยและอิฐ ถูกแซมด้วยภาพวาดศิลปะเก๋ๆ เสริมด้วยการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ ซุ้มประตูโค้ง และต้นไม้กระถางในการตกแต่ง ทำให้บรรยากาศปลอดโปร่ง แถมยังมีหลากหลายโซนให้เลือกนั่ง  ทั้งในส่วนของคาเฟ่ Caffe Olive โซนไพรเวทปาร์ตี้ที่บริเวณชั้น 2 และโซนเอ้าท์ดอร์ที่เป็นสวนสวยเขียวขจี       ประเดิมด้วยเมนูคอมฟอร์ดฟู้ดของประเทศอิตาลี อย่าง TIMBALLO ABRUZESSE (420 บาท) ลาซัญญาสูตรดั้งเดิมของแคว้นอาบรุซโซ เส้นพาสตาสี่เหลี่ยมสไตล์โฮมเมด สลับชั้นกับหมูสับ เนื้อสับ มะเขือเทศ และ Scamorza ชีสที่มาจากทางตอนใต้ของชาวอิตาเลียน ทั้งหมดรวมเป็นรสเปรี้ยว ผสานความครีมมีที่เข้มข้น     จานต่อไปเป็น IMPEPATA DI COZZE ALL'ARRABBIATA (550 บาท) หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ ตัวอวบอ้วน เนื้อหวาน ที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี นำมาผัดกับซอสสไปซีสูตรพิเศษของทางร้าน ได้รสเปรี้ยวสดชื่นจากมะเขือเทศ หอมกรุ่นกลิ่นไวน์ขาว และใบเบซิล     ต่อด้วยเมนูจิกเนเจอร์ MORTADELLA E PISTACCHIO (520 บาท) พิซซาเตาถ่านทำเองหอมๆ ร้อนๆ แป้งบางกรอบที่ถูกทาด้วยซอสครีมซูกีนี และพิททาชิโอ้บด ให้รสเค็มกลมกล่อม หอมกลิ่นสมุนไพร โรยหน้าด้วย Mortadella ไส้กรอกอิตาลีสไลซ์บาง และชีสต่างๆ อาทิ ชีสนม Fior di Latte และ ชีสมาสคาร์โปน     ล้างปากด้วย PROFITTEROLE (250 บาท) ครีมพัฟสอดไส้ไอศกรีมวานิลลาทำเอง หอมหวาน ราดซอสช็อกโกแล็ตรสเข้มอุ่นๆ กินคู่ไปกับผลไม้สดตระกูเบอร์รีต่างๆ ได้แก่ สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี และราส์ปเบอร์รี รสเปรี้ยวอมหวาน และวิปครีมนุ่มละมุน     กระซิบ อยากมาชิมร้านนี้ต้องบุ๊คก่อน เพราะคิวทองมาก!

ร้านอาหารสำหรับครอบครัวร้านดังที่มีมากกว่า 90 สาขาทั่วเกาหลี สำหรับสาขานี้นอกจากจะเป็นสาขาแรกของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นสาขาแรกในต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งความพิเศษของร้านนี้ที่สามารถครองใจชาวเกาหลีมาอย่างเหนียวแน่นนั้นคงไม่พ้นคอนเซปต์ของอาหารที่เน้นปริมาณให้เหมาะสำหรับอิ่มอร่อยกันทั้งครอบครัว หรือเหมาะกับกลุ่มเพื่อนที่จะมาแชร์ความอร่อยระหว่างกัน       ส่วนบรรยากาศร้านจะมาในโทนสีขาวสะอาดตาคล้ายกับที่เกาหลี พร้อมด้วยเครื่องหมาย & ที่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการร่วมแบ่งปันรสชาติแสนอร่อยที่ทำกันสดใหม่ในครัว ส่วนสไตล์อาหารก็เป็นอาหารอิตาเลียนในสไตล์ที่ชาวเกาหลีกินกัน และที่สำคัญทุกเมนูจะมีไข่ดาวพ่วงมาด้วย เพื่อรับประกันความอิ่มหนำ     เริ่มกันด้วยชุด HANSANG ที่แปลว่า “ชุดของขวัญ” เซ็ตอาหารจานใหญ่ที่ให้เราเลือกจานหลักอย่างสเต็ก พิซซ่า และฟองดูกุ้งชีส ก่อนจะมาจับคู่ Side Dish อย่าง พาสต้า ริซอตโต และพิลาฟ ที่เราเลือกลองเป็น Shrimp Cheese Fondue ฟองดูชีสกุ้งกระทะร้อนที่อัดแน่นความอร่อยด้วยเบคอน มันฝรั่งปรุงรสหั่นเต๋า และชีส นำไปอบจนได้ที่ ก่อนจะนำกุ้งตัวโตเนื้อแน่นมาผัดซอสรสเผ็ดนิดๆ โรยหน้าอีกครั้งให้ส่งควันฉุย สำหรับวิธีการกินนั้นก็ให้ตักกุ้งพร้อมชีสยืดๆ มาจิ้มกับซอสมะเขือเทศบาร์บีคิว อร่อยเต็มคำ     อีกจานเป็น Bacon Carbonara สปาเก็ตตี้เส้นเหนียวนุ่มในซอสคาร์โบนาราสุดชุ่มฉ่ำที่ทำจากวิปปิงครีมและนม กรุบกรอบหอมมันด้วยเบคอนมาพร้อมกับไข่ดาวยางมะตูมเยิ้มๆ แต่ถ้าใครชอบของทอดเราขอแนะนำ Platter ที่รวมของอร่อยไว้ในจานเดียว อาทิ ปีกไก่บาร์บีคิว กุ้งชุบแป้งทอด ชีสบอล เฟรนซ์ฟราย ขนมปังกระเทียม เสิร์ฟพร้อมคอร์นสลัด ที่เราขอบอกว่าอร่อยทุกอย่าง!       แล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วย Jeju Soda น้ำส้มหวานหอมส่งตรงจากเกาะเจจู ประเทศเกาหลีที่นำมาผสมโซดาสุดซาบซ่า ดื่มเพลินอย่างที่สุด  

