เพิ่มสีสันให้ซีนอาหารในกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่องกับโครงการ “EA” (เอ-ญ่า) Rooftop at The Empire บนชั้น 56 - 58 อาคาร The Empire Tower และล่าสุดกับร้านอาหารอิตาเลียนร่วมสมัยโดยเชฟมิชลินสตาร์คนดัง เชฟเปาโล อายราวโด (Paolo Airaudo) นำอาหารอิตาเลียนที่น่าค้นหาในแบบของเขามาให้นักกินได้ลิ้มลองกันที่ Sartoria by Paolo Airaudo (ซาร์โทเรีย บาย เปาโล อายราวโด) โดยเชฟเปาโลสร้างชื่อจากการใช้กรรมวิธีสมัยใหม่มารังสรรค์อาหารอิตาเลียนคลาสสิกให้พลิกโฉมอย่างสร้างสรรค์ และครอบครองดาวมิชลินถึง 6 ดวงจากร้านของเขาในประเทศต่างๆ ทั้งสเปน ฮ่องกง และอิตาลี “Sartoria” แปลว่า “การตัดเย็บ” สื่อถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบที่มาจากห้องเสื้อแห่งแรกของโลกที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ตกแต่งในโทนสีน้ำตาลเข้มและน้ำเงินที่เรียบหรู ล้อไปกับเฟอร์นิเจอร์รูปทรงโค้งมนละม้ายส่วนโค้งเว้าของหุ่นลองเสื้อ มีโชว์รูมแสดงการทำพาสตาสด และโซน Open Kitchen ขนาดใหญ่ดุจเวทีสุดอลังการ เป็นครัวเปิด 100% ด้วยความตั้งใจให้แขกได้มีส่วนร่วมในทุกประสบการณ์ ไม่ว่าจะดูเชฟปรุงอาหารใกล้ๆ หรือพูดคุยเกี่ยวกับอาหาร เชฟเปาโลมอบหมายให้ เชฟอเลส โดนาท (Ales Donat) เป็นหัวหน้าเชฟผู้ดูแลห้องอาหารแห่งนี้ พร้อมนำเสนอนิยามใหม่ของอาหารอิตาเลียนด้วยแรงบันดาลใจจากความงดงามของเมืองฟลอเรนซ์และแคว้นทัสคานี คัดสรรวัตถุดิบตามฤดูกาลชั้นเลิศจากทั้งยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศไทย มารังสรรค์เป็นมื้ออาหารอันน่าจดจํา คอร์สเมนูมีให้เลือกระหว่าง L’ESSENZA 6 คอร์ส ราคา 3,980++ บาท และ L’OPERA COMPLETA 8 คอร์ส ราคา 5,980++ บาท รวมทั้งมีเมนูไวน์แพร์ริ่งด้วย เริ่มเปิดประสบการณ์ด้วยการชมครัวเปิดใกล้ๆ และพูดคุยกับเชฟอเลส ถึงหลากหลายวัตถุดิบชั้นเลิศที่เราจะได้ลิ้มลองกัน ทั้งพืชผักนานาชนิด ซิตรัสสายพันธุ์ต่างๆ ผลไม้แปลกๆ อย่าง Tamarillo จากออสเตรเลีย ทรัฟเฟิลดำจากทัสคานี น้ำส้มสายชูบัลซามิก 40 ปี น้ำมันมะกอกพิเศษของเชฟเปาโล ซีฟู้ดจากญี่ปุ่น กุ้งแดงจากสเปน และเป๋าฮื้อจากเกาหลี เป็นต้น จากนั้นผ่อนคลายก่อนมื้ออาหารไปกับชาแก่นตะวันรสเข้มข้นหยดน้ำมัน Bhudda’s Hand ก่อนเริ่มลิ้มลอง Snacks ได้แก่ ทาร์ตเล็ตต์เบียร์ ทาร์ตบางกรอบใส่ถั่วหวานฉ่ำ ตามด้วยโคลด์คัตในแบบที่แปลกตา มูสแฮมมอร์ตาเดลลา รสแฮมครีมมี โคนทำจากแป้งโดว์พาสตา โรยหน้าพิสตาชิโอสับ และ ไข่ตุ๋นไข่หอยเม่น เสิร์ฟร้อนในซุปกลมกล่อมละมุนมาก ตามด้วย The Bread ขนมปังอบใหม่ร้อนๆ จิ้มกินกับน้ำมันมะกอกพิเศษที่กลิ่นและรสจัดเต็ม คอร์ส L’ESSENZA 6 คอร์ส เริ่มต้นด้วยสตาร์ทเตอร์เย็นจานซิกเนเจอร์ของเชฟเปาโล Hamachi งดงามราวกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน เนื้อปลาฮามาจิดรายเอจ 1-2 วันก่อนนำมาเคียวร์เพิ่มรสชาติ ปลาเนื้อมันรสหวานละมุนลิ้นเสริมรสด้วยน้ำมันใบชิโสะและคอมบุ เสิร์ฟในซุปกะหล่ำปม (kohlrabi juice) ให้กลิ่นสโมกกีและรสสดชื่น ใส่หัวไชเท้าสีชมพู (watermelon radish) เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบ ทอปด้วยสาหร่ายพวงองุ่น ทั้งสวยและอร่อยมาก จานต่อมาดีงามไม่แพ้กัน Duck Cappeletti พาสตาโฮมเมดรูปหมวดสอกไส้ขาเป็ดกงฟีบดกับสมุนไพรรสกลมกล่อมราดด้วยซอสเนยและใบไทม์ ครีมมีละมุนลิ้นทั้งตัวแป้งและไส้ ไม่รู้สึกถึงเท็กซ์เจอร์ที่เป็นเส้นของเนื้อเป็ดเลย ตามด้วยจานข้าวสีสดใส Risotto Carabinero ริซอตโตรสเข้มข้นด้วยพาร์มีซานและพาร์สลียุโรปที่ให้สีเขียวเข้มสะดุดตา ทอปด้วยคาราบิเนรอส หรือกุ้งแดงสเปนเนื้อหวานฉ่ำ ใส่ส้มคัมควอตฝานบางและยูสุเจลให้รสเปรี้ยวอมหวานตัดความครีมมีอย่างลงตัว เมนคอร์ส Kinmedai ปลาคินเมไดดรายเอจเนื้อแน่นย่างให้หนังตึงและหอมสโมกกี เคียงกับข้าวโพดอ่อนย่าง พูเร่ข้าวโพด และหอมดอง ราดซอสแชมเปญเพิ่มรสสดชื่น เรียบง่ายแต่อร่อยถึงรสชาติวัตถุดิบ และสนุกไปกับสัมผัสหลากหลายยามเคี้ยว คั่นด้วยของหวานล้างปาก Granita กรานิตาตะไคร้และข่าบนเจลมะพร้าวอินฟิวส์กับใบโหระพาไทย ทอปด้วยสโนว์โคโคนัทหอมหวาน เป็นรสชาติแบบไทยที่น่าประทับใจ ปิดท้ายด้วย The Apple ของหวานที่รวมความอร่อยจากแอปเปิล ไม่ว่าจะเป็นเอสพูมาแอปเปิล เจลแอปเปิล ชิปส์แอปเปิล ผงแอปเปิล ผสมผสานกับเจลาโตซอลต์เต็ดคาราเมลใส่ผิวเลมอน ปิดท้ายด้วยการหยดน้ำส้มสายชูบัลซามิกหมักเข้มข้นอายุ 40 ปีของเชฟเปาโล 2-3 หยด ให้กลิ่นรสหอมหวานผสานทุกอย่างให้เข้ากัน จบมื้อด้วย Petit Fours เปี่ยมสีสัน เริ่มจาก Darth Vader เจลลีวิสกี้รสเข้มซิกเนเจอร์ของเชฟเปาโล ถูกใจแฟน Star Wars แน่นอน ตามด้วย ราสป์เบอร์รีมาร์ชเมลโล ช็อกโกแลตดาร์คพราลีนและชาไทย ชูว์สอดไส้กล้วยและกานาชและยูสุเจล ทาร์ตเสาวรสทอปด้วยเมอร์แรงก์อิตาเลียน และผลไม้ล้างปาก สตรอว์เบอร์รีจากญี่ปุ่น แก้วมังกรสีเหลืองรสหวานฉ่ำ และ Tamarillo ผลไม้รสคล้ายมะเขือเทศออกขมนิดๆ ใส่เจลคาลามันซีตัดรสขม   ความสร้างสรรค์และพิถีพิถันที่อัดแน่นเต็มเปี่ยมนี้ เปลี่ยนภาพจำที่เรามีต่ออาหารอิตาเลียนไปเลย อยากลิ้มลองอาหารอิตาเลียนในมุมมองใหม่ระดับเชฟมิชลินไม่ควรพลาด

