Orihara Shoten เป็นทั้งสาเกบาร์และชอปเครื่องดื่มจากญี่ปุ่นที่รวมเอาสาเกและลิเคียวร์ไว้มากกว่า 80 ชนิด ชื่อของโอริฮาระเป็นที่รู้จักมากว่า 90 ปี ในฐานะร้านขายสาเกในญี่ปุ่น ก่อนเริ่มเปิดสาเกบาร์ที่สิงคโปร์ โตเกียว และล่าสุดที่กรุงเทพฯ   เมื่อเข้าไปเราพบคุณโยชิโตะ ซูซูกิ (Yoshito Suzuki) หนึ่งในกูรูเรื่องสาเกที่อยู่ในบ้านเรา ซึ่งเราคุ้นเคยกับเขาไม่น้อย เนื่องจากเป็นคนแรกๆ ที่นำเอาประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับสาเกมาแนะนำในหลายๆ ครั้ง ซูซูกิซังบอกว่าเขาอาศัยประสบการณ์แนะนำสาเกให้กับลูกค้ากินกับโอสึมามิ (Otsumami) กับแกล้มสำหรับสาเกอย่างของดองและโอเด้งร้อน     นอกจากสาเกแบบซื้อกับบ้าน แก้ว และไอเท็มสำหรับสาเกแล้ว ที่นี่ยังให้บริการ Sake by the glass ซึ่งมีสาเกบาร์เพียงไม่กี่แห่งที่มีตัวเลือกมากเท่านี้คือ 12 ชนิด เสิร์ฟในแก้วที่ต่างรูปทรงกันเหมือนกับไวน์ สาเกบางตัวยังใช้แก้วไวน์เพื่อดึงกลิ่นของสาเกออกมา ส่วนกล่องไม้ซูซูกิซังว่าใช้สำหรับดื่มฉลองมากกว่า ตัวแรกแนะนำ Kozaemon Junmai Ginjo (Miyamanishiki) สาเกที่ใช้ข้าวมิยามะนิชิกิจากนากาโน่มาทำ ซึ่งซูซิกิซังว่าเด่นเรื่องสมดุลของรสชาติ     ตัวต่อมา Bijofu Tokubetsu Honjozo สาเกจากเมืองโคจิ ที่สีข้าวออกในระดับพิเศษกว่ากินโจ          และสาเกตัวที่ซูซูกินิยามว่าหรูหรา Bijofu Junrei Junmai Ginjo สาเกจุนไมกินโจแบบพิเศษ แต่ลองไปลองมาเรากลับชอบสาเกอุ่น Kirinzan Dento Karakuchi ที่กลิ่นรสหอมกว่าแบบเย็น แต่แอลกอฮอล์ก็หายไปกับความร้อนด้วย นอกจากนั้นยังจัด Tasting Set Nagano สาเกจากนากาโน่แบบ 3 และ 7 ชนิด     ไม่เฉพาะสาเก ที่นี่ยังนำเอาลิเคียวร์ญี่ปุ่นมาให้ลอง ลิเคียวร์ยูซุ ลิเคียวร์โยเกิร์ต และลิเคียวร์พีช สองชนิดหลังแนะนำให้ผสมโซดาเพื่อเจือจางรสหวาน ส่วนชนิดแรกออนเดอะร็อกดีมาก รวมถึงเบียร์อย่าง Suntory Premium Malt เบียร์สด     และ Highball Tap แทปกดวิสกี้และโซดา ซึ่งเครื่องดื่มทั้งสองชนิดมีเพียงบาร์แห่งนี้และไม่กี่บาร์ในกรุงเทพฯ      ส่วนกับแกล้มระหว่างทางแนะนำ Tako Wasabi หนวดปลาหมึกยำวาซาบิ และ Ume Suishou กระดูกอ่อนปลากับบ๊วยดอง ที่เข้ากันดีกับสาเก แล้วค่อยปิดท้ายด้วย Oden ซุปอุ่นกับเครื่องต่างๆ ที่แก้เมาได้ดีก่อนกลับบ้าน    