ภายในชั้นใต้ดินของโรงแรมโฮเทล มิวส์ กรุงเทพฯ แห่งถนนหลังสวน เป็นที่ตั้งของ Medici Kitchen & Bar ร้านอาหารอิตาเลียนขนานแท้ ที่เพิ่งรีแบรนด์ใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม เพิ่มความสว่างให้ร้านแต่ยังคงบรรยากาศโรแมนติก มีไฟสลัวๆ ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว ตัวร้านตกแต่งผสมผสานระหว่างความหรูหราสไตล์ยุโรปกับความงามของเอเชียในสมัยรัชกาลที่ 5 มีบาร์เครื่องดื่มโดดเด่นพร้อมเสิร์ฟตลอดค่ำคืน        เมื่อพูดถึงเรื่องอาหาร Medici Kitchen & Bar คัดสรรวัตถุดิบชั้นดีจากประเทศอิตาลี ผ่านกรรมวิธีที่พิถีพิถันทำให้ได้รสชาติอาหารที่ถูกปากทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ       เริ่มเรียกน้ำย่อยกันเบาๆ ด้วยเมนูสุดคลาสสิค Affettati Formaggi แฮมอิตาเลียน ชีสหลากชนิดชั้นดี ลูกมะกอกและผักดองแบบโฮมเมด เสิร์ฟมาบนถาดไม้ในสไตล์ดั้งเดิมของคนอิตาเลียน รสเค็มมันกินกับขนมปังอุ่นๆ หอมกรุ่น อร่อยถูกใจ     ต่อด้วยจานที่เราโปรดปราน Fritto Misto พาสต้าเส้นสดและกองทัพซีฟู้ด อาทิ กุ้งลายเสือ ปลาหมึก ปูนิ่ม ทอดจนเป็นสีเหลืองทองกรุบกรอบ หอมน่ารับประทาน จิ้มกับซอสทาร์ทาร์โฮมเมด รสหอมมัน เข้ากันลงตัว     Pizza Tartufata พิซซาร้อนๆ จากเตา แป้งหนานุ่มกำลังดีโรยหน้าด้วยชีสคุณภาพ อาทิ ชีสมาสกาโปน ชีสอาสิอาโกมันกลมกล่อม เห็ดพอร์ชินีสดเนื้อหวาน และวัตถุดิบเลอค่าอย่างทรัฟเฟิลหอมกรุ่น อร่อยเต็มคำ     เอาใจคนรักเมนูเส้นด้วย Spaghetti Di Mare เส้นสปาเก็ตตีโฮมเมดผัดพร้อมกุ้งลายเสือ ปลาหมึก หอยแมลงภู่ หอยกาบ และซอสมะเขือเทศสดรสเปรี้ยวกำลังดี หอมกลิ่นออริกาโนสุดฟิน กินเพลินๆ     RisottoE Capesante ข้าวรีซอตโตเคี่ยวกับครีม ไวน์และน้ำสต๊อกจากหอยเชลล์จนได้รสเค็มกำลังดี ครีมมี่ๆ ด้านบนวางด้วยหอยเชลล์ย่างสุกได้ที่ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เพิ่มความหอมกรุ่นด้วยเห็ดทรัฟเฟิล เป็นอัน Perfect!     จานนี้ก็อร่อยไม่แพ้กัน Ravioli Foie Gras ราวิโอลีสอดไส้ฟัวกราส์นุ่มละมุน ราดด้วยซอสครีมเห็ดทรัฟเฟิลครีมมีสุดๆ แถมมีรสเปรี้ยวอมหวานจากลูกมะเดื่อมาช่วยแก้เลี่ยนด้วย     จบมื้อนี้ด้วยของหวานไฮไลท์ Medici Tiramisu ชีสมาสกาโปนหอมมันสลับชั้นกับเลดี้ฟิงเกอร์เนื้อนุ่มชุ่มกาแฟ  ด้านล่างมีซอสช็อกโกแล็ตเข้มข้น ตักกินพร้อมกันทุกเลเยอร์ ถูกใจสวีตเลิฟเวอร์เป็นที่สุด     กระซิบสักนิด วันอังคาร-เสาร์ ค่ำๆ คุณจะได้ดื่มด่ำกับวงโอเปร่าแสนไพเราะฟังแล้วพาให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น!

นอกจากจะมีเบกกิงสตูดิโอสอนทำขนมและเบเกอรีนานาชนิดแล้ว Salon de Ka.Lim” (ซาลง เดอ คาลิม) ยังแบ่งพื้นที่ขนาด 2 คูหาให้กลายเป็นร้านอาหารโฮมเมดสไตล์ยุโรปหรูหราน่านั่งประดับประดาด้วยต้นไม้และดอกไม้สวยงามที่พร้อมต้อนรับเหล่านักชิมที่ผ่านมาเยี่ยมเยือนจังหวัดจันทบุรีด้วยหลากหลายเมนูเด็ดสไตล์ตะวันตกผสานกลิ่นอายเอเชียนที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์         จานเด่นห้ามพลาดของที่นี่มีทั้ง Pasta Old Rose Sauce สปาเกตตีเส้นเหนียวนุ่มคลุกเคล้าครีมซอสมะเขือเทศสูตรเฉพาะของเชฟที่ทำจากคุกกิงครีมคุณภาพดีและกุ้งสดเนื้อเด้ง และ Pizza Set พิซซาหน้าข้าวโพดและชีสมอสซาเรลลาหอมมัน กินกับซอสปลาหมึกผัดเผ็ดสไตล์เกาหลีที่เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ       ส่วนใครอยากมานั่งชิลละเลียดเครื่องดื่มเบาๆ เราแนะนำ Iced Chocolate ช็อกโกแลตเย็นเข้มข้นที่มีส่วนผสมของเหรียญ Chocolate Couverture นมสด และวิปปิงครีมรสกลมกล่อม กินคู่ครัวซองต์กรอบนอกนุ่มในสักชิ้นเป็นอันอิ่มกำลังดี  

ในช่วงเย็นที่อากาศและการจราจรไม่เป็นใจแบบนี้ เราอยากชวนทุกคนมาหลบฝนตกรถติด (หนัก) พร้อมนั่งชิลละเลียดมื้อค่ำรสเลิศในสไตล์เฟรนช์-อิตาเลียนที่ Blend Bistro & Wine Bar” ที่ขยับขยายมาปักหลักร้านใหม่ที่ชั้นล่างของ Somerset Maison Asoke ซอยสุขุมวิท 23 พร้อมบรรยากาศเป็นส่วนตัวในพื้นที่กว้างขวางนั่งสบายยิ่งขึ้น         นอกจากโซนบาร์ที่พร้อมเสิร์ฟคอกเทลและไวน์ระดับคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลกแล้ว หลากหลายเมนูเด่นที่รังสรรค์โดยเชฟ Laurent Scire ยังอร่อยห้ามพลาดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นจานกินเล่น (แต่อิ่มเพลิน) อย่าง Wild Burgundy Snails หอยทากอบกระเทียมและเนยหอมพาสลีย์ และ Fried Soft Shell Crab Salad สลัดปูนิ่มทอดกรอบราดน้ำสลัดคอกเทลสูตรเด็ด       สำหรับคนรักพาสต้า เราแนะนำ Fettuccine Black Truffle & Spicy Italian Sausage เส้นเฟตตูชินีเหนียวนุ่มผัดคลุกเคล้าซอสแบล็กทรัฟเฟิลและไส้กรอกอิตาเลียน ส่วนสาวๆ ที่อยากอิ่มแบบเฮลต์ตียิ่งขึ้นต้องลอง Tasmanian Salmon แซลมอนย่างกับเคเฟอร์ มะเขือเทศเชอร์รี และซอสลอบสเตอร์สไตล์เมดิเตอร์เรเนียน เสิร์ฟพร้อมมันบดเนื้อเนียนนุ่มลิ้น       ที่สำคัญ Blend Bistro & Wine Bar รูปโฉมใหม่นี้มาพร้อมเมนูเด็ดอย่างพิซซาหลากหลายชนิด เราชอบ Cheese Passion พิซซาซิกเนเจอร์หน้ารวมชีส 4 ชนิด ทั้งมอสซาเรลลา กอร์กอนโซลา บรี และพาร์เมซาน (แถมช่วงนี้ยังมีโปรโมชันพิซซาทุกหน้า ลด 30 เปอร์เซ็นต์ ทุกวันจันทร์ เวลา 16.00 – 23.00 น.อีกด้วย)     แล้วอย่าลืมปิดท้ายมื้ออร่อยด้วยของหวานอย่าง Warm Apple Tart ทาร์ตแอปเปิลเสิร์ฟอุ่นๆ พร้อมไอศกรีมวานิลลามาดากัสการ์ที่บอกเลยว่าควรค่าแก่การเก็บพื้นที่ในท้องไว้รออย่างแน่นอน  