Bianca ร้านอิตาเลียนในเครือ lova Hospitality ที่ตกแต่งสไตล์มินิมอลสบายตาในเอ็มสเฟียร์ ดูเรียบง่ายใช้สีน้อยเน้นขาว-เขียว แต่รสชาติไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นคงไม่เห็นทั้งชาวไทยและต่างชาติเต็มร้าน Jeriko Van Der Wolf เชฟใหญ่ของร้านเบียงกาฝึกวิชาเข้าครัวมาตั้งแต่เด็ก แถมเลือกเรียนโรงเรียนเฉพาะทางด้วยความมุ่งมั่นที่จะรังสรรค์อาหารสร้างความสุขให้คนกิน ประเดิมกันด้วยขนมปังฟอคคาเซียหลากหลายสไตล์ Bruschetta Nduja ฟอคคาเซียท็อปสตราเซียเทลลาชีส พริกหยวกกงฟี และ Nduja (ซาลามีรสเผ็ดของอิตาลี) Bruschetta Caprese ท็อปสตราเซียเทลลาชีส ใส่มะเขือเทศกงฟี และเพสโตโหระพา Bruschetta Truffle เนื้อสัมผัสครีมมี่จากทั้งมูสตับไก่และชีสพาร์เมซาน โรยหัวหอมดองและทรัฟเฟิล จานหลักเป็นพิซซา Coppa Stagionata มอสซาเรลลาชีสจัดเต็มหน้า และ Coppa Di Parma ใส่มะเขือเทศเชอร์รี โหระพา เพิ่มสตราเซียเทลลาชีส สโมคหอมๆ ให้คะแนนเต็มสิบไม่หัก ซิกเนเจอร์ของร้าน Bianca’s Lasagna เสิร์ฟในกระทะร้อน โบโลเนสหมูและเนื้อฉ่ำๆ กับซอสมะเขือเทศ มีทั้งชีสพาร์เมซานและริคอตตา ท็อปใบโหระพากลิ่นหอมและสร้างสีสัน เมนูนี้เหมือนยกทะเลมาไว้ตรงหน้า Risotto Pescatore ข้าว Carnaroli เม็ดสวยใส่กุ้ง หอยตัวเบิ้ม ปรุงกับซุปซีฟู้ดและซอสซัลซาเวร์เด ไม่ลืมใส่สตราเซียเทลลาชีสเพิ่มความมันนัว Bianca’s Tiramisu ของหวานที่เชฟถึงกับออกปากว่าต้องลองเพราะอร่อยที่สุดในกรุงเทพ! เนื้อเนียนนุ่ม หอมกาแฟ ไม่หวานเลี่ยน อร่อยจริงอย่างที่เชฟบอก และยังโชว์การเสิร์ฟด้วยการดึงที่ครอบออกให้ไหลลงมาบนจานเคลือบลายดูสวยงามเหมือนงานศิลปะ ล่าสุด มีให้เลือกอร่อยเพิ่มอีกร้านแล้วนั่นคือร้าน Holy Belly ร้านใหม่ในเครือเดียวกัน โดยร้านนี้จะเสิร์ฟ All Day Roast ทั้งเนื้อและไก่ รวมถึงอาหารอิตาเลียนอื่นๆ ที่ให้บรรยากาศเหมือนกินอยู่ที่บ้านกับครอบครัว   รีบพุ่งตัวเข้าเอ็มสเฟียร์กันด่วนๆ

ร้านอาหารอิตาเลียนเก่าแก่ Enoteca รางวัลมิชลิน ถูกตกแต่งด้วยไวน์หลายชนิดสมกับความหมายของชื่อร้าน (Enoteca แปลว่า ห้องเก็บไวน์) หลังจากเชฟ Federico Orrú ผู้เดินทางจากเมืองมิลาน ใช้ชีวิตผจญภัยโดยการเดินทางท่องเที่ยวและทำงานในร้านอาหารมาหลายแห่งจนมาถึงประเทศไทย เชฟพกใจที่รักการทำอาหารจากอิทธิพลของคุณเม่ และความสร้างสรรค์ของตนเองใส่กระเป๋าเดินทางมาเพื่อเปิดใช้อีกครั้งที่นี่ เป็นการผสมผสานความเป็นต้นตำรับและความเป็นตัวเองนำเสนอผ่านอาหารหน้าตาสวยงามคู่รสชาติที่อร่อยไม่แพ้กัน Tartare di di Tonno ทาทาร์ทูนาครีบน้ำเงิน เพิ่มความสดชื่นด้วยไข่ปลาลัมป์ฟัช ตูเลหมึกดำ หยดกระเทียม และ Basil pearls เห็ด Morels ยัดไส้เนื้อนกพิราบรสหวานฉ่ำ ผิวนอกของเห็ดค่อนข้างนุ่มหยุ่น เมื่อกัดลงถึงเนื้อนกพิราบจะได้ความกรอบของเนื้อพรีเมียมที่นำมาปรุง กินกับบัลซามิกที่หมักมานาน 12 ปี ท็อปด้วยรากผักชีฝรั่งและผักร็อกเก็ต ขาแกะสไลด์ ชุบแป้งสมุนไพร เสิร์ฟคู่พัฟมันฝรั่งและถั่วบอร์ล็อตติ (บางคนอาจรู้จักในชื่อถั่วแครนเบอร์รี) อย่าลืมราดซอสไธม์เพื่อความลงตัวมากขึ้น ของคาวอลังการขนาดนี้ ของหวานก็ไม่น้อยหน้าเสิร์ฟมาเป็นต้นเลยทีเดียว! ต้นที่ว่าคือต้นไม้จำลองหลากสีสันประดับตกแต่งด้วยชิ้นมาการอง และขนมปังไส้ช็อกโกแลต ขนมปังไส้ครีม และลูกอมคาราเมล เป็นกิมมิกที่นอกจากสวยแล้ว ยังทำให้เพลิดเพลินกับการค้นหาขนมเหมือนได้เล่นเกมอีกด้วย เราลองให้เชฟเลือกว่าชอบเมนูไหนที่สุด เชฟบอกใจอยากเลือกทุกเมนูที่เสิร์ฟเพราะล้วนมาจากความตั้งใจ แต่ขอยกให้ทาทาร์ทูนาเป็นเมนูเด็ดยามบ่ายและเห็ดไส้นกพิราบเป็นของดีของรอบดินเนอร์ ใครมาแล้วคิดไม่ออกว่าจะกินอะไร สั่งตามเชฟแนะนำไปได้เลย

Volti Tuscan Grill & Bar ห้องอาหารของ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ที่รวบรวมความอร่อยของอาหารอิตาเลียนหลายเมืองโดยเชฟบรูโน เฟอร์รารี ผู้จากบ้านมาไกลหลายปี เชฟบอกว่าในแต่ละพื้นที่ของอิตาลีมีวัตถุดิบให้เลือกนำมาประกอบอาหารมากมาย โดยเฉพาะนอกเมืองใหญ่อย่างเมือง Abruzzo ที่เขาจากมา แต่นักท่องเที่ยวมักติดรสชาติอาหารจากในเมืองซึ่งถูกดัดแปลงจากเมื่อก่อน เขาจึงตั้งใจนำตำรับอาหารของอิตาลีมาเผยแพร่ให้คนต่างชาติได้รู้จัก เรียกน้ำย่อยกันก่อนด้วย Carpaccio เนื้อแบล็กแองกัสเทนเดอร์ลอยด์สไลด์บางชิ้นสี่เหลี่ยม ท็อปด้วยมะเขือเทศเชอร์รี ผักร็อกเก็ต เลมอน และขนาบข้างด้วยชีสพาร์มิจาโน เรจจาโน จานนี้รสออกเปรี้ยว Carbonara ใส่กวนชาเล ชีสเปโกริโน และไข่แดง คาโบนาราที่นี่จะไม่ค่อยเหมือนที่อื่น เพราะนอกจากรสจะเข้มข้นกว่าแล้ว เชฟยังใช้เส้นสปเกตตีโฮลวีตยี่ห้อ Mancini Pastificio Agricolo จากฝีมือเกษตรกรชาวอิตาเลียน ซึ่งเนื้อสัมผัสอาจจะแข็ง และไม่นุ่มแบบคาโบนาราทั่วไป แต่เชฟคอนเฟิร์มว่านี่คือรสชาติดั้งเดิมของอิตาลีที่หากินได้ยากแล้วในตอนนี้ นอกจากคุณภาพของวัตถุดิบ รูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจของอาหารแต่ละจานก็เป็นสิ่งที่คำนึงถึงเช่นกันโดยเฉพาะในยุคโซเชียล Porchetta หรือหมูสามชั้นย่าง จึงออกมาสีสันสวยงามที่สุดเพราะเป็นเมนูเด็ดและได้ชื่อว่าเป็น Chef’s Hometown Specialty เนื้อสัมผัสนุ่มคล้ายเยลลี่ สาวกหมูสามชั้นต้องลอง Foie Gras บนขนมปังบริยอช เชอร์รีนำเข้าจากอิตาลี หอมหัวใหญ่ผัดจนเป็นคาราเมล และ Mango Puree ส่วน Tenderloin Black Angus Rossini ชิ้นใหญ่ กรอบนอกฉ่ำใน เสิร์ฟพร้อมฟัวกราส์ ผักโขม และทรัฟเฟิลดำ Pistachio Experience เค้กถั่วลาวาแสนละมุน ใช้พิสตาชิโอนำเข้าจากเมือง Sicily มาพร้อมไอศกรีมพิสตาชิโอ ครัมเบิล และโรยพิสตาชิโอปิดท้าย ส่วนคนที่ชอบความหอมของกาแฟอย่าลืมลอง Tiramisu ที่เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง ส่งกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ มาที่เดียวแต่จะได้ลิ้มรสความอร่อยจากหลายเมืองในอิตาลีที่มาจากวัตถุดิบชั้นเลิศ และฝีมืออันเลื่องลือของเชฟบรูโนและทีมงาน