Shirokane Tori - Tama ร้านยากิโทริจากโตเกียวที่นำวัฒนธรรมการกินยากิโทริแบบเสิร์ฟไม้ต่อไม้มาให้ได้ชิมถึงกรุงเทพฯ หลังจากเปิดในสิงคโปร์มาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะส่วนต่างๆ ของไก่ 1 ตัวที่นำมาย่างได้เกือบทุกส่วน จุดเด่นของร้านอยู่ที่บาร์ซึ่งล้อมรอบตัวเชฟที่คอยย่าง เติมถ่าน และทาซอสสูตรพิเศษ “โทะริทะมะ” ชื่อเดียวกับร้าน     เชฟทานากะเชี่ยวชาญเรื่องย่าง เขาใช้ถ่านไม้บินโจตันส่งตรงจากญี่ปุ่นมาย่างไก่โดยเฉพาะ เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การย่างอย่างถูกวิธี บางชิ้นส่วนต้องย่างเกลือ บางชิ้นส่วนต้องย่างด้วยซอสโทะริทะมะที่อยู่ในไหใบใหญ่ ร้านนี้เน้นเนื้อไก่และเครื่องในไก่เป็นหลัก ความอร่อยอยู่ที่การย่างใหม่ๆ แล้วส่งถึงมือลูกค้าทันที ซึ่งเชฟแนะนำ O-susume Course เสิร์ฟเป็น 5, 7 และ 10 ไม้ คล้ายโอมากาเสะซูชิที่เชฟเลือกว่าจะย่างอะไรก่อนหลัง มื้ออาหารจะดำเนินไปเรื่อยๆ และเตาย่างก็คือเวทีให้เชฟแสดงท่วงทำนองให้ชวนน้ำลายไหล      เริ่มที่ Nori Salad สลัดสาหร่ายทะเลกับ Seseri no Shoyuitama สันคอไก่ในโชยุหวานกับพริกแห้งซอย ก่อนมาที่ไฮไลต์อย่างยากิโทริที่เสิร์ฟมาคราวละไม้      Tsukune เนื้อไก่บดปั้นเป็นก้อนแช่ในซอสโทะริทะมะตลอดทั้งวันก่อนย่าง รสชาติจึงเต็มปากเต็มคำ Emon เนื้ออกไก่ย่างใส่ยูซุโกโชที่รสเปรี้ยวเผ็ด Chigimo ตับไก่ทาซอสโทะริทะมะ 3 ครั้งขณะย่างเพื่อให้รสชาติซอสเข้าเนื้อ Misaki ตูดไก่ตัวเมียที่เชฟบอกว่าเนื้อจะอร่อยกว่าตัวผู้ ย่างกับเกลือ เนื้อกรุบมัน Shishito พริกหวานญี่ปุ่นย่าง และ Apios มันฝรั่งจิ๋วจากฮอกไกโดย่างกับเกลือ     ถ้าไม่อิ่มต่อด้วย Toritamadon ข้าวหน้าไก่ใช้เนื้อสะโพกไก่ย่าง ไก่สับ และไข่ไก่ออนเซ็น ราดน้ำที่ได้จากการย่างไก่ หอมไหม้ๆ อร่อยและอิ่มดี แถมมี Tori ซุปไก่สีขาวข้น รสชาติเต็มคำด้วยกลิ่นของไก่      จบมื้อด้วยซอร์เบต์เหล้าดอกชิโซะแดง รสเปรี้ยวหวาน มีกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ จะว่าไปก็คล้ายโยเกิร์ตที่ช่วยย่อยได้ดีเชียว  