สำหรับคนที่หลงรักรสชาติอาหารแบบอิตาเลียนแท้คงไม่มีใครไม่รู้จักร้านเก่าแก่อย่าง Rossano’s Italian Cuisine ที่แรกเริ่มเดิมทีเป็นที่รู้จักในชื่อ L’Opera ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่เก่าแก่ที่สุดในบ้านเราแห่งหนึ่ง ก่อนจะย้ายมาเปิดบ้านหลังใหม่ในซอยสุขุมวิท 21/3 ในชื่อโรซาโน (Rossano’s) ที่ปัจจุบันดูแลโดยคุณ Giorgio Lattuille       เสน่ห์ของที่นี่คงต้องยกให้ความเก่าแต่คลาสสิกตั้งแต่หน้าร้าน ซึ่งแทบเดาไม่ออกเลยว่าเมื่อก้าวพ้นประตูบานใหญ่เราจะถูกดึงเข้าไปในอีกอารมณ์หนึ่งเหมือนอยู่ในคฤหาสน์หลังงามที่โดดเด่นด้วยรายละเอียดด้านในที่ชวนให้นึกถึงเมืองทัสคานี ไม่ว่าจะเป็นโทนสี ปูนเปลือย ซุ้มโค้งและการนำอิฐบล็อกมาใช้ มีบาร์เอาใจคนรักไวน์ และแบ่งพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วนสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว       เมนูทั้งหมดของร้านคิดค้นและการันตีคุณภาพโดยเชฟ Matteo Verini ชาวอิตาเลียน ความพิเศษยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะทุกสองสัปดาห์ยังมีการคิดเมนูพิเศษ (Chef Special) เพิ่มขึ้นเพื่อเอาใจลูกค้าอีกด้วย อย่างเมนู Rossano’s Selection from Delicious Appetizers Warm and Cold ของเรียกน้ำย่อยที่จัดเสิร์ฟมาเป็นแพลตเตอร์ให้แชร์กันได้เพลินๆ โดยเฉพาะชีสและโคลด์คัตนำเข้า     ตามด้วย Mixed Cheese ชีสสุดพิเศษที่เชฟเลือกให้ 3 ชนิดคือ“Sottocenere al Tartufo”ชีสสัญชาติอิตาเลียนที่โดดเด่นด้วยเนื้อสัมผัสนุ่มนวลที่สำคัญหอมจรุงไปด้วยกลิ่นทรัฟเฟิล “Fior d’ Arancio”บลูชีสที่เซอร์ไพรส์เราด้วยกลิ่นหอมจากส้มและ “Testun al Barolo” ชีสที่ผ่านการหมักบ่มในชั้นใต้ดิน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวแทรกด้วยเนื้อสัมผัสขององุ่นเคียงมาพร้อมผลไม้สด แครกเกอร์และSpicy Onion Jam     ขยับความจริงจังขึ้นมาอีกนิดกับ Fresh Imported Mussel Sauteed in White Wine and Garlicหอยแมลงภู่อิมพอร์ตตัวโตผัดกับไวน์ขาวและกระเทียม เรียบง่ายแต่รสชาติดี ส่วนคอพาสตารับรองไม่ผิดหวัง ที่นี่มี Special No.4 ราวิโอลีสอดไส้ปลาซีบาสและแซลมอน ผัดกับหอยตลับมะนิลาและหน่อไม้ฝรั่ง ตัวแป้งพาสตาเนื้อหนากำลังดี ไส้แน่นจุใจ ได้กลิ่นอายของท้องทะเลแบบเต็มๆ       ส่วนใครเป็นแฟนคลับของหมูดำแสนอร่อยอยากให้ลอง Special No.5จานนี้เข้มข้นตั้งแต่ตอร์เตลลีนี พาสตาโฮมเมดที่มาพร้อม Patanegra หรือแฮมหมูดำแสนอร่อย เข้ากันกับซอสสุดครีมมี่และกลิ่นหอมจากแบล็กทรัฟเฟิลที่เชฟมาสไลซ์ให้ถึงโต๊ะ ต่อด้วยเมนคอร์ส Lamb Chop - Grilled Australian Lamb Cutlets สเต๊กเนื้อแกะส่วนซี่โครงนาบบนหินร้อนภูเขาไฟที่ทั้งนุ่มและไม่มีกลิ่นสาบกวนใจ       ทิ้งท้ายด้วยของหวานสุดคลาสสิกอย่าง Tiramisu ที่หอมนุ่มชุ่มลิ้น และ Dark Chocolate Demi Sphere คนรักช็อกโกแลตต้องกรี๊ดสุดใจ เพราะนอกจากรสเข้มด้านนอก เมื่อใช้ช้อนตีให้แตกจะพบความละมุนของมูสช็อกโกแลตที่ซุกซ่อนอยู่ กินกับสตรอว์เบอร์รีสดและซอสคาราเมลหอมหวาน       ได้รสชาติอิตาเลียนแบบครบถ้วน

คนรักการกินอาหารอิตาเลียนและงานศิลปะได้ฟินเพราะ มีโอฟู้ดแอนด์อาร์ต Mio Food & Art ร้านใหม่ย่านทองหล่อในซอยสุขุมวิท 53 นี้ จับทั้ง 2 อย่างมารวมไว้ด้วยกัน ด้วยพื้นที่ของร้านแบ่งเป็น 2 ชั้นเหมือนเป็นโชว์รูมขนาดย่อมๆ ที่มีทั้งชิ้นงานศิลปะ ของประดับตกแต่ง โคมไฟและเฟอร์นิเจอร์สวย ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนเรื่อยๆ เลือกสรรโดยคุณอันโตนิโอ มาร์เชลลี เจ้าของร้านชาวอิตาเลียน           ส่วนอาหารได้เชฟมากประสบการณ์อย่างอันโตนิโอ แฟคชิเนติ ชาวเมือง Ponte di Legno (Bescia) ในแคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี มาดูแลความอร่อย จานแรกที่เชฟแนะนำคือ Imported Burrata, Vine Tomatoes, Balsamic Reduction ชีสบูราต้าจากอิตาลีของดีประจำถิ่น ชีสสีขาวก้อนกลมเนื้อนุ่มครีมมี่กินกับมะเขือเทศสดรสหวานสดชื่น ราดด้วยน้ำมันมะกอกอย่างดี รสเปรี้ยวหวานหอมลงตัว     ร้านนี้ใช้โคลคัทสูตรออร์แกนิคส่งตรงจากอิตาลี อย่าง Salame Toscano al Coltello รสเค็มมัน หรือเลือกชนิดที่ชอบก็ได้เชฟจะสไลด์บางๆ จัดใส่ถาดมาให้อย่างสวยงาม แกล้มแตงดองกินเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยหรือคู่กับไวน์ก็เหมาะ     ส่วนพาสต้าลองสั่งเมนู Paccheri Squid Ink, Garlic, Chili Roasted Octopus พาสต้าทรงกระบอกสีออกดำเพราะผสมน้ำหมึกของปลาหมึกลงไปในแป้ง ผัดกับน้ำมันมะกอกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ใส่หนวดปลาหมึกยักษ์ที่เชฟนำไปต้มจนนุ่มเคี้ยวมันสะใจ และมะเขือเทศเชอร์รีเพิ่มให้มีรสสดชื่นลงตัว     อีกเมนูที่สายเนื้อห้ามพลาดคือ Costata (Prime Rib 500 gr.) โดยทางร้านได้จับมือกับฟาร์มปศุสัตว์ในภาคอีสานของประเทศไทยสร้างสายพันธุ์พิเศษสำหรับเนื้อ ‘แบล็คแองกัส’ และ ‘ชาร์โรเล่สบีฟสเตียร’ เอจตามแบบฉบับอิตาลีต้นตำรับ ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและฉ่ำเป็นพิเศษ เนื้อย่างมาแบบมีเดียมสุกกำลังดี หอมกลิ่นเนื้อชัดเจน เสิร์ฟพร้อมกระเทียมอบและซอสพาร์สลีย์ซัลซาเวร์เด (Salsa Verde)     สุดท้าย Tiramisu ของหวานที่แฟนพันธุ์อาหารอิตาเลียนห้ามพลาด เชฟใช้ชีสมารสคาร์โปนแท้ไม่ผสมครีม ตีกับไข่แดงและน้ำตาลทรายเท่านั้น ฟิงเกอร์เลดี้ชุบด้วยกาแฟผสมกับไวน์มาซาล่าทำให้ได้รสชาติเข้มข้นหวานมันแบบคลาสสิค     ทั้งศิลปะและอาหารทำให้เราได้เจริญตาและเพลิดเพลินเจริญพุงจริงๆ

ขอยกให้เป็นการร่วมงานที่โดนใจคนรักกาแฟและคนรักงานศิลป์อย่างแท้จริง สำหรับ “Craftsman X บ้านอาจารย์ฝรั่ง” คาเฟ่แห่งใหม่ในฝั่งธนฯ ที่ผสานความหอมกรุ่นของกาแฟจาก Craftsman ขวัญใจเหล่าฮิปสเตอร์กับบรรยากาศแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ในบ้านพักอาศัยเมื่อครั้งอดีตของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้อย่างกลมกลืนและลงตัว     แม้จะเริ่มต้นจากความต้องการเปิดแกลเลอรีศิลปะบนชั้น 2 ของศิษย์เก่าชาวศิลปากร แต่เมื่อต้องการปลุกชีวิตและสีสันให้กับอาคารอนุรักษ์ของกรมศิลปากรแห่งนี้ คาเฟ่ในชั้นล่างจึงถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความร่วมมือของคุณแวว แห่ง Craftsman ที่ตั้งใจพารสชาติละมุนของเมล็ดกาแฟบ้านห้วยห้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน จากร้านเก่าที่เย็นอากาศมาเติมเต็มความอร่อย       โดยเฉพาะซิกเนเจอร์ที่หลายคนติดใจอย่าง Hot Honey Latte ลาเต้ร้อนที่ใช้น้ำผึ้งป่าออร์แกนิกเพิ่มความหวานละมุน มาพร้อมรังผึ้งหอมหวาน และ Iced Lemongrass Latte ลาเต้เย็นชื่นใจหอมตะไคร้อ่อนๆ ที่คว้ารางวัลชนะเลิศจากงาน I+D Style Cafe 2018 มาครองได้อีกด้วย และ Black Coffee Mojito กาแฟโคลด์บริวที่ผสมผสานความหวานของน้ำตาลทรายแดงและความเปรี้ยวจากไซรัปผลไม้ได้อย่างลงตัว         ส่วนคนรักผลไม้ต้องลอง Passion Honey on the Rock เมนูโปรดของครอบครัวเจ้าของร้านที่รวมความอร่อยของเสาวรสสด น้ำผึ้งป่า เกลือซีซอลต์ และเกล็ดน้ำแข็งบด (ตักเข้าปากคพำแรกก็รู้สึกเหมือนกินน้ำแข็งไสหวานเย็นสดชื่นสุดๆ) และ Sparkling Tamarind for Baan Ajarn Farang น้ำมะขามผสมน้ำผึ้งป่าออร์แกนิก เพิ่มความสดชื่นด้วยสปาร์กลิงวอเตอร์ ที่ได้แรงบันดาลใจจากน้ำมะขามซึ่งเป็นเมนูโปรดของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี นั่นเอง       ที่สำคัญที่นี่ยังเพิ่มเมนูอาหารสไตล์อิตาเลียนตอนใต้ (ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอาจารย์ศิลป์) ให้เราอิ่มยิ่งขึ้น อาทิ Italian Sausage Salad สลัดไส้กรอกอิตาเลียน ที่ปรุงรสง่ายๆ แต่อร่อยไม่ธรรมดาด้วยเกลือ พริกไทย น้ำมันมะกอก Seafood Arrabbiata Pasta เส้นลิงกวินีเหนียวนุ่มผัดกับซอสอาราเบียตาเผ็ดนิดๆ หอมออริกาโน มาพร้อมเหล่าอาหารทะเล ทั้งกุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ Grill Lamb Chop with Italian Herb ซี่โครงแกะย่างสมุนไพร เสิร์ฟคู่มันบดที่ทำสดจานต่อจาน และ Aus. Wagyu Steak with Red Wine Sauce สเต๊กวากิวเนื้อนุ่มสุกกำลังดี กินคู่ซอสไวน์แดงสูตรเด็ด           รวมทั้งของหวานที่พลาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น Flourless Chocolate Cake เค้กช็อกโกแลตไร้แป้ง มาพร้อมซอสเบอร์รี และ Apple Strudel ไส้แอปเปิลอัดแน่น เสิร์ฟคู่ไอศกรีมกาแฟ Artisan Blend ที่มีรสชาติไม่ผิดเพี้ยนจากกาแฟจากฝีมือบาริสต้าประจำร้านเลยทีเดียว    