ภายในซอยสมคิดย่านชิดลม ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในโอเอซิสใจกลางกรุงฯ มีร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์รัสติกเปิดใหม่ชื่อ “Tabula Rasa Italian Restaurant” คำว่า Tabula Rasa (ทาบูล่า ราซ่า) ในภาษาละตินหมายถึง ‘หินอ่อนขัดใหม่’ ปรัชญาคมๆ ของร้านที่อยากทดลองสร้างสรรค์เมนู และค่อยๆ ขัดเกลาจนเกิดเป็นจานอร่อยเปี่ยมคุณภาพ เสมือนกับหินอ่อนที่แข็งแกร่งและเล่อค่านั่นเอง  เชฟใหญ่ประจำร้านคือ เชฟปลื้ม เชฟหนุ่มไฟแรงฝีมือดีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเชฟชาลี กาเดอร์ มานำทีมความอร่อยในแบบฉบับอิตาเลียนสไตล์โฮมคุกที่สอดแทรกวัตถุดิบท้องถิ่นของดีของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นซีฟู้ดและพืชผักผลไม้นานาชนิด เสิร์ฟมาในไซส์ซิ่งที่จุใจเรียกได้ว่าคุ้มค่าแก่การลิ้มลอง นอกจากนี้ยังให้ไวบ์ดีๆ ด้วยบรรยากาศโล่งกว้าง อบอุ่นแต่ไม่ทิ้งความหรูหราเหมาะกับการฉลองโอกาสพิเศษ ด้วยการตกแต่งที่เน้นใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีดำตาลเข้มสลับกับสีฟ้าครามสบายตา และสีเขียวมะกอกตัวแทนแห่งสีของธรรมชาติ เพลิดเพลินกับครัวเปิดที่มองเห็นทีมเชฟทำงานอย่างขะมักเขม้น หรือใครชอบวิวสวนร่มรื่นที่ร้านก็มีแอเรียร้านนอก แถมยังมีสระว่ายน้ำเย็นฉ่ำระบบน้ำเกลือที่สามารถลงเล่น ปาร์ตี้ริมสระแบบฉ่ำๆ ได้อีกด้วย ต้อนรับด้วย Duck Prosciutto แซนด์วิชหน้าเปิดที่ใช้ตัวขนมปังซาวโดวจ์โฮมเมดเนื้อเหนียวนุ่ม สเปรดด้วยชีสแพะวิปครีมหอมมัน และแฮมเนื้อเป็ดรสเค็มกลมกล่อม ตัดด้วยความหวานจากเชอร์รี่เชื่อม ต่อกับเมนูขายดี Burrata Con Nduja ชีสบูราต้าโฮมเมดลูกอ้วนกลม ถูกใจเด็กอ้วนเป็นที่สุด ล้อมรอบด้วยซอสมะเขือเทศรสเปรี้ยวละมุน ผสมกับรสเค็มได้ของปลาแองโชวี่ เสิร์ฟคู่แฟรตแบรดกรอบนอกนุ่มในร้อนๆ ที่ส่งตรงมาจากเตาฝืน เมนูแสนรักของสายสุขภาพต้องนี่ Endive Salad ผักกรุบกรอบและผลไม้นานาพันธุ์ อย่าง อองดีฟ ผักโขม ทับทิม คลุกเคล้ากับชีสริคอตต้าที่เชฟสโมกกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ราดด้วยน้ำสลัดสูตรเฉพาะที่ได้รสหวานฉ่ำจากมะม่วง เสริมความเคี้ยวเพลินอีกนิดด้วยเมล็ดสน หลายคนกดไลค์ Melon and Coppa เมลอนดองเลมอนรสเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันดีกับสเปรดชีสมาสคาโปน พาร์มาแฮม และน้ำส้มสายชูอิตาเลียนที่ทำเป็นรูปทรงคาเวีย อีกหนึ่งจานเด็ดที่ห้ามพลาด Fish Crudo ปลาช่อนทะเลจากชาวประมงพื้นบ้านเนื้อสดหวาน ราดด้วยรสเปรี้ยวจากเดรสซิ่งซิตรัส เพิ่มความหอมมันด้วยมูสอะโวคาโดและน้ำมันมะกอกอย่างดี Crab Pasta ก็เด็ดดวง สปาเก็ตตี้สี่เหลี่ยมนวดมือเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมซอสเอ็กซ์โอสูตรเด็ดรสเผ็ดร้อนแรง แถมยังได้รสเปรี้ยวละมุนจากมะเขือเทศ ก่อนโรยด้วยใบเบซิล ปิดท้ายด้วยของหวานสุดเลิฟอย่าง Mille-feuille ที่เปลี่ยนจากแป้งเพสทรีมาเป็นแครกเกอร์ฮาเซลนัตรสหวานกรอบ สลับชั้นกับครีมสดหวานมัน และเชอร์รี่ดองชุ่มฉ่ำ เป็นการปิดจบที่สมบูรณ์แบบ

ปลายปีมาพร้อมข่าวดี โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เปิดตัวห้องอาหารอิตาเลี่ยนไฟน์ไดนิ่งห้องใหม่ คานนูบี บาย อุมแบร์โต บอมบานา (Cannubi by Umberto Bombana) ที่ได้เชฟระดับตำนานแห่งวงการอาหารอิตาเลียน เชฟอุมแบร์โต บอมบานา เจ้าของฉายา ‘ราชาแห่งไวท์ทรัฟเฟิล’ มาเป็นที่ปรึกษาและดูแลสูตรอาหาร นอกจากเราจะได้ลิ้มลองอาหารอิตาเลียนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องวัตถุดิบเป็นหลักแล้ว เชฟบอมบานายังได้เชฟคู่ใจ เชฟอังเดร ซัสโต (Andrea Susto) ที่ร่วมงานกันมานานจนเข้าใจปรัชญาการทำอาหารแบบเชฟบอมบานาอย่างถ่องแท้ ทั้งที่ห้องอาหาร 8 ½ Otto e Mezzo Bombana ที่ฮ่องกง ซึ่งคว้ารางวัลมิชลินสตาร์ระดับ  3 ดาวติดต่อกันหลายปี และห้องอาหาร Opera Bombana ปักกิ่ง เจ้าของรางวัลมิชลินสตาร์ระดับ 1 ดาว มาเป็นหัวหน้าพ่อครัวใหญ่ของที่นี่ด้วย เมื่อมาถึง ทุกคนจะได้รับเวลคัมดริงก์ที่ชั้น M ให้จิบพร้อมชมวิวน้ำตกสูง 9 ชั้น จากนั้นพนักงานจะพาเดินลงมาที่ห้องอาหารชั้นล่างซึ่งตกแต่งได้อย่างสวยงามคลาสสิก หากเงยหน้ามองบนเพดาน จะเห็นแผ่นไม้สักทองโบราณของเดิมจากห้องอาหารเบญจรงค์ ซึ่งทางโรงแรมยังเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี ฤดูกาลนี้ เชฟอังเดรพาทุกคนไปสำรวจอิตาลีผ่านเมนูหลากหลาย วอร์มท้องด้วย Mushroom Consommé  ซุปใสที่ใช้เวลาต้ม 2 วัน โดยเชฟต้มเห็ด 3 ชั่วโมงก่อนจนน้ำงวดแล้วพักไว้ วันถัดมาจึงเติมน้ำแล้วเคี่ยวต่ออีก 3 ชั่วโมงจนได้ซุปที่ช่วยกระตุ่มต่อมอาหารของเราได้ดี  Langoustine Tartar จานนี้นำสมบัติแสนอร่อยแห่งท้องทะเลไว้ด้วยกัน ทั้งกุ้งแลงกูสทีน ฮอกไกโดอูนิ และคาเวียร์ ราดด้วยซอสพอนสึ และน้ำมันมะกอก กินด้วยกันทั้งคำแล้วได้รสทะเลอวลอยู่ในปาก เราได้ลอง Alba White Truffle Tagliolini ที่คนรักทรัฟเฟิลจะต้องใจละลาย เชฟอังเดรลงมือสไลซ์ไวท์ทรัฟเฟิลแบบไม่ยั้งมือจนคลุมเส้นจนแทบมองไม่เห็นเพื่อให้เราได้สัมผัสกลิ่นรสที่หอมจรุงในทุกคำ อีกเมนูไฮไลต์คือ Spaghetti with Sicilion Prawn ที่ใช้วัตถุดิบชั้นเยี่ยมทั้งกุ้งแดงจากซิซีลี ท็อปด้วยหัวใจปลาทูน่าอบแห้ง นำเสนอวัฒนธรรมอาหารของเมืองชายฝั่งทะเลของอิตาลีได้อย่างชัดเจน M9 Short Rib & Beef Tenderloin สเต็ก 2 แบบคือเนื้อซี่โครง M9 ตุ๋นหลายชั่วโมงจนนุ่มและสเต็กเนื้อสันใน ราดด้วยซอสเนื้อเข้มข้น เคียงด้วยฟักทองอบ และมันบด ต่อด้วย Wagyu Oxtail Ravioli ราลิโอลีไส้หางวัวเสิร์ฟพร้อมเห็ดโคนอบและไวท์ทรัฟเฟิลที่เป็นไฮไลต์ ใครปลื้มจานปลา ที่นี่มี Pan Fried Seabass ปลากะพงย่างบนกระทะจนหนังกรอบ จับคู่ซอสปุตตาเนสกา ซอสดั้งเดิมของอิตาลีที่มีส่วนผสมของแอนโชวี่ มะกอก และเคเปอร์ในซอสมะเขือเทศ รวมถึงมีเนื้อหอยที่เชฟผัดกับไวน์ขาวก่อนนำลงไปเคี่ยวในซอส ปิดท้ายด้วย Hazelnut & Chocolate Cream เชฟใช้เฮเซลนัทจากปีเยมอนเตเพราะเป็นแคว้นที่มีฮาเซลนัทที่คุณภาพดีที่สุดจับคู่เจลาโตรสเฮเซลนัท ราดด้วยซอสวานิลลา นอกจากนี้ที่คานนูบี บาย อุมแบร์โต บอมบานายังมีไวน์เลือกกว่า 300 รายการ ส่วนหนึ่งเป็นไวน์บาโรโลระดับพรีเมียมจากคานนูบี เมืองแห่งไร่องุ่นที่เก่าแก่ที่สุดของอิตาลี และเป็นชื่อของห้องอาหารด้วย ใครอยากลิ้มลองอาหารแบบเชฟบอมบานา ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป ทางห้องอาหารจะเปิดบริการทั้งมื้อกลางค่ำและมื้อค่ำ สำรองที่นั่งล่วงหน้าหรือสอบถามข้อมูล โทร 0 2200 9000