เราไม่อยากใส่ชื่อภาษาไทยของ Sheddo Sushi Cottage เพราะมันจะไม่งาม แต่อย่าไปสนใจชื่อ เพราะที่นี่คือร้านซูชิที่กำลังฮอตที่สุดในตอนนี้ ด้วยภาพลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่างความเป็นญี่ปุ่นกับดีไซน์บ้านหลังใหญ่สไตล์อิงลิชคันทรี่ ทำให้มีความเก๋ในตัว เออ จะมีสักกี่ร้านที่ได้กินอาหารญี่ปุ่นดีๆ ในบรรยากาศที่ต่างสุดขั้ว Sheddo Sushi Cottage เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียมที่พร้อมเสิร์ฟเมนูฟิวชัน โดยเฉพาะซิกเนเจอร์อย่าง Chef Sheddo ที่คัดสรรสุดยอดวัตถุดิบในแต่ละวันมาปั้นเป็นซูชิ 3 คำ        เมนูแนะนำ Goro Sashimi Set A เซ็ตซาชิมิรวม โอโทโร ชูโทโร แซลมอน ฮามาจิ และกุ้งโบตั๋น    Sheddo King Roll โรลไส้โอโทโร อะโวคาโด และไข่หอยเม่น โรยหน้าด้วยหอยเชลล์ ไข่ปลาโทบิโกะ คาเวียร์ และซอสฟัวกราส์   Sheddo King Salad สลัดผักใส่ฟัวกราส์ หอยเชลล์ และไข่ปลาแซลมอน ราดมายองเนสและซอสเทอริยากิ   Sheddo King Steak เนื้อมัตสึซากะย่างเตาถ่าน เสิร์ฟแบบกระทะร้อนพร้อมน้ำจิ้ม 3 สไตล์ 

การได้กินซาชิมิสดหวาน เนื้อนุ่มฉ่ำลิ้น คือความดีงามของอาหารญี่ปุ่นที่ทำให้เราแวะเวียนไปร้านเดิมได้อีกซ้ำๆ เช่นเดียวกับห้องอาหารทัตสึมิที่เชฟทานากะ ชิเกรุ อดีตเชฟส่วนตัวของเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เลือกวัตถุดิบคุณภาพมาใช้ทำอาหารญี่ปุ่นตำรับดั้งเดิม โดยเฉพาะคอร์สโอมากาเสะซึ่งเชฟคัดปลาและอาหารทะเลตามฤดูกาลมาใช้และปรุงรสชาติให้น้อยที่สุด แถมยังเลือกสาเก Masumi จากจังหวัดนางะโนะที่ได้รับฉายาว่าเงาสะท้อนของความบริสุทธิ์ มาจับคู่กับอาหารที่เราชอบได้ด้วย        เมนูแนะนำ Tatsumi Roll โรลเทมปุระกุ้งกรุบกรอบ วางเนื้อปลามากุโร่นุ่มหวาน ไข่ปลาแซลมอน และปลาไหลย่างชุ่มซอสสูตรพิเศษไว้ด้านบน   Omakase Sushi 9 Types เชฟนำวัตถุดิบหลากชนิดมาทำซูชิ 9 เมนู ข้าวซูชิปรุงรสอ่อนๆ เข้ากันกับเนื้อปลาที่เลือกมาอย่างดี   Tatsumi Chirashidon ข้าวญี่ปุ่นหอมนุ่มกับปลาดิบรวมชิ้นใหญ่เต็มคำ กินกับไข่หอยเม่น ไข่ปลาแซลมอน และวาซาบิสด 

สำหรับคนที่เป็นคออาหารญี่ปุ่นแล้วได้กินซาชิมินุ่มลิ้น ที่สอดประสานความสดหวานมาพร้อมกันใน 1 คำ เราถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆ ซึ่งก่อให้เกิดความสุขขึ้นในมื้อนั้นอย่างมหาศาล ยิ่งถ้าได้ลองเมนูอื่นๆ ที่อร่อยถูกปากด้วยแล้ว ก็คงยอมเทใจให้มากกว่าเดิมแน่นอนเลย เหมือนอย่างร้าน Shoyuu Japanese Restaurant ที่เราปลื้มเป็นพิเศษ เพราะนอกจากวัตถุดิบส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นทุกวันอังคารและศุกร์ นำมาทำเมนูชูซิ ซาชิมิ อิซากายะ รวมถึงเซทโอมากาเซะที่แน่นด้วยคุณภาพเต็มคำ ก็ยังมีวัตถุดิบตามฤดูกาลจากแดนซากุระแบ่งเป็นฤดูหนาว ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูใบไม้ผลิให้เราเลือกกินกันด้วย ที่สำคัญยังมีช่วง Golden Week Seasonal ลดราคาอาหารที่ใช้วัตถุดิบหากินยากเป็นตัวชูโรง เพื่อให้เราได้ลองเปิดประสบการณ์การกินใหม่ๆ อย่างไม่ต้องคิดมากนั่นเอง     มาถึงร้านแล้วเราเลือกที่นั่งกันก่อนดีกว่า เพราะที่นี่มีให้เลือกนั่งถึง 6 โซนด้วยกัน อย่างมุมแฮ้งค์เอ้าท์ ห้อง Private Room ที่นั่งแบบโซฟา หรือหน้าบาร์ ไม่ว่าจะมากับคนพิเศษ เพื่อน หรือครอบครัวก็มีที่เหมาะใจสำหรับทุกคน       ส่วนอาหารเราขอแนะนำ Shoyuu Salad ผักสลัดสดกรอบกินกับเนื้อหมูสไลด์นุ่มๆ และไข่ออนเซน ราดน้ำสลัดงาโฮมเมดหอมมัน ต่อด้วย Shoyuu Angel Hair ปลาเทราท์สดหวานเสิร์ฟคู่กับเส้นโซเมนและซอสพอนซึหอมๆ หรือ Shoyuu Special Roll ข้าวห่อสาหร่ายสอดไส้อะโวคาโด ฟัวกราส์ และแตงกวา แล้วห่อด้วยแซลมอนเนื้อนุ่มมีทั้งหมด 5 คำ 5 รสชาติไม่ซ้ำกันจากทอปปิงและซอสสูตรพิเศษ ส่วนใครชอบซูชิต้องลอง 7 Sea Wonder ซูชิรวม 7 คำจัดเต็มด้วยวัตถุดิบพรีเมียมชวนท้องร้อง อย่างปลาฮามาจิ ปลาเรนโคได ปลาโอโทโร กุ้งอาเมบิ ปลาไหลทะเล อูนิ ฟัวกราส์ และไข่ปลาแซลมอน ปิดท้ายด้วย Lobster Steak กุ้งล็อปสเตอร์เนื้อแน่นหวาน กินคู่ผักย่างเนยแล้วอร่อยเข้ากันลงตัว  สั่งสาเกหอมหวานมาแกล้มด้วยสักหน่อย...อร่อยฟินกว่าเดิมแน่นอน          

ว่ากันว่าหากไม่นักรวม Sukiyabashi Jiro ของคุณลุงจิโร่ที่ขึ้นแท่นตำนานซูชิ ก็มี Sushi Mizutani นี่แหละที่ถือว่าเป็นสุดยอดระดับตำนาน หลังจากสั่งสมประสบการณ์จากคุณลุงจิโร่จนออกมาเปิดร้านของตัวเอง น่าเสียดายที่ต้องเกษียณตัวเองก่อนเวลาอันควร ทำให้ซูชิเข้าสู่ยุคทองของ Sushi Sugita และ Sushi Saito  แต่ความน่าตื่นเต้นไม่ได้หยุดอยู่ที่ร้านซูชิ 2 ร้านนี้อีกต่อไป เพราะฟู๊ดดี้ชาวไทยได้ชักชวนซูเชฟของซูชิซูกิตะ เดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อเปิดร้าน Sushi Ichizu พอหลายคนได้ยินว่าหนี่งในทีมของซูชิซูกิตะจะมาเปิดร้านก็รีบจองกันแทบไม่ทันทั้งๆ ที่ร้านจะเปิดขายรอบแรกในวันที่ 22 สิงหาคม     ชายจุกขอเล่าถึงเชฟริคุ โทดะ (Riku Toda) เชฟซูชิของซูชิอิชิซู ถ้าได้เห็นหน้าค่าตาก็ต้องบอกว่ายังเด็กน้อยนักก็เขาอายุเพียง 