โลล่า บาย โคคอต (LOLA by Cocotte) ร้านอาหารน้องใหม่บรรยากาศสดใสด้วยเรือนกระจกสูงโปร่ง ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจเฟมินีนถูกใจสาวๆ แต่ยังคงความโคซี่และเทรนดี้แบบร้านบิสโทรในเมืองหลวง         อาหารของที่นี่เป็นอิตาเลียนสไตล์นิวยอร์คเราอยากให้คุณเรียกน้ำย่อยด้วยเมนู Fresh Burrata with Tomato Confit & Pesto เมนูดั้งเดิมของอิตาลีที่เสิร์ฟชีสบูราต้าสดกับมะเขือเทศกงฟีในน้ำมันกระเทียมและโรสแมรี่ ราดด้วยซอสเพสโต้และใบโหระพา รสชาติที่เข้มข้นขึ้นของมะเขือเทศทำให้เรารู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที หรือจะลอง Cobb Salad สลัดคลาสสิคอเมริกันใส่ไก่ซูวีเนื้อนุ่ม ชีสกอร์กอนโซล่า เบคอน ข้าวโพด มะเขือเทศ ไข่ต้มและอโวคาโด       ต่อด้วย Truffle Heaven พาสต้าเส้นแบน Tagliatelle ผัดกับเห็ดชิเมจิ ออรินจิและทรัฟเฟิลครีมซอสรสครีมมี่เข้มข้น ราดด้วยน้ำมันทรัฟเฟิล และโรยทรัฟเฟิลสไลด์ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง     ตามด้วยพิซซ่าสไตล์อิตาเลียนร้อนๆ ส่งตรงมาจากเตาหน้าร้านมีหลายหน้าให้เลือก เราแนะนำ Pizza Ricotta & Mortadella พิซซ่าอบร้อนๆ แป้งหอมกรอบ ซอสรสอร่อยทำจากมะเขือเทศ San Marzano ลูกเรียวยาว ใส่มะเขือเทศกงฟีเพิ่มรสเข้มข้น โรยชีสมอสซาเรลล่าและริคอตต้านุ่มๆ และแฮมมอร์ทาเดลล่าสไลด์ชิ้นใหญ่เต็มคำ หรือถ้าชอบแบบคลาสสิคลองสั่ง Pizza Pepperoni พิซซ่าเปปเปโรนีมาลองดูก็ได้     หากยังไม่อิ่มลองสั่งเมนูสไตล์อเมริกันอย่าง Double “B-C-B” เบอร์เกอร์เนื้อวากิวไส้ดับเบิ้ล สลับชั้นด้วยชีสเชดด้าและเบคอนกรอบ ใส่แยมหอมหัวใหญ่รสหวาน ประกบด้วยเบอร์เกอร์บันเนื้อนุ่มสไตล์โฮมเมด เสิร์ฟกับเฟรนช์ฟรายที่ทอดในน้ำมันเป็ดกรอบนอกนุ่มใน อร่อยแบบไม่เกรงใจแคลอรี่กันไปเลย     มีทเลิฟเวอร์ลองสั่ง Flank Steak ที่มช้เนื้อวากิวย่างมาหอมๆ เสิร์ฟกับสตูว์ผักสไตล์อิตาเลียน ร็อกเก็ตสลัดโรยชีสพาร์เมซาน     ห้ามพลาดของหวานอย่าง Dark Chocolate Mousse รสเข้มข้นโรยช็อกโกแลตครัมเบิล พิตาชิโอคาราเมล และเมนู Lemon Pie ที่เชฟใส่ส้มยูสุลงไปด้วยให้กลิ่นหอมและรสอร่อย           สุดท้ายสั่งค็อกเทลสีสวยหวานมาจิบคู่กับอาหาร สนุกสนานเหมือนอยู่บ้านเพื่อนสาวเลยล่ะ  

ร้านน่ารักตกแต่งสไตล์โฮมมีที่เหมาะนั่งชิล กินอาหาร และจิบเครื่องดื่มเย็นๆ โดยเฉพาะค็อกเทลสุดจี๊ดที่ถือเป็นไฮไลท์ของร้านแถมมีให้เลือกเยอะมากจนอยากแวะกลับมาซ้ำอีกหลายครั้ง ด้านเมนูอาหารปรุงโดยเชฟหนุ่มชาวไทยที่หลงใหลในอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด         เริ่มที่เมนูขายดีพิซซ่าซีฟู้ด พิซซาหน้าเต็มฉ่ำซอสมะเขือเทศเยิ้มๆ ทอปด้วยซีฟู้ดชิ้นโตเต็มคำ พริกยักษ์ย่าง และชีสมอสซาเรลลาอย่างหนา     ซีซาร์สลัด เสิร์ฟความสดของผักสลัด มะเขือเทศ มะกอกดำ โรยขนมปังกรอบ ชีสพาเมซาน เบคอนทอด คลุกเคล้าจนเข้ากันด้วยน้ำสลัดสูตรลับ     สปาเก็ตตีผัดพริกแห้ง สปาเกตตีผัดแห้งไร้ความมันส่วนเกิน ปรุงรสชาติเค็มมันผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัวกับส่วนผสมต่างๆ เพิ่มดีกรีความอร่อยคูณสองด้วยไส้กรอกเนื้อแน่นสูตรเฉพาะของร้าน     ช่วงไฮไลท์ของสายดริงค์ยกให้เหล่าค็อกเทลที่คิดค้นโดยมิกซ์โซโลจิสต์ประจำร้าน ตัวเด่น Summer Scent สีส้มสดใสได้รสเปรี้ยวอมหวานจากน้ำเสาวรส สับปะรด และส้ม     Blue Lagoon ซาบซ่าถึงใจด้วยไซรัป Blue Curacao, น้ำมะนาว และโซดา     และที่สุดของคนรักค็อกเทล Margarita สเน่ห์ของความเรียบง่ายที่ครองใจสายดื่มอย่างเรามายาวนานด้วยส่วนผสมของ Tequila, Cointreau และน้ำมะนาว     ไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดก็ปักหมุดได้ที่ Margarita

ลาดอตตา ลากราสซา ร้านที่เป็นมากกว่าสาขาที่ 2 ของลาดอตตาทองหล่อ “La Grassa” เป็นภาษาอิตาเลียน แปลว่า “จ้ำม่ำ” และเป็นชื่อเล่นของ Bologna เมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องอาหารการกินของประเทศอิตาลี แน่นอนว่าร้านนี้ต้องมีดีมากกว่าพาสตา     ร้านใหม่นี้กว้างขวางขึ้นด้วยกระจกใส ดูแล้วสว่างสดใส ตกแต่งด้วยโทนสีชมพู-น้ำเงิน มีบาร์ทำจากหินอ่อนดูสวยพรีเมียม ส่วนของครัวได้ “ฟรานเชสโก” เชฟพาร์ตเนอร์ของร้าน และ “ลูกา” หัวหน้าเชฟเป็นผู้ดูแลเมนู       เราเริ่มต้นมื้อด้วย Strawberry & Truffle สลัดร็อกเก็ตรสฉุนซ่ากับสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน เพิ่มรสเค็มมันด้วยชีสพาร์มิจิอาโน เร็กจิอาโน ใส่ทรัฟเฟิลสไลซ์ น้ำสลัดทำจากทรัฟเฟิลบดและน้ำมันมะกอกกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย     จานต่อมา Slow Cooked Crispy Skin Suckling Pig หมูหันสไตล์อิตาเลียนสูตรจากซาร์ดิเนียบ้านเกิดของเชฟฟรานเชฟโก หนังหมูกรอบ เนื้อนุ่ม กินกับเกรวีไวน์แดงรสเข้มข้น     มาร้านนี้ทั้งทีก็ไม่อยากให้พลาดสั่งพาสตาเมนูพิเศษ Bouillabaisse Seafood Stew Pasta แค่ยกมาวางที่โต๊ะก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งของแซฟฟรอน จานนี้เชฟได้แรงบันดาลใจจากซุปทะเลบุยยาแบสของฝรั่งเศส เมื่อใส่พาสตาริกาโตนี (Rigatoni) ลงผัดทำให้เส้นซึมความอร่อย รวมทั้งกลิ่นหอมและรสชาติของซุปทะเลไว้เต็มๆ     ใครที่ชอบชีสลองสั่ง Wagyu Mac & Cheese พาสตาอบที่ใช้คองคิเย (Conchiglie) พาสตารูปหอยสัญลักษณ์ของร้านมาผัดกับเนื้อวากิวที่ตุ๋นกับไวน์แดงจนนุ่ม ใส่ชีสมอซซาเรลลาและชีสพาร์มิจิอาโน เร็กจิอาโน อบจนมีกลิ่นหอมและชีสยืดถึงใจชีสเลิฟเวอร์     สุดท้ายจบด้วย Bomboloni โดนัทอิตาเลียนกรอบนอก นุ่มใน มีไส้ให้เลือก 5 อย่าง เราชิมไส้ทีรามิสุ รสเข้มข้นหอมกลิ่นกาแฟ และไส้บลูเบอร์รีชีสเค้กรสเปรี้ยวหวานลงตัว     ตกเย็นจะนั่งจิบเครื่องดื่มอย่าง Orange Lemonade น้ำส้มผสมน้ำมะนาวสดชื่น หรืออิตาเลียนค็อกเทลคลาสสิคอย่าง Strawberry Spritz ซ่าหอมกลิ่นสตรอว์เบอร์รี ก็มีนะ       จบครบทั้งคาวหวาน....ยกให้เป็นร้านโปรดของเด็กอ้วนไปเลย

หลังจาก Jamie’s Italian ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดของเชฟชาวอังกฤษเจ้าของตำราอาหารและรายการสุดฮิต เจมี โอลิเวอร์ (Jamie Oliver) ได้ประจำการสร้างความอร่อยให้กับพวกเรามาปีกว่าๆ ตอนนี้เราได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เพราะได้ยินข่าวว่า Jamie’s Italian ได้ยกขบวนเมนูใหม่และเมนูมังสวิรัติมากกว่า 10 เมนู ให้เลือกชิมกันอย่างจุใจ     แน่นอนว่าเมนูใหม่ก็ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของเชฟคนดัง ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่ตามฤดูกาลและใช้ของที่ปลูกและผลิตในบ้านเราเป็นส่วนใหญ่ อย่างไก่และไข่ก็ได้จากสิรินฟาร์ม จังหวัดเชียงราย เนื้อหมูและไส้กรอกก็มาจากร้าน Sloane’s ขณะที่เส้นพาสต้าก็ทำสดกันวันต่อวันผ่านเครื่องทำพาสต้าขนาดย่อมที่ตั้งอยู่หน้าร้าน เพื่อให้เราได้ยืนดูทำความรู้จักกับพาสต้าหน้าตาแปลกหลากชนิดกันแบบเพลินๆ ก่อนกิน       เริ่มวอร์มอัพกันด้วย Ultimate Garlic Bread (185 บาท) ขนมปังกระเทียมเนื้อนุ่มฉ่ำด้วยเนยและกระเทียมหอมกรุ่น สำหรับใครที่อยากเพิ่มความเข้มข้นก็สามารถสั่งเห็ดทรัฟเฟิลและชีสบูราต้าท็อปปิ้งเพิ่มกันได้ ต่อด้วย Spicy Italian Pork Meatballs (265 บาท) มีตบอลที่ทำจากเนื้อหมูอารมณ์ดีในซอสมะเขือเทศรสเผ็ดกินคู่กับขนมปังโทสต์เสิร์ฟร้อนๆ       สำหรับคนชอบกินผักก็ขอแนะนำ Jamie’s Burrata Salad (420 บาท) สลัดสควอซย่างที่เข้าคู่กับความเนียนนุ่มของชีสบูราต้าได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังเติมเต็มความสดชื่นด้วยส้มคลีเมนไทน์ ทับทิม เฟนเนล และผักร็อกเก็ต หรือจะลอง Bresaola Salad (480 บาท) สลัดตำรับอิตาเลียนที่โดดเด่นด้วยความนุ่มหนึบของเนื้อลูกวัวตากแห้งสไลซ์บางๆ คลุกเคล้ากับชีสบูราต้าและบัลซามิค ร่วมด้วยอาร์ติโชค ผักร็อกเก็ต และกรับกรอบด้วยอัลมอนด์       แล้วก็มาถึงกับเมนูที่เรารอคอย Porcini Pappardelle (345 บาท) ที่นำเอาเส้นพาสต้าชื่อเรียกยากแต่น่ารักอย่างพัพพาร์เดลล์ (Pappardelle) ที่มีความกว้างและหยักเล็กน้อยมาคลุกเคล้ากับซอสเห็ดสุดเข้มข้นหอมมันด้วยส่วนผสมของชีสมาสคาโปน กระเทียม และไวน์ขาว ส่วนคนรักคาโบนาร่าก็ต้องลอง Carbonara Casarecce (365 บาท) คาโบนาร่าเบคอนอิตาเลียนรมควันที่เลือกใช้พาสต้าเส้นเกลียวเหนียวหนึบตำรับซิซิลีแทนสปาเก็ตตี้ที่เราคุ้นกัน       พิซซ่าเลิฟเวอร์ก็อย่าเพิ่งบ่นน้อยใจ เพราะพิซซ่าก็มีให้เลือกละลานตาอีกเช่นกัน ที่ห้ามพลาดเลยก็ขอยกให้ Four Cheese Pizza (380 บาท) พิซซ่าหน้าชีส 4 ชนิดสีเหลืองทองสะใจคนรักชีส จากการรวมตัวกันของชีสมอสซาเรลล่า เชดด้า พาเมซาน และทาเลจิโอ ก่อนจะเติมเต็มความหอมด้วยโรสแมรี่และน้ำมันมะกอก แต่ถ้าชอบรสเผ็ดๆ หน่อยก็ต้อง The Spicy Norma Pizza (380 บาท) พิซซ่าหน้ามะเขือย่างกับซอสมะเขือเทศรสเผ็ด       แม้จะอิ่มจนเริ่มพุงกางออกข้าง แต่เรายังมีของหวานที่ต้องไปต่อ ไม่ว่าจะเป็น Epic Chocolate Brownie (260 บาท) บราวนีย์ช็อกโกแลตที่อัดแน่นด้วยความเข้มข้นในทุกๆ คำด้วยท้อปปิ้งอย่างไอศกรีมรสซอลท์เท็ดคาราเมล ซอสช็อกโกแลต และป็อบคอร์นเคลือบคาราเมล     แต่ถ้าชอบรสเปรี้ยวสดชื่นแล้วล่ะก็ อย่าลืมลอง Amalfi Lemon Meringue Cheesecake (285 บาท) ชีสเค้กเลมอนชิ้นโตท็อปปิ้งด้วยเมอร์แรงก์ชุดใหญ่กินคู่กับเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวอมหวานและแบล็คเคอร์แรนท์  