ขยายความอร่อยมาถึงฝั่งธนฯ จนได้สำหรับ “Mozza by Cocotte” ร้านอาหารอิตาเลียนโฮมคุก กับโลเคชั่นใหม่ (สาขา 4) ที่ไอคอนสยาม หนึ่งในแลนด์มาร์กที่ยิ่งใหญ่แห่งฝั่งธนฯ แน่นอนว่าทางร้านยังยึดถือปรัชญา ‘La Cucina di Mamma’ หรือ ‘อาหารของแม่’ เป็นคอนเซ็ปต์ ทั้งพิซซ่า พาสต้า เนยแข็งและซอส ล้วนแล้วแต่โฮมเมดทั้งสิ้น รังสรรค์โดยเชฟใหญ่ประจำแบรนด์อย่าง เชฟSamuele Alvisi พ่อครัวชาวอิตาเลียนที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ในครัวทั่วเอเชียกว่า 10 ปี แน่นอนว่าจุดเด่นของสาขานี้คือ การลิ้มลองอาหารอิตาเลียนสูตรคุณแม่ไปพร้อมๆ กับดื่มด่ำวิวแม่น้ำเจ้าพระยาทอดยาว ซึ่งเหมาะกับทุกๆ โอกาสพิเศษ มาชิมจานแรกกันเลย Burrata Mango, Bell Pepper & Parma Ham เนยแข็งสไตล์อิตาเลียนโฮมเมดลูกโตๆ ล้อมรอบด้วยซอสมะม่วงรสหวานฉ่ำ ผสานกับพริกหวาน ตัดด้วยรสเค็มกลมกล่อมของพาร์มาแฮม Salmon Tartare แซลมอนเนื้อสดหวานที่ส่งตรงจากประเทศแคนาดา ท็อปด้วยไข่ปลาแซลมอนรสเค็ม และครีมมาสตาร์ดรสหอมมัน แกมด้วยความเผ็ดเล็กๆ ตามด้วย Grilled Octopus Salad หนวดปลาหมึกยักษ์เนื้อหนึบนุ่ม ที่ผ่านการย่างอย่างดีจนส่งกลิ่นหอม กินกับผักสดนานาพันธุ์อย่าง มะเขือเทศ มันฝรั่ง ราดด้วยซอสเลมอนรสเปรี้ยวสดชื่น สาวกพาสต้าต้องสั่ง Fettuccine Lamb Ragu พาสตาเส้นแบนโฮมเมดเนื้อนุ่มหนึบ คลุกเคล้ากับซอสรากูแกะเนื้อฉ่ำใน หอมกลิ่นเครื่องเทศเต็มพิกัด และแล้วก็มาถึงคิวพิซซ่ากันบ้าง ซึ่งครั้งนี้เราลิ้มลอง Tartufina พิซซ่าโฮมเมดในแบบฉบับอิตาเลียนหน้าทรัฟเฟิลหอมฟุ้ง สัมผัสแป้งบางกรอบไปด้วยกันได้ดีกับชีสอาซิอาโก้ แฮม และทรัฟเฟิลสด ของหวานเราชี้เป้า Cocotte’s Tiramisu ทีรามิสุสูตรลับเฉพาะของทางร้าน ขนมเลดี้ฟิงเกอร์ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำกาแฟรสเข้ม ตัดด้วยรสหอมมันของชีสมาสคาโปน เพิ่มสัมผัสเคี้ยวสนุกด้วยครัมเบิ้มกรุบกรอบ Italian Pavlova เมอแรงก์กรอบๆ รสหวานล้ำ สลับชั้นกับครีมวานิลารสหวานมัน กินคู่ซอสเบอร์รีโฮมเมดรสเปรี้ยว และผลไม้ตระกูลเบอร์รี จิบคู่ Hibiscus, Pineapple & Kaffir Lime ดริ้งก์สีแดงรสเปรี้ยวอมหวานชื่นใจ ที่ทำมาจากสับปะรด กระเจี๊ยบและมะกรูด คนรักอาหารอิตาเลียนถูกใจสิ่งนี้

Aquila Restaurant ร้านอาหารอิตาเลียนเอเชียนทวิสต์รสจัดจ้านในเมืองเชียงใหม่ ที่ทั้งคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ควรพลาด เพราะด้วยรสชาติที่เข้าถึงง่าย ไม่ซับซ้อน มีความเข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ ทุกจานรังสรรค์โดย เชฟภูเบศวร์ ชูประคอง เชฟและเจ้าของร้านมากฝีมือ นำความรู้ทที่ได้สั่งสมประสบการณ์จากการทำงานที่ผ่านมา มาปรุงรสชาติอาหารอิตาเลียนผนวกกับวัตถุดิบท้องถิ่นได้อย่างลงตัว ส่วนตัวร้านก็ตกแต่งอย่างมีสไตล์ตามความชอบของเชฟ ใช้โทนสีดำตัดสลับกับไม้ มีความดิบด้วยงานอินทีเรียแบบโมเดิร์นลอฟต์ มีหลายมุมให้เลือกนั่ง มาพร้อมโซนเอาต์ดอร์ที่สามารถนั่งจิบไวน์พร้อมดื่มด่ำกับอาหารรสเลิศในยามค่ำคืนไปพร้อมกับครอบครัวเหมือนเป็นมื้อพิเศษอีกหนึ่งมื้อ ไม่สั่งคือพลาด! Oyster and Beef เสิร์ฟในเปลือกหอยนางรม ด้านในประกอบด้วยเนื้อวากิวสุกกำลังดี ท็อปด้วยหอยนางรมทอดกรอบๆ เพิ่มรสชาติด้วยซอส White Truffle Ponzu ทรัฟเฟิล และสาหร่ายพวงองุ่น มีหลากรสชาติและหลายเท็กซ์เจอร์มาก Gnocchi จานซิกเนเจอร์ของเชฟ เสิร์ฟเป็นพาสตาเส้นญอกกีคลุกเคล้าซอสทรัฟเฟิลรสเข้มข้น ท็อปด้วยชีสบูร์ราตาเพิ่มความมันนัว เสริมโปรตีนด้วยเนื้อวากิวนุ่มๆ และ Porkchop พอร์กชอปจานใหญ่หมักซอสบาบีคิวจนเข้าเนื้อ กินคู่ซอสครีมเห็ดสูตรพิเศษของร้าน เคียงด้วยมันบดเนื้อเนียน และผักเคียง ร้านนี้จะอยู่ในลิสต์ของทริปเชียงใหม่ครั้งต่อไป

เพลิดเพลินไปกับเมนูอะลาคาร์ตรสชาติเข้มข้นแบบต้นตำรับที่ Favola ห้องอาหารอิตาเลียนสุดสร้างสรรค์ รังสรรค์โดยเชฟลูก้า หัวหน้าพ่อครัวชาวอิตาเลียนที่โดดเด่นด้วยการนำวัตถุดิบท้องถิ่นของเชียงใหม่มาผสมผสานกับอาหารอิตาเลียนสูตรดั้งเดิมของคุณย่าชาวอิตาลี ตัวร้านตั้งอยู่ใน โรงแรมเชียงใหม่ แมริออท โฮเทล ภายในพื้นที่กว้างขวางเหมาะสำหรับพาครอบครัวมาเอนจอยกับอาหารอิตาเลียนสุดคลาสสิกที่แฝงไว้ด้วยวัตถุดิบสุดเซอร์ไพรส์มากมาย เพราะรสชาติอาหารของที่นี่จะเป็นตัวช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างและสร้างสรรค์ไม่เหมือนใคร ดินเนอร์วันนี้เริ่มต้นที่ SELEZIONE DI BRUSCHETTE ขนมปังโฮมเมดชิ้นหนานุ่ม ท็อปด้วยหน้าสุดครีเอตหลากสไตล์ ไม่ว่าจะเป็น แซลมอนรมควัน เคเปอร์ หอมแดงดอง พาร์มาแฮม ลูกฟิก และน้ำผึ้ง ช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี ต่อด้วย FOCACCETTA FARCITA พิซซาแป้งบางปรุงรสอย่างเบามือด้วยน้ำมันมะกอก ออริกาโน และเกลือ ท็อปด้วย Coppa Di Parma ชีส มะเขือเทศตากแห้ง ผักร็อกเก็ต และพาร์เมซานขูด ได้รสเค็มเล็กน้อยตามแบบฉบับสไตล์ซิซิลี VELLUTATA DI CASTAGNE E GUANCIALE ซุปครีมเกาลัดเนื้อเนียนละเอียด ให้รสเค็มมันและหอมกลิ่นเก๋าลัดชัดเจน กินกับฟอกาเซียกระเทียมรสเข้มข้นและเบคอนกวานเซียเล่กรอบๆ SPAGHETTI PICCANTI VOLGOLE E BOTTARGA สปาเกตตีคลุกเคล้าซอสไวน์ขาวผัดกับหอยลาย มะเขือเทศเชอร์รี พริก และบอตตาร์กาขูด ให้รสเค็มมันอร่อยกลมกล่อม

ชวนไปเติมโมเมนต์แห่งความอบอุ่นที่ Manarola ร้านอาหารอิตาเลียนสุดโรแมนติกหน้าใหม่บนถนนปรีดี ที่โดดเด่นด้วยอาคารบ้านเก่าสีขาวซึ่งผ่านการรีโนเวทตกแต่งออกมาให้ดูผ่อนคลายสบายตา มีกลิ่นอายความเป็นอิตาลีผสานกับความโฮมมี่เบาๆ โดยทางร้านเปิดให้ทุกคนแวะเข้าไปเอนจอยกับมู้ดดีๆ ได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทางร้านเน้นเสิร์ฟอาหารซีฟู้ดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเมือง ‘มานาโรลา’ เมืองเล็กริมชายฝั่งทะเลตอนเหนือของประเทศอิตาลีตามชื่อร้าน โดยนำมา ปรับรสชาติให้เข้มข้นกินง่ายถูกปากคนไทยยิ่งขึ้น อาทิ Coconut Tabasco Scallop (290.-) สลัดในลูกมะพร้าวเผา ภายในอัดแน่นมาด้วยมะเขือเทศออนท็อปสแกลลอป คลุกเคล้ากับน้ำสลัดทาบาสโก้ที่ปรุงให้เข้มข้มคล้ายน้ำยำสไตล์ไทย Manarola Seafood Paella (750.-) ข้าวผัดสเปนซิกเนเจอร์ ที่ปรุงมากับน้ำสต๊อกสูตรพิเศษของร้านและผงปาปริก้า ด้านบนจัดเต็มด้วยสารพัดซีฟู้ดไซส์ใหญ่อลังการ อีกเมนูซิกเนเจอร์ที่ห้ามพลาด Coral Truffle Cheese (420.-) เส้นพาสต้าแบนที่นำไปโรลกับเบคอนแฮมและชีส สอดไส้กุ้งเนื้อเด้งตัวโต ราดด้วยทรัฟเฟิลซอสกลิ่นหอมๆ สัมผัสละมุนละไมทุกคำ ล้างปากด้วยของหวานอย่าง Lemon mousse มูสเลมอนรสชาติเปรี้ยวหวานฉ่ำกำลังดี กินพร้อมตัวครัมเบิ้ลกรุบกรอบ จัดเสิร์ฟมาในเปลือกผลเลมอนน่าอร่อย

เปิดบ้านหลังใหม่ของ Arcobaleno Italian Restaurant ร้านอาหารอิตาเลียนเจ้าดังของเชียงใหม่ หลังจากเสิร์ฟความอร่อยมาอย่างยาวนาน ล่าสุดได้ขยายพื้นที่ใหม่ในทำเลที่เรียกได้ว่าไฉไลกว่าเดิม ภายในร้านบรรยากาศปลอดโปร่งน่านั่ง ใช้โทนสีส้มอิฐสลับสีเขียวอย่างลงตัว ตกแต่งด้วยภาพถ่ายและเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เข้าชุดกัน มาพร้อมชั้น 2 เพื่อเพิ่มพื้นที่นั่งรับประทานอาหารไว้รองรับคนรักอาหารอิตาเลียนในบรรยากาศอบอุ่นแสนสบาย เหมือนมานั่งกินข้าวในบ้านเพื่อนชาวอิตาเลียน ส่วนอาหารนั้นรังสรรค์ด้วยวัตถุดิบคุณภาพที่คงรสชาติแบบดั้งเดิมเอาไว้ รับรองว่าทุกคนจะได้สัมผัสกับสีสันแห่งรสชาติของอาหารอิตาเลียนอย่างแท้จริง ไฮไลต์อยู่ที่ Tomato Salad with Burrata Cheese มะเขือเทศสดสไลซ์พอดีคำท็อปด้วยบูร์ราตาชีส มีอิตาเลียนเดรสซิงโฮมเมดรสเปรี้ยวอมหวานราดอย่างทั่วถึง กินรวมกันสดชื่นมาก Crab Meat Au Gratin ปูอบชีส ด้านในเป็นเนื้อปูผัดกับครีม มีเห็ดหอมและหัวหอมสับให้เคี้ยว ด้านนอกเป็นมอซซาเรลลาชีส ให้รสเค็มๆ มันๆ อร่อยลงตัว Osso Buco เป็นต้นขาวัวตุ๋น มีรสสัมผัสเปื่อย นุ่ม เคียงด้วยไขกระดูดวัวและมันบดเนื้อเนียน กินกับซอสสูตรพิเศษของร้านที่เคี่ยวจนได้ที่ รสชาติอร่อย

คอกาแฟคงคุ้นเคยกับโลโก้สี่เหลี่ยมสีแดงและตัวหนังสือ illy สัญลักษณ์ของ illy Caffè แบรนด์กาแฟระดับพรีเมียมที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอิตาลี ซึ่งล่าสุดเพิ่งเปิดตัว illy Caffe Erawan แห่งแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการที่ อาคารเอราวัณ แบงค็อก (Erawan Bangkok) ชั้น LG โดดเด่นด้วยบาร์กาแฟสไตล์อิตาเลียนสีแดงที่พร้อมพรั่งด้วยเครื่องชงกาแฟระดับไฮเอนด์ เพื่อรังสรรค์เมนูกาแฟสูตรเฉพาะของ illy ให้คอกาแฟได้ลิ้มลอง รวมทั้งเมนูอาหารที่ให้บริการทั้งมื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อค่ำ และจานกินเล่นสำหรับสังสรรค์ยามค่ำคืน ด้วยทำเลใจกลางเมืองแยกราชประสงค์ คาเฟ่แห่งนี้จึงเหมาะเป็นจุดแวะพักจิบกาแฟและเติมพลังงานกับมื้ออร่อยได้ทุกช่วงเวลา พร้อมปล่อยใจไปกับบรรยากาศแบบอิตาเลียนแบบร่วมสมัย มีทั้งโซนที่นั่งด้านในอาคารและเอาต์ดอร์รับลมในวันอากาศดี เมนูกาแฟมีให้เลือกสั่งแบบไม่มีเบื่อทั้งร้อนและเย็นกว่า 32 รายการ ใครที่อยากลิ้มรสชาติอันเป็นต้นตำรับขนานแท้ต้องสั่ง Espresso ช็อตเอสเพรสโซ่สไตล์อิตาเลียนที่มีกลิ่นและรสเข้มข้น illycrema นวัตกรรมกาแฟรูปแบบใหม่ที่ผสาน illy espresso เข้มข้นเข้ากับไมโครคริสตัลน้ำแข็งเนื้อละเอียดจนได้สัมผัสละมุนเหมือนเนื้อไอศกรีม และ Cold Brew กาแฟสกัดเย็นจากเมล็ดกาแฟอาราบิกาแท้ 100% จะสั่งมาจิบคู่กับเบเกอรีและขนมหวานก็ได้ แต่เราแนะนำว่าไม่ควรพลาดฝากท้องไว้กับอาหารอิตาเลียนจานอร่อยที่รังสรรค์โดย เชฟน้ำ - ดาบทอง สุขนิพันธ์ เฮดเชฟประจำร้าน เพราะจัดว่าเด็ดและมีให้เลือกหลากหลาย อาทิ Mortadella e pistacchi แซนด์วิชขนมปังอิตาเลียนหน้าเปิดทอปด้วยแฮมมอร์ตาเดลลาและซอสเพสโตพิสตาชิโอ จานด่วนที่จะอร่อยยิ่งขึ้นเมื่อกินคู่กับกาแฟ Bresaola e rucola แซนด์วิชเนื้อเบรซาโอลารสเข้มข้นและผักร็อกเก็ต ชิ้นใหญ่จุกๆ และยังสามารถเอร็ดอร่อยไปกับอาหารเช้าที่ให้บริการตลอดทั้งวัน อาทิ Croissants with Scrambled Eggs and Parmesan ตามด้วย Insalata di farro สลัดข้าวสาลีใส่ผักและผลไม้เพื่อสุขภาพ Bucatini all’ Amatriciana พาสตาเส้นยาวอวบอ้วนผัดกับซอสมะเขือเทศและกวนชาเล และ Spaghetti Carbonara คาร์โบนาราตำรับโรมันที่ใส่เพียงไข่ ชีสเปโกริโน กวนชาเล และพริกไทยดำ ตามด้วยจานหลัก Pollo con caponata e riduzione di balsamico เนื้อไก่ซูวีสไตล์ซิซิเลียนราดซอสบัลซามิกรีดักชั่น ปิดท้ายด้วยของหวานสไตล์อิตาเลียนอย่าง Coffee bean เค้กกาแฟรูปเมล็ดกาแฟสุดน่ารัก และ Tiramisu ที่ผสานความอร่อยของกาแฟและครีมชีสมาสคาร์โปเนอย่างลงตัว และเมื่อค่ำคืนย่างกรายมาก็ยังมีจานกินเล่นให้จับคู่กับค็อกเทลกาแฟแบบจอยๆ เรียกว่านั่งได้ตั้งเช้าจรดดึกเลยทีเดียว illy Caffè มีสาขามากกว่า 160 แห่งในเมืองใหญ่ของกว่า 34 ประเทศทั่วโลก และยังเป็นบริษัทสัญชาติอิตาเลียนแห่งเดียวที่ติดหนึ่งในองค์กรระดับโลกที่มีมาตรฐานการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมที่ดีเยี่ยมโดยสถาบัน Ethisphere ตั้งแต่ปี 2013 จนปัจจุบัน   illy Caffè Erawan เปิดให้บริการแล้วอย่างเต็มรูปแบบ ร่างกายต้องการคาเฟอีนเมื่อไหร่ก็มาเจอกันนะ

หากแวะเวียนมาเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานีแล้วไม่ไปเยือน “Bread & Butter” ร้านอาหารตะวันตกบรรยากาศโฮมมี่ของโรงแรมเซ็นทารา อุบล ก็เสียชื่อนักกินตัวจริงหมด เพลิดเพลินกับเมนูบรันช์น่าอร่อยอย่าง ขนมปังโฮมเมด (เชียร์บัตตา บาแกตต์ เบรดสติก ซาวโดว์ ฟอกกาเซีย) เสิร์ฟพร้อมเนยสูตรพิเศษที่ลูกค้าสามารถเลือกรสชาติเนยในแบบของตนเองได้ พาสต้าเส้นสดนานาชนิด และพิซซาโฮดเมดสไตล์นโปเลียน ที่โดดเด่นด้วยแป้งซาวโดวจ์นำเข้าจากประเทศอิตาลี ผสานกับยีสต์หมักเอง ก่อนทิ้งไว้ 48 ชั่วโมงทำให้ได้พิซซาบางกรอบขอบหนานุ่ม ยิ่งอบในเตาฝืนยิ่งส่งกลิ่นหอมชวนหิว งานนี้ไม่ผิดหวังแน่นอนเพราะได้เชฟวัช - วัชระ สุทธิวงศ์ เชฟหนุ่มชาวอีสานไฟแรงที่มีประสบการณ์กว่า 12 ปี มาดูแลความอร่อยให้ทุกคนถึงที่ จานแรกขอลอง สลัดตามฤดูกาล เอ็นจอยกับผักผลไม้สดนานาพันธุ์ ทั้งอะโวคาโด แรดิช ใบร็อกเก็ต ส้ม และสตรอว์เบอร์รี ราดน้ำสลัดงาหอมๆ ตามด้วย เอ้กเบเนดิก ไข่ดาวน้ำอิ่มเอม ราดซอสฮอลแลนเดซรสกลมกล่อม เข้าคู่สโมกแซลมอนและขนมปังปิ้ง เบอร์เกอร์เนื้อวากิว ขนมปังบันนุ่มนิ่ม ประกบแพตตี้เนื้อวากิวฉ่ำๆ ชีส เพิ่มความละมุนด้วยซุปทรัฟเฟิลหอมฟุ้ง หรือใครชอบอาหารไทยต้องนี่เลย กะเพราเนื้อวากิว รสเค็มเผ็ดกำลังดี เสิร์ฟพร้อมไข่ดาวและข้าวโพดย่าง คนรักเส้นต้องเลิฟ พาสต้าเพลสโต้แซลมอน พาสต้าเส้นสดให้สัมผัสเหนียวนุ่ม ผสานกับซอสเพลสโตรสเข้มข้น หอมกลิ่นใบโหระพาเต็มพิกัด เสิร์ฟเคียงแซลมอนย่างชิ้นโตๆ เนื้อฉ่ำใน แล้วสั่ง มันฝรั่งทอด ร้อนจี๋เนื้อแน่นมากินคู่กันด้วย ไปต่อกับ พิซซาพาร์มาแฮม พิซซาสไตล์อิตาเลียนโฮมเมด เข้ากันดีกับซอสมะเขือเทศรสเปรี้ยว พาร์มาแฮมที่เรารัก และใบร็อตเก็ตรสเผ็ดซ่า ยังมี พิซซาทรัฟเฟิล โดนใจคนรักทรัฟเฟิลสุดๆ ด้วยซอสทรัฟเฟิลครีมมีกลิ่นหอมหวล เข้ากันดีกับแป้งซาวโดวจ์บางกรอบสไตล์อิตาเลียนอบสดใหม่ ของหวานเราเลือก แพนเค้ก ขวัญใจเด็กอ้วนมาแต่ไหนแต่ไร แพนเค้กเนื้อนุ่มฟู กินกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เติมรสหวานฉ่ำอีกแรงด้วยน้ำผึ้ง เก็บท้องไว้ซดค็อกเทลต่อตอนเย็น

บอกเลยว่าประทับใจตั้งแต่เห็นหน้าร้าน เพราะบรรยากาศที่ดูร่มรื่น ปลอดโปร่งด้วยความเป็นบ้านไม้และมีต้นไม้เยอะมาก พอก้าวเข้าไปให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปในหนังฝรั่งสมัยก่อนสักเรื่อง ด้วยการตกแต่งด้วยสีสันสดใส ทั้งแดง เหลือง ส้ม ฯลฯ และข้าวของวินเทจต่างๆ น่ารักสุดๆ เริ่มเลยกับ Orecchiette Alla Pugliese เมนูกินง่ายๆ ทำจากเส้นออรเกียตเต ใส่ไส้กรอกหมูอิตาเลียน จัดเต็มด้วยชีสเปโคริโนและปาร์มิจาโน เรจจาโน ปิดด้วยบล็อกโคลี อร่อยแต่ยังสุขภาพดี Tagliatelle Alla Bolognese จานนี้เป็นเมนูเส้น Tagliatelle กับชีสปาร์มิจาโน เรจจาโน ราดด้วยซอส Bolognese รสชาติเข้มข้น เข้าเนื้อเส้นอย่างดี Grissini And Parma Ham พักจากเส้น มาทางของกินเล่นกันบ้าง เมนูนี้กรอบสะใจสุดๆ กับแป้งขนมปังสติกกรุบกรอบ พันด้วยพาร์มาแฮมรสเค็ม ที่เมื่อกัดไปพร้อมแป้งขนมปังกรอบแล้วอร่อยเพลินมาก ร้านอาหารอิตาเลียนก็ต้องคู่กับพิซซา จัดไปเลย Diavola พิซซาแป้งบางหน้ามอซซาเรลลาชีส มีแผ่นซาลามีวางเรียงกันแล้วทาซอสมะเขือเทศกับ spicy oil ทั่วทั้งหน้า อร่อยจนหยุดกินไม่ได้ Beef Tartare ที่ร้านใช้เนื้อวากิวเทนเดอร์ลอยน์ นำไข่แดงวางตรงกลาง มาพร้อมกับขนมปัง crostini และสมุนไพร Spaghetti Vongole เมนูนี้ก็ต้องสั่ง! สปาเกตตีวองโกเลหอยลายไวน์ขาว มีมะเขือเทศ พาสลีย์ กระเทียม และพริก เสิร์ฟมาเยอะให้กินจนจุใจ Pollo Alla Cacciatora เมนูแนะนำของร้านที่มีส่วนประกอบหลายอย่าง ตัวชูโรงคือน่องไก่อบเนื้อนุ่มชิ้นโต เสิร์ฟพร้อม Guanciale เนื้อหมูแปรรูปออกมาคล้ายๆ กับแฮม มันฝรั่ง พาร์มาแฮมหั่นชิ้น หัวหอม มะเขือเทศเชอร์รี่ และเคเปอร์ กลิ่นหอม อร่อยสมเป็นเมนูแนะนำ ใครอยากกินเปรี้ยวหน่อยก็บีบเลมอนใส่เพิ่มได้ เป็นร้านที่เหมาะกับการมานั่งจอยๆ จริงๆ

หลังจากที่เปิดตัวสองสาขาแรกในปี 2014 (Lenzi Tuscan Kitchen) และ 2018 (Nonna Nella by Lenzi) ไปแล้ว เชฟชาวอิตาเลียน Francesco Lenzi ผู้มีใจอยากส่งต่อตำรับอาหารบ้านเกิดให้คนไทยได้ลิ้มลองในแบบที่แต่งเติมความคิดสร้างสรรค์ลงไป ก็ตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ที่ซอยพร้อมศรี 2 สร้างสรรค์เมนูร่วมกับเชฟคนอื่นๆ ในร้าน Casa Lenzi เน้นการปรุงอาหารผ่านเตาฟืนขนาดใหญ่ เพราะเปลวไฟที่ลุกโชนเป็นบ่อเกิดของความอร่อยสไตล์ Tuscan Pici Al Ragù Di Maiale พาสตาสไตล์ Tuscan มีเนื้อหมูสับที่เลือกเฉพาะส่วน Pluma หรือเนื้อซี่โครงส่วนปลาย แล้วราดด้วยซอสเกรวี ปิดท้ายด้วยโฟม Parmigiano หรือจะเป็นอีกเมนูเส้น Spaghetti Gambero Rosso E Caviale สปาเกตตีกุ้งแดง Sicilian คลุกด้วยซอสสแกลลอป และจบด้วยการออนท๊อปด้วยคาเวียร์แบบจัดเต็มไว้ด้านบนสุด ระหว่างกินสเต๊กก็แกล้มด้วยมันฝรั่งเพลินๆ ส่วนเมนูนี้ La Fiorentina คนชอบกินเนื้อ ต้องชอบสุดๆ กับสเต๊ก Black Angus T-Bone ชิ้นหนา เนื้อแน่น ชุ่มฉ่ำกำลังดี เท่านั้นยังไม่พอ เมนูปลาดิบคุณภาพดีก็ยกมาให้ตื่นตาตื่นใจถึง 3 เมนู ประกอบด้วย Tonno เมนูทูนาเมดิเตอร์เรเนียนใส่สมุนไพร Tuscan หอมแดง อะโวคาโดสตรอว์เบอร์รี และโยเกิร์ต Trota ปลาเทราต์ทาร์ทาร์ หอมหัวใหญ่สีแดง เคเปอร์ แมงโกมาโย และ Balsamic Soy Gel ส่วนสุดท้ายเป็น Orata คาร์ปัชชิโอเนื้อปลา Sea Bream กับมะเขือเทศเชอร์รี มะกอก เคเปอร์ และน้ำสลัด แต่สำหรับคนที่กินมังสวิรัติไม่ต้องกังวล เพราะที่ร้านก็มี Porro Alla Wellington เมนูเวลลิงตันสอดไส้กระเทียมต้นซึ่งนำไปอบจนนิ่ม กินง่าย ตกแต่งจานด้วยซอสไวน์แดง และฟองดู Parmigiano Reggiano และถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นร้านอิตาเลียน แต่ของหวานอย่าง Mille Feuille กลับเป็นอีกหนึ่งตัวเอกของงาน เพราะรสชาติที่ลงตัว ทั้งรสหวานจากแป้งพัฟ และมะม่วง ตัดด้วยรสเปรี้ยวนิดๆ ของเสาวรส ไม่มีคำว่าเลี่ยนแน่นอน ความตั้งใจที่มาพร้อมประสบการณ์จากการเก็บเกี่ยวอันยาวนานมากกว่า 15 ปี ของเชฟ Francesco Lenzi ทำให้ไม่ว่าใครที่ได้กิน ย่อมสัมผัสได้ถึงคุณภาพในทุกจาน และทุกคำ