ไม่เพียงการเป็นเจ้าของรางวัลห้องอาหารอิตาเลียนที่ดีที่สุดในเอเชียจาก World Luxury Restaurant Award จะการันตีความอร่อยระดับคุณภาพ แต่ความหลากหลายและคุ้มค่าของเมนูอร่อยละลานตาบนไลน์บุฟเฟต์ของ Medinii ห้องอาหารอิตาเลียนบนชั้น 35 ของโรงแรม เดอะ คอนทิเน้นท์ กรุงเทพฯ ยังดึงดูดใจคนรักอาหารอิตาเลียนอีกด้วย         หากใครชอบดื่มด่ำกับวิวสวยๆ ยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ แนะนำให้มาลองมื้อค่ำแล้วเลือกโซนติดผนังกระจกหรือห้องไพรเวตที่ทั้งนั่งสบายและให้ความเป็นส่วนตัว ก่อนไปเริ่มมื้ออร่อยกับเมนูเรียกน้ำย่อยอย่างโคลด์คัต ผักย่างราดซอสบัลซามิกและสลัดต่างๆ อาทิ Cheese Salad ที่ใช้ชีสบูราตาสดเนียนนุ่ม Corn Salad สลัดข้าวโพดใส่พริกหวาน ถั่วลันเตา และมะเขือเทศอบแห้ง รวมทั้ง ชีสต่างๆ อาทิ เชดดา เกาดา อีดัม กินคู่กับถั่วและผลไม้แห้ง       ต่อด้วยพาสต้าที่เชฟผัดกันสดใหม่จานต่อจาน ห้ามพลาดเมนูเด่นอย่าง Spaghetti Alle Vongole เส้นแองเจิลแฮร์ผัดกับหอยลายและซอสมะเขือเทศ Aglio E Olio ผัดกระเทียม พริกแห้ง และน้ำมันมะกอก และเพนเนผัดขี้เมาทะเล ส่วนสาวกพิซซาต้องลอง Pizza Paradiso หน้าชีส แฮม และเห็ด Hawaiian pizza ที่มาพร้อมแฮม ข้าวโพด สับปะรด โรยพาสลีย์เพิ่มความหอม Seafood Pizza ที่มีทั้งหอยลาย กุ้ง และปลาหมึก และพิซซาหน้าลาบไก่รสจัดจ้านแบบไทยๆ             แล้วมาอิ่มเต็มที่กับเมนูยอดนิยม อาทิ Pork with Peppercorn Sauce หมูสันในยัดไส้ลูกพรุนห่อด้วยเบคอนอบจนนุ่ม ราดซอสพริกไทย Chicken with Mustard Sauce อกไก่ยัดไส้พริกหวาน ราดซอสมัสตาร์ด Lasagna ลาซานญาที่มีให้เลือกทั้งไก่ หมู และเนื้อ Mixed Vegetable Gratin กราแตงผักอบชีสหอมมัน และ Roasted Seabass with Lemon Caper Sauce ปลากะพงขาวฟิลเลต์ ราดซอสเคเปอร์หอมพริกไทยและเปลือกมะนาว     หรือจะเสริมทัพด้วยเมนู A La Carte อย่าง Merluzzo Al Pomodoro ปลาหิมะหมักไวน์ขาวนาบกระทะสุกกำลังดี กินกับพูเรผักและซอสมะเขือเทศสไปซี และ Australian Lamb Shank ขาหน้าแกะหมักเครื่องเทศตุ๋นจนนุ่มร่อนแทบไม่ติดกระดูก มาพร้อมริซอตโตหอมน้ำมันทรัฟเฟิล       ถ้ายังไม่จุใจอย่างลืมตบท้ายด้วยไลน์ของหวานที่มีให้เลือกมากมาย ทั้งเค้ก พาย ทาร์ต คัสตาร์ด และแครมบูเล แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือ Bread Pudding ทีเด็ดอยู่ที่การใช้ครัวซองต์หอมเนยอบกับครีมคัสตาร์ด ราดซอสวานิลลาหอมหวานที่กินแล้วหยุดไม่อยู่เลยทีเดียว  

หลีกหนีรถติดและความวุ่นวาย แล้วไปนั่งชิลด้วยกันที่ ลิงค์ คูซีน แอนด์ บาร์ (Link Cuisine & bar ) ร้านอาหารอิตาเลียนฟิวชันแห่งใหม่จากเกาะสมุย ที่แอบซุกซ่อนตัวอยู่ในซอยเย็นอากาศ ตัวร้านร่มรื่นน่านั่งด้วยความเขียวชอุ่มของสวนเมืองร้อน กลางร้านมีบ่อปลาคาร์ปขนาดใหญ่ให้ได้มองเพลินๆ ระหว่างรออาหารสุดพิเศษจากเชฟ ให้ความรู้สึกเหมือนได้ลาพักร้อนไปพักผ่อนในรีสอร์ตดีๆ สักแห่ง       คุณแพทริค ซูลิแยร์ เจ้าของร้านบอกเล่าถึงคอนเซ็ปต์ว่า ตั้งใจให้เป็นจุดเชื่อมโยงความอร่อยของเมนูตะวันตกและตะวันออกเหมือนชื่อร้าน ภายในแบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก คือโซนเอาต์ดอร์ อินดอร์ และโซนบาร์ (บาร์เก๋มากเหมาะแก่การถ่ายรูปเช็คอินลงโซเชียล)       เรียกน้ำย่อยกันด้วยเมนูแรก Tuna Tartare ทูน่าดิบในซอสเทริยากิและงา ท็อปด้านบนด้วยมะม่วงสุกหวานฉ่ำ และตกแต่งด้วยเม็ดทับทิม ก่อนกินบีบมะนาวลงไปเล็กน้อย สดชื่นดี ต่อด้วย Scallops หอยเชล์ตัวอวบอ้วนย่างพอสุก วางบนถั่วพิตาชิโอบด หน่อไม้ฝรั่งย่าง มะม่วง และแรดิช แนะนำให้กินทุกอย่างพร้อมกันจะได้หลายรสชาติในคำเดียว       ต่อด้วยจานโปรดของเรา Truffle and Mushrooms Ravioli ที่ส่งกลิ่นหอมยวนใจมาแต่ไกล ราวิโอลีไส้เห็ดและชีสมาสคาโปนในทรัฟเฟิลครีม วางด้านบนด้วยทรัฟเฟิลสไลซ์ จานนี้ถูกใจมาก ราวิโอลีไส้แน่น แต่นุ่ม รสชาติเข้มข้นเข้ากับทรัฟเฟิลครีม กลืนแล้วยังได้กลิ่นหอมอวลอยู่ในปาก ขยับมาที่จานหลัก Rib Eye Steak เนื้อริบอายย่างพร้อมน้ำเกวีซอสพริกไทยหอมๆ เคียงมาด้วยสลัดร็อคเก็ต และเฟรนช์ฟราย ส่วนใครเป็นแฟนคลับทูน่า แนะนำ Tuna Steak เชฟกริลล์มาได้สีสวยน่ากิน ราดด้วยซอสเทริยากิ เสิร์ฟคู่ผักย่างเสียบไม้เข้ากันดีเชียว         อิ่มของคาวแล้ว อย่าพลาดของหวาน Baileys Semifreddo ไอศกรีมเค้ก มีส่วนผสมของเหล้าหวานเบย์ลี่ส์ไอริชครีม เสิร์ฟพร้อมถั่วเคลือบคาราเมล แล้วราดซอสคาราเมลอีกครั้งเพิ่มความหอมหวาน และอีกหนึ่งเมนูสุดคลาสสิกตลอดกาลอย่าง Tiramisu เชฟก็ทำออกมาได้ดีงาม     ปิดท้ายค่ำคืนด้วยซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่ให้ฟีลทรอปิคอลแบบสุดๆ อาทิ  Green Link มีส่วนผสมของ Bombay Gin แตงกวา น้ำแอปเปิล และน้ำมะนาว จิบแล้วสดชื่นมาก ส่วน Yellow Link ใช้บาร์คาดี้เป็นเบส รสเปรี้ยวหวานจากสับปะรด และ White Link ความเก๋อยู่ที่ใส่เนื้อมะพร้าวลงไปด้วยให้ได้เคี้ยว กลิ่นหอมนวลๆ       จิบแล้วเหมือนได้นั่งชิลอยู่ที่สมุยเลยทีเดียว