Cento ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โมเดิร์นในบรรยากาศเรียบง่ายแห่งนี้ซ่อนตัวอย่างเงียบสงบภายในซอยศาลาแดง 1/1 ราวกับกำลังรอคอยเพื่อรับรองแขกผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น ตามคอนเซ็ปต์ Hospitality House ภายในร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ผสมผสานด้วยศิลปะจักรสานไทย ให้ความรู้สึกผ่อนคลายเสมือนนั่งสังสรรค์อยู่ในบ้านพักรับรองของเพื่อนฝูง  ความกว้างขวางของร้านช่วยให้จัดแบ่งพื้นที่ได้อย่างเป็นสัดส่วน มีทั้งโซนร้านอาหารและเคาน์เตอร์บาร์ที่ออกแบบสวยงาม ชวนให้นั่งดื่มชิลกันก่อนจะเริ่มมื้ออาหาร พร้อมด้วยไพรเวตรูม และห้องไวน์ที่คัดสรรไวน์ลิสต์มากถึง 100 รายการจากหลากหลายภูมิภาคในอิตาลีให้เพลิดเพลินกันอย่างจุใจ สำหรับรายการความอร่อย Cento เน้นคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพตามฤดูกาล รังสรรค์เป็นจานอร่อย อย่าง ฮามาจิ ครูโด (Hamachi Crudo) ปลาฮามาจิสด เนื้อนุ่มเด้งปรุงรสด้วยมะนาว ส้มยูซุ ถั่วเหลือง และน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ สัมผัสได้ถึงความสดของปลาฮามิจิ กินพร้อมขนมปังโฮมเมดเนื้อนุ่มฟู สูตรเฉพาะของ Cento หรือจะเป็น ทูน่าทาร์ทาร์ (Tuna Tartar) ก็เรียกความสดชื่นได้ดี มีความเปรี้ยวจากเลมอน ความเค็มมันจากเคเปอร์และน้ำมันกมะกอก ตักกินพร้อมขนมปังกรอบที่เสิร์ฟมาด้วยกัน กระตุ้นน้ำย่อยให้ทำงานเต็มที่ เมนูคลาสสิกไม่ควรพลาดอย่าง วิเทลโล ทอนนาโต (Vitello Tonnato) หรือเนื้อลูกวัวสไลซ์บางเคลือบซอสครีมทูน่ามาโย (Tuna Mayo) รสเข้มข้นหอมมันมีความละมุนละไมจากเนื้อลูกวัว  สำหรับคนรักเนื้อแนะนำ คาร์ปาชชิโอ (Carpaccio) เนื้อสันในวัวสไลซ์บางเฉียบ สัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนลิ้นในทุกๆ คำ กินพร้อมเคเปอร์ หอมแดง และชีสปาร์มีจาโน (Parmigiano) เข้ากันเป็นที่สุด พลาดไม่ได้กับเมนูซิกเนเจอร์ของ Cento อย่าง อัญโญลอตตี (Agnolotti) พาสต้าไส้แน่นๆ หอมเนื้อปูเต็มคำ จับคู่มากับกุ้งแม่น้ำตัวโต และหอยกาบสดๆ เพิ่มสีสันและรสชาติด้วยซอสสไตล์อิตาเลียนชูรสชาติแห่งห้องทะเลให้โดดเด่นชวนกิน ยังมีจานมังสวิรัติรสชาติไม่เป็นรองใครอย่าง ปัปปาร์เดลเล (Pappardelle) พาสต้าเส้นแบนในซอสเพสโต เพิ่มความหวานและกลมกล่อมด้วยมะเขือเทศเชอร์รีย่าง ถั่ว และเลมอน หรือจะเป็น บูราต้า (Burrata) ชีสสดก้อนกลมที่มาพร้อมซอสโหระพาอิตาเลียน มะเขือเทศเชียงใหม่ และน้ำมันมะกอกบริสุทธ์ เป็นสองจานแนะนำสำหรับสายสุขภาพที่ไม่นิยมเนื้อสัตว์ ส่วนคนชื่นชอบโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต้องลิ้มลอง พอร์กชอปสไตล์มิลาน (Pork Chop Milanese) ที่เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ ได้รสเค็มกลมกล่อมของชีสเปโคริโนโรมาโน (Pecorino Romano) ที่เคลือบมาบนชิ้นสเต๊ก เสิร์ฟกับสลัดและบัลซามิก สำหรับมีตเลิฟเวอร์แนะนำ แฟลงก์สเต๊ก (Flank Steak) เนื้อวากิวส่วนท้อง มาร์เบิล 6 ที่สามารถเลือกระดับความสุกได้ตามต้องการ สไลซ์เป็นชิ้นให้กินง่าย ได้ความสุกระดับมีเดียมตามสั่ง ชิ้นเนื้อนุ่มปราศจากเอ็น กินกับหอมแดงและต้นหอมย่าง ได้ความฉ่ำของบีฟจูส์ มีเบบี้แครอตย่างหวานหอมให้กินด้วยกัน    จานซีฟู้ดย่าง แนะนำ ปลาหมึก (Squid) เป็นปลาหมึกทั้งตัวย่างจนหอมควันถ่าน ราดน้ำมะเขือเทศขลุกขลิกเสิร์ฟพร้อมมะเขือเทศ มะกอก พาสลีย์ และพริก หรือจะเป็น หนวดปลาหมึกยักษ์ (Octopus) ย่างสุกได้ความหวานอมเปรี้ยวของมะเขือเทศ ราดซอสสมุนไพร ยิ่งกินยิ่งสดชื่น   ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง มูสช็อกโกแลต (70% Chocolate Mousse) รสชาติเยี่ยม มีความเค็มบางเบา กินพร้อมเจลาโตวานิลลา อร่อยจนคำสุดท้าย จบด้วย มาร์ตินี เอสเปรสโซ (Espresso Martini) อีกสักแก้ว ความลงตัวของเครื่องดื่มแก้วนี้อยู่ที่ส่วนผสมอันโดดเด่นของ ตีโต วอดก้า (Tito’s Vodka) ซึ่งเป็นคราฟต์วอดก้าคุณภาพเยี่ยม ผสมกับเอสโปรสโซ และวานิลลาหอมๆ ร้านอาหารอิตาเลียน Cento พร้อมให้สัมผัสความอร่อยที่แตกต่างแล้ววันนี้ สำรองที่นั่ง โทร. 09-4567-7779 หรือ https://centobangkok.com/reservations/

บนชั้น 2 ของโรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ สุขุมวิท (BTS นานา) มีร้านอาหารอิตาเลียนเปิดใหม่ชื่อ Bella Sera (เบลล่า เซร่า) ในภาษาอิตาลี แปลว่า ‘ยามเย็นที่สวยงาม’ เข้ากับมู้ดแอนด์โทนของร้านที่อบอุ่นหัวใจของคุณด้วยแสงไฟสีส้มราวพระอาทิตย์อัสดง เข้าคู่กับเฟอร์นิเจอร์หนังหนานุ่มสีน้ำตาลแก่ และผนังสีเทาเท่ๆ ด้านหลังเป็นครัวเปิดที่สามารถมองเชฟอบพิซซาได้อย่างเพลินตา พร้อมให้คุณลิ้มลองอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมคุกสูตรครอบครัว ซึ่งเปรียบเสมือนความทรงจำในวันเด็กที่เต็มไปด้วยความรักของเชฟฟาบิโอ เชฟชาวอิตาลีที่ได้สืบทอดสูตรอร่อยมาจากคุณแม่ และสั่งสมประสบการณ์การทำอาหารอิตาเลียนมานานกว่า 40 ปี จานแรกเป็นเมนูคลาสสิก ซีซาร์ สลัด ผักกรุบกรอบเคล้าไก่รมควันเนื้อแน่น ขนมปังกรอบ ปลาแองโชวี่ชั้นดี และซอสมายองเนสกระเทียมรสหอมมัน ตามด้วย ลาซานญ่า จานอิตาเลียนสไตล์โฮมเมดสูตรลับของคุณแม่ของเชฟฟาบิโอ พาสต้าโฮมเมดแผ่นบางสลับชั้นซอสโบโลเนสรสเข้มข้น ที่จัดเต็มทั้งเนื้อและมะเขือเทศ เพิ่มความครีมมีด้วยชีสพาเมซานขูดมหาศาล  รีซอตโต้ทะเล สูตรพิเศษของคุณแม่เชฟฟาบิโอ ที่โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวละมุนของน้ำซุปมะเขือเทศ มิ๊กซ์กับรีซอตโต้และคาราวานซีฟู้ดต่างๆ อย่าง หอยเชลล์ตัวใหญ่ กุ้งเนื้อหวาน ปลาหมึกหนึบหนับ คนรักเส้นต้องสั่ง ตัลโยลีนีซอสทรัฟเฟิล เส้นตัลโยลีนีโฮมเมดเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมซอสครีมทรัฟเฟิลหอมฟุ้ง ออนท็อปด้วยแบล็กทรัฟเฟิ้ลจุใจ ตามด้วย ตัลยาเตลเลโบโลเนส หนึ่งในเมนูโปรดในวัยเยาว์ของเชฟฟาบิโอ เส้นสดตัลยาเตลเลเนื้อนุ่มหนึบ ไปด้วยกันได้ดีกับซอสเนื้อโบโลเนสที่ผ่านเคี่ยวนานกว่า 5 ชั่วโมง ต่อด้วย พิซซาเบลล่า เซร่า ซิกเนเจอร์ที่ใครมาต้องลิ้มลอง พิซซาโฮมเมดแป้งบางกรอบสไตล์อิตาเลียน ไปด้วยกันได้ดีกับแฮมแดลเนียลชั้นดีที่นำเข้าจากประเทศอิตาลี ให้รสเค็มกลิ่นหอม ตัดด้วยรสครีมมีจากชีสมอสซาเรลล่าที่ทำมาจากน้ำนมควาย ก่อนโรยด้วยแบล็กทรัฟเฟิลหอมฟุ้ง ขาดไม่ได้กับของหวานอย่าง ทีรามิสุ ขนมเลดี้ฟิงเกอร์ที่ชุ่มไปด้วยน้ำกาแฟเข้มข้น เข้าคู่ครีมสดมาสคาโปนรสหอมมัน เติมความเข้มด้วยผงโกโก้คุณภาพ เสิร์ฟมาในแก้วค็อกเทลสุดโมเดิร์น พานาคอตตาพิตตาชิโอ พานาคอตตารสพิตตาชิโอเนื้อนุ่มเด้ง เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมพิตตาชิโอสดชื่น ซอสเบอร์รีรสเปรี้ยวและผลไม้สดต่างๆ ปิดจ็อบด้วยไวน์ดีๆ สักแก้วนี่แหละชีวิต

จากร้านสุดโฮมมี่ในซอยศูนย์วิจัย Ñam Ñam Pasta & Tapas ส่งต่อความอร่อยผ่านพาสตาเส้นสดไปแล้วหลายสาขา รวมถึงโซนแห่งความคิดสร้างสรรค์ Open House ชั้น 6 Central Embassy ให้เราเพลินกับพาสตาจานโปรดที่ล้อมรอบด้วยชั้นหนังสือ แม้พื้นที่ร้านจะค่อนข้างจำกัด แต่ความเป็น Ñam Ñam ยังอยู่ครบ พาสต้าเส้นสดของที่มีให้เลือกมากกว่า 10 ชนิด มีทั้งเมนูคลาสสิกและฟิวชั่นที่เชฟทำออกมาได้น่าสนใจ อย่าพลาด Oyster Lemon Butter Pasta พาสตาหอยนางรมซอสเนยกับเลมอนและเกล็ดขนมปัง รสชาติเข้มข้นจากน้ำสต๊อกหอย แถมให้หอยนางรมแบบไม่หวง โรยหน้าด้วยโรยหน้าด้วยขนมปังป่น พาสลี่ย์ บีบเลมอนเล็กน้อยก่อนกิน Risotto Pink Sauce Pancetta รีซอตโตพิงค์ซอสสุดครีมมี่ เชฟนำซอสพาสตาสูตรของที่ร้านอย่างพิงค์ซอส รสเปรี้ยวเล็กๆ มาทำเป็นริซอตโต โดยใช้ข้าวใช้ข้าวพันธุ์คาร์นาโรลี ด้านบนท็อปด้วยพาร์มิจิอาโน เร็กจิอาโน และแพนเชตต้า กินด้วยกันแล้วลงตัว นอกจากนี้ยังมี Clam Chowder ซุปข้นหอยลายโรยหน้าด้วยชีส เบค่อนกรอบ และน้ำมันพาสลีย์ รวมถึงเมนูขวัญใจหลายคนแม้ไม่ใช่พาสต้าอย่าง Gambas Al Ajillo กุ้งกระเทียมผัดในน้ำมันมะกอกแบบสเปน จับคู่กับขนมปังให้หยิบไปปาดในน้ำมันมะกอกจนเกลี้ยงชามไปเลย!

อีกไม่กี่วันจะเข้าสู่ศักราชใหม่แล้ว ช่วงเวลาแบบนี้ต้องปาร์ตี้เท่านั้น!   เรามีร้านลับๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในโครงการ Galile Oasis โอเอซิสกลางเมืองสุดร่มรื่นและยังเป็นอาร์ตสเปซของคนรักงานศิลป์ที่หมุนเวียนกันมาจัดกิจกรรม ทำให้ที่นี่มีมุมถ่ายรูปเยอะมาก เดินเล่นเพลินๆ แล้วค่อยมารวมตัวกันที่ Cilantro Bangkok ร้านอาหารอิตาเลียนที่บรรยากาศสบายๆ มีโซนอินดอร์และเอาท์ดอร์ให้นั่งเมาท์มอยกับเพื่อน อาหาร เครื่องดื่มมีครบ สนุกไม่ต้องลุกย้ายร้าน ส่วนเมนูอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด เชฟบอกว่าทำด้วยใจอยากให้กินแล้วมีความสุข  อาทิ Pumpkin Kale Salad รวมวัตถุดิบสุดเฮลท์ตี้ที่อร่อยและกินง่ายอย่างฟักทอง ผักเคล แรดิช ราดด้วยน้ำสลัดรสเปรี้ยวสดชื่น Mussels Mariniere หอยแมลงภู่ผัดกับน้ำมันมะกอก ตามด้วยกระเทียม หอมแดง เซเลอรี ผิวเลมอน และใบไทม์จนมีกลิ่นหอม เสริมรสด้วยไวท์ไวน์และเนย จากนั้นนำไปอบจนได้ที่ก่อนเสิร์ฟพร้อมขนมปังซาวโดวจ์โฮมเมด Parma Walnuts & Honey ขนมปังซาวโดวจ์ท็อปด้วยไข่คน ผักโขม พาร์มาแฮม วอลนัท และน้ำผึ้ง ตัดกินพร้อมกันในคำเดียวจะได้ครบทั้งรสหวานฉ่ำของน้ำผึ้ง ตัดด้วยรสเค็มมันของพาร์มาแฮม แทรกด้วยเทกเจอร์กรุบๆ มันๆ ของวอลนัท และความนุ่มเหนียวเคี้ยวเพลินของขนมปัง Espellete Pasta พาสต้าผัดกับกุ้ง กระเทียม และไวท์ไวน์ เพิ่มรสเผ็ดร้อนนิดๆ ด้วยพริกแห้งฝรั่งเศส จากนั้นโรยอิตาเลียนพาสลีย์หอมๆ ก็พร้อมเสิร์ฟ   ขึ้นชื่อว่าอาหารอิตาเลียนต้องจับคู่กับไวน์ชั้นดี เพียงเท่านี้ก็เปอร์เฟ็ค์สุดๆ แล้ว!

ระเบียงที่เปิดกว้างเห็นชายหาดและผืนน้ำทอดไกลสุดสายตา สะท้อนแสงแดดสีส้มทอประกายในยามเย็น ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับ LUNAR Italian Restaurant ร้านอาหารอิตาเลียนบนชั้น 8 ของโรงแรม Bayphere Hotel Pattaya (เบย์เฟียร์ โฮเทล พัทยา) ในเครือ Habitat Hospitality (ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้) เป็นหนึ่งในร้านอาหารอิตาเลียนที่มีบรรยากาศโรแมนติกสุด ๆ ในย่านนี้ บทเพลงบรรเลงเคล้าคลอมา เข้ากับภาพขาวดำสุดคลาสสิกที่ประดับประดาอยู่ทั่วร้าน รวมไปถึงไวน์เซลลาร์ที่อวดโฉมเครื่องดื่มหลากหลายเลเบล ส่วนอีกมุมหนึ่งนั้นเป็นบาร์เครื่องดื่ม คอยให้บริการทั้งซิกเนเจอร์ค็อกเทลและคลาสสิกค็อกเทล เพราะว่าที่นี่ต้องการนำเสนอเมนูอาหารอิตาเลียนขนานแท้ จึงเริ่มต้นด้วยการเสิร์ฟฟอกาเซียที่ร้านอบเอง เนื้อนุ่มส่งกลิ่นหอม เปลี่ยนหน้าขนมปังไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน อย่างเช่นในครั้งนี้ที่ได้ลองหน้ากระเทียมและโรสแมรี มาพร้อมกับน้ำมันมะกอกและบัลซามิก รองท้องพลาง ๆ ก่อนจัดเต็มกับอาหารมื้อหลักอีกหลายอย่าง เริ่มต้นด้วยจานเรียกน้ำย่อยกับ Crispy Fried Calamari ปลาหมึกชุบแป้งทอดกรอบ กับผงซีซั่นนิงสูตรลับเฉพาะที่ผสมผสานไปด้วยเครื่องเทศนับสิบชนิด เช่น ผงหอม ผงกระเทียม ผงหอม และผงปาปริก้า กินคู่กับซอสการ์ลิกอัลยอลี Bruschetta ชีสบูราต้าจับคู่มากับสลัดมะเขือเทศและหอมแดง พาเมซานกรอบ ราดซอสบัลซามิก และท็อปด้วยคาร์เวียร์บัลซามิก Cured Meats โคลด์คัทสไตล์อิตาเลียนที่ประกอบไปด้วย พาร์มาแฮม สไปซี่ซาลามี และคอปป้าแฮมซึ่งทำจากสันคอหมู กินคู่กับผักดองและซาวร์โด ต่อกับอาหารเส้นด้วยเมนู Tortellini Spinach & Ricotta เมนูแพนเซตต้าหรือเบคอนรมควันในครีมซอสที่ใกล้เคียงกับคาโบนารา หอมกลิ่นรมควันของตัวแพนเซตต้าทันทีที่เข้าปาก ส่วนตัวเส้นสีเขียวทำจากแป้งผักโขมสอดไส้ชีสรีคอตต้าที่เพิ่มความนุ่มนวลให้กับจานนี้อย่างทวีคูณ จานต่อมาเป็น Salmon Steak สเต๊กปลาแซลมอนเสิร์ฟคู่กับผักโขมซอเต้ และซอสมะเขือเทศซัลซา ให้รสหวานอมเปรี้ยว แฝงด้วยความสดชื่นที่ช่วยตัดเลี่ยนได้อย่างสมดุล Grilled Pork Chop พอร์กช็อปชิ้นใหญ่ ที่ร้านนำไปแช่น้ำเกลือและสมุนไพรราว ๆ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะนำไปย่างแล้วเข้าเตาอบอีกรอบ ทำให้เนื้อมีความนุ่มชุ่มฉ่ำ ไม่แห้ง ที่เคียงกันมาคือเห็ดพอเทอร์เบลโลสอดไส้ด้วยผักโขมอมชีส แพนเซตต้าซอสครีมกระเทียม หน่อไม้ฝรั่งและมะเขือเทศเชอร์รี่ ของหวานจานแรกเริ่มต้นด้วย Profiteroles หวานละมุนด้วยแป้งชูส์สอดไส้ไอศกรีมวานิลลา ราดช็อกโกแลตซอสและฮาเซลนัทคารามาไลซ์ แล้วปิดท้ายด้วยขนมสัญชาติอิตาเลียนแท้ ๆ อย่าง Italian Tiramisu ในแก้วเซรามิก ด้านล่างเป็นเลดี้ฟิงเกอร์ราดด้วยช็อตกาแฟและโปะด้วยชั้นครีมก่อนจะโรยผงโกโก้และช็อกโกแลตสุดเข้มข้นไว้ด้านบน ปิดท้ายมื้ออาหารได้อย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