คนที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนน่าจะมีชื่อร้านอาหารอิตาเลียนอยู่ในใจ และหนึ่งในนั้นน่าจะต้องมีห้องอาหารรอสซินีส์ แม้ว่าจะเปิดมานานแต่ความอร่อยก็ยังคงประทับใจเช่นเดิม     ห้องอาหารรอสซินีส์ไปสะดวกมากเพราะอยู่บนถนนนสุขุมวิทที่รถไฟฟ้าไปถึง ลงที่สถานีรถไฟฟ้าอโศก แล้วเดินเข้าโรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท, เอ ลักช์ชัวรี่ คอลเล็คชั่น โฮเต็ล ชั้น 1 จะพบห้องอาหารอิตาเลียนโอ่โถงที่ยังอยู่ในความทรงจำ ภายในตกแต่งด้วยขวดไวน์ ชีส นานาชนิดจากภาคต่างๆ ของอิตาลี และภาพวาดสไตล์ทัสกันวิลล่าของเมืองทัสคานี บรรยากาศชวนผ่อนคลาย     อาหารเป็นสไตล์อิตาเลียนดั้งเดิมตามฝีมือของเชฟเกตาโน่ พาลุมโบ้ จากเกาะซิซิลีที่พกพาอาหารจากบ้านเกิดเดินทางไปทำงานทั่วโลก และนำมาผสมผสานสร้างสรรค์เป็นจานเด่นของที่นี่ หลายจานจึงอร่อยสไตล์ดั้งเดิมแต่มีเทคนิคชวนให้ตื่นตาตื่นใจ อย่างเช่น อาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกพนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟพร้อมควันสโม๊คในฝาครอบแก้ว พอควันเริ่มจางจะเห็นชิ้นปลาแซลมอนลายสวยสีส้มเนื้อฉ่ำ rosemary smoked salmon, parmesan cream, sweet pickled baby onions, onion powder เนื้อปลารสนุ่มหอมกลิ่นสโม๊คได้รสเค็มนิดๆ จากครีมของชีสพาร์เมซาน และผงหอมหัวใหญ่ที่นำหอมหัวใหญ่ไปอบจนแห้งและบดเป็นผงช่วยเพิ่มรสเป็นเสน่ห์ของจานนี้     จานต่อมา roast turbot fish, zucchini, culatello ham and taleggio cheese จานนี้ทั้งแฮมคาลาเทลโล รสเค็มนุ่ม และชีสเนื้อนุ่ม อาหารลือชื่อของอิตาเลียนวางมาบนปลาเทอร์บอทเนื้อแน่น ช่วยชูรสปลาให้โดดเด่น     ส่วนมีตเลิฟเวอร์ไม่ควรพลาด miyazaki wagyu sirloin, banana shallot วากิวผิวนอกเกรียมเนื้อในสีแดงชุ่มฉ่ำเพียงแค่เห็นก็ชวนให้ต้องรีบหยิบมีดและส้อมขึ้นมาทันที     คนที่หลงไหลเส้นพาสต้าที่ห้องรอสซินีส์มีให้เลือกหลากหลาย เส้นเหนียวนุ่ม Al dented กับซอสและชีสต้นตำรับ รับรองว่าไม่ทำให้ผิดหวัง ถ้าจบของหวานด้วย Tiramisu อันโด่งดังที่มีชีสมาสคาโปเนครีมมันกับกลิ่นและรสหอมของกาแฟที่เสิร์ฟมาในขวดใบย่อมๆ ยิ่งช่วยเพิ่มรสชาติความเป็นอาหารอิตาเลียนได้อย่างจุใจ     มื้อนี้เรียกได้ว่าอยู่กลางกรุงเทพฯ แต่ก็ได้ลิ้มชิมรสอาหารอิตาเลียนได้อย่างอิ่มอกอิ่มใจ  

สำหรับคนที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนแล้ว คงดีไม่น้อยหากได้กินอาหารอิตาเลียนรสชาติดั้งเดิมที่ส่งต่อความอร่อยจากรุ่นสู่รุ่น อย่างที่ห้องอาหารเทอราซซ่า อิตาเลียน เรสเตอรองส์ ตั้งอยู่บนชั้น 8 ของโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ที่นำความพิเศษของอาหารสไตล์อิตาเลียนแท้มานำเสนอให้ทุกคนได้กินกันอย่างอิ่มหนำโดยไม่ต้องบินไปไกลถึงต่างประเทศอีกต่อไป       สิ่งที่น่าสนใจของที่นี่นอกจากบรรยากาศบนตึกสูงติดริมสระว่ายน้ำ รวมถึงการดีไซน์ห้องอาหารล้อมรอบด้วยกระจกใส มีมุมเอ้าท์ดอร์ให้เลือกนั่งอย่างเหมาะใจทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายที่สุดแล้ว ยังได้ “เชฟโรแบร์โต้ พานาลิเอลโล่” ชาวอิตาลี มาดูแลอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมคุกสูตรของคุณยายและคุณแม่ ที่พิถีพิถันในการปรุงทุกขั้นตอนตั้งแต่รสชาติเรื่อยมาจนถึงวัตถุดิบซึ่งคัดสรรเป็นอย่างดีจากประเทศอิตาลี เพื่อให้ทุกจานมีรสชาติและรสสัมผัสใกล้เคียงมากที่สุดนั่นเอง     จานแรกห้ามพลาดเลยคือ Ravioli Ricotta เมนูเวทเจททาเรียนกินแล้วสดชื่น แป้งราวีโอลีโฮมเมดที่เชฟตั้งใจทำเข้ากันกับไส้ที่ทำจากผักโขมผัดกับพาเมซานชีสและไวน์ขาว ราดซอสมะเขือเทศรสอมเปรี้ยว ส่วน Pizza Terrazza ก็เป็นเมนูเด่นมัดใจทุกคน ด้วยแป้งพิซซ่าโฮมเมดบางกรอบอบใหม่ร้อนๆ เข้ากันกับซอสสูตรพิเศษ พาร์มาแฮม และมอสซาเรลล่าหอมมันจากนมควาย       จานต่อไปเป็น Fantasy Salmon ไฮไลต์อยู่ตรงแซลมอนปรุงรส 3 สไตล์ กินแล้วได้รสสดชื่นจากเลมอนและซอสเวนิการ์หอมๆ Funghi Porcini, Pecorino Cheese & Summer Black Truffle ก็อร่อยลงตัว รีซ็อตโต้เห็ดพอร์ชินีรสนุ่มนวล เพิ่มความฟินขึ้นไปอีกขั้นด้วยชีสเห็ดทรัฟเฟิล       ก่อนปิดท้ายกับเบเกอรีหวานหอมสไตล์อิตาเลียน Cannolo Siciliano แป้งทอดมีส่วนผสมของไวน์ขาวและผงชินนามอนสอดไส้ชีสนานาชนิด เคลือบด้วยดาร์กช็อกโกแลต โรยแอลมอนด์สไลด์และสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน แล้วสั่งเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง Tequila Sunrise หรือ Blue Lagoon มาเข้าคู่ด้วยสักหน่อย รับรองว่าอิ่มอร่อย นั่งชิลได้ยาวๆ แน่นอน