26 ปี แต่ฟังประวัติและชิมแล้วก็แบบว่าโตเกินวัย โทดะซังได้รับการบ่มเพาะฝีไม้ฝีมือจากเชฟระดับเทพ ฮาชิโระ มิตสุทานิ (Hachiro Mitzutani) หนึ่งในลูกศิษย์ของลุงจิโร่ เขาจึงมีรากฐานของซูชิสไตล์เอโดะมาเอะ (Edomae) อย่างชัดเจน จนเมื่อเชฟมิตสุทานิประกาศเกษียณตัวเอง โทดะซังจึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของเชฟทาคาอากิ ซูกิตะ (Takaaki Sugita) และเริ่มงานที่ มิยาโกะซูชิ(Miyakozushi) เมื่อร้านเป็นที่รู้จักจึงย้ายสถานที่พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ซูชิซูกิตะ (Sushi Sugita) ซึ่งโทดะซังก็ได้เป็นซูเชฟ หรือเชฟมือรองจากซูกิตะซัง จนคว้าดาวมิชลินมาได้ 1 ดวง ในปีแรกที่เปิดขาย ว่ากันว่าที่นี่จองยากพอๆ กับซูชิไซโตะ ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังได้เหรียญทองจาก Tabelog (เว็บไซต์รีวิวอาหารชื่อดังของญี่ปุ่น)   เชฟริคุ โทดะ (Riku Toda)     สำหรับฟู๊ดดี้ที่ชักชวนเชฟมาก็ต้องบอกว่าเป็นตัวกลั่นเลยแหละ คุณเบียร์-พีรเกติ์ เจริญพานิช นักรีวิวชาวไทยของ Tabelog ชักชวนน้องร่วมก๊วนกินอย่าง คุณอะตอม-วิชเรศ บุญจิตต์พิมล คุณหยก-กชมน ตุลาธรรมธร และคุณหมง-เอกบุรี จึงประเสริฐศรี มาร่วมลงทุนเปิดร้านนี้ ชายยังติดใจกับเรื่องราวของคุณเบียร์ ถ้ามีโอกาสได้คุยอีกจะเอามาเล่าต่อ     ตอนนี้ที่ซูชิอิชิซูเปิดให้จองเพียงวันละ 2 รอบ 17.30 และ 20.30 น. รอบละ 9 คน  ปิดทุกวันจันทร์ ซึ่งเปิดจองโอมากาเสะซูชิเท่านั้นและเปิดเฉพาะมื้ออาหารของเดือนกันยายนและตุลาคมก่อนแล้วจะเปิดจองอีกครั้งต่อไป   ว่ากันว่าซูชิที่ดีมีส่วนประกอบ 2 ส่วน ข้าว (ชาริ) และปลา (เนตะ) ที่นี่หุงข้าวแบบอัลเดนเต้และอาศัยวิธีปั้นที่อัดอากาศเข้าไปให้ข้าวแน่นพอดี ผสมกับน้ำส้มสายชูที่เบลนด์ขึ้นเอง ส่วนปลาก้มีทั้งสดและดอง ขึ้นอยู่กับชนิดของปลา พร้อมด้วยปรัชญาที่ว่า “วันนี้ได้วัตถุดิบอะไรมาก็จะทำสิ่งนั้น ไม่ใช่วันนี้จะทำสิ่งนี้แล้วถึงซื้อวัตถุดิบมา” ถึงเราจะบอกว่าโอมากาเสะเป็นมื้ออาหารที่แล้วแต่เชฟ แต่ด้วยเรื่องของความไว้ใจเชฟก็ต้องตอบแทนคนกินผ่านมื้ออาหาร       เชฟทำซูชิรวมกับอาหารอื่นๆ ประมาณ 16 คำ ขึ้นไป ชายคงไม่เล่าทั้งหมด เพราะเชฟก็คงตามใจตัวเองแหละว่าอยากใช้ปลาอะไรและปรุงแบบไหน แต่ที่ชายชอบถ้าไม่หมดไปจากฤดูกาลก็คงมีให้กินแน่ๆ เป็น เป๋าฮื้อ ที่มาพร้อมซอสตับหอย (ฟังไม่ผิดทำจากตับของหอยถึง 5 ตัว) ให้ชิมเป๋าฮื้อชิ้นแรกที่นึ่งมาก่อน อีกชิ้นจิ้มกับซอสตับ อื้มเหมือนตับห่านเหมือนกันนะแต่ขมกว่า ส่วนซอสที่เหลือเชฟจะปั้นข้าวอุ่นๆ ใส่ลงมาคลุกเคล้ากินเป็นริซอตโต้ อร่อยล้นไปทั่วปาก   เป๋าฮื้อ ซอสตับหอย  ชินโกะ ปลาที่จะโตเป็นปลาโคฮาดะ ดองนาน 2 วัน ไม่เปรี้ยวมากอมหวาน     ตามด้วย โคฮาดะ ที่ดอง 4 วัน รสเต็มกว่าโตกว่า     อูนิ หอยเม่นมุราซากิจากฮอกไกโดกับข้าวอุ่นๆ ที่ครีมมี่และเต็มคำ     ตามด้วย เคกานิ ปูขนที่ย่างกับข้าวใส่ด้วยอูนิบาฟุนและอิกุระ     อีกอย่างที่ชอบมากก็คือของหวาน วาราบิโมจิ ที่ทำสดๆ กับน้ำตาลทรายแดง ผงคินาโกะ และดอกซากุระดองเกลือ     ชายว่าการได้กินของดีมันเป็นความลำบาก หลายคนว่าพอขึ้นแล้วก็ยากจะลง มันคงจะจริง

เปิดร้านสาขาแรกในไทยได้ไม่กี่วัน  Menya Itto ร้านราเมงระดับท็อปลิสต์จากเมืองโตเกียวก็แน่นไปด้วยเหล่านักชิมไม่แพ้สาขาต้นแบบ ด้วยเหตุนี้หญิงใหญ่จึงขอให้ทุกท่านเตรียมกำลังขาสำหรับต่อคิวไว้ให้พร้อม เราจะทุ่มเทเพื่อสุดยอดสึเคเมงไปด้วยกัน มื้อนี้รับประกันความโออิชิ!     ตัวร้านเมนยะ อิตโต ตั้งอยู่ชั้นบี โซน Urban Kitchen ของอาคารเอราวัณ แบงคอก ใกล้แยกราชประสงค์ ภายในร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้อารมณ์ญี่ปุ่น มีครัวเปิดให้เห็นเชฟบรรเลงฝีมือลวกเส้นราเมงอย่างชำนิชำนาญ (ตอนแรกเห็นว่าทางร้านตั้งใจกั้นห้องกระจกสำหรับโชว์ทำเส้นสด แต่ด้วยข้อจำกัดบางอย่างเลยต้องพับโครงการไว้ก่อน)       เพราะเรื่องความหิวไม่คอยท่า เราจึงเริ่มชามแรกด้วยพระเอกของร้าน Itto Noko Gyokai Tsukemen สึเคเมงอันโด่งดัง เส้นราเมงทำเองจากจมูกข้าว สังเกตด้วยตาเปล่าจะรู้เลยว่าขนาดของเส้นนั้นทั้งใหญ่ กลม และอ้วน (ลักษณะคล้ายดิฉันมาก ตกใจเล็กน้อย) เสิร์ฟแบบเย็นพร้อมท็อปปิ้ง 3 แบบคือหมูชาชู ไก่ชาชู และหมูสามชั้นสุดนุ่มด้วยวิธีซูวี เคียงคู่ด้วยน้ำซุปรสเข้มข้นจากเนื้อไก่และอาหารทะเลซึ่งผ่านการเคี่ยวนานกว่า 10 ชั่วโมง ส่วนวิธีกินแสนง่าย แค่ใช้ตะเกียบคีบเส้นอวบๆ ลงไปแกว่งไกวให้ซุปซึมเข้าตัวเส้น จากนั้นส่งต่อเข้าปากทันที เส้นจะหนึบๆ ส่วนน้ำซุปดีงามไม่มันเลี่ยน อย่าลืมเพิ่มความเผ็ดนิดๆ ด้วยคารามิ พริกป่นผสมกุ้งแห้งทำเอง     หากรู้สึกว่าสึเคเมงหนักไป อยากลดระดับความเข้มข้นลงมานิดหน่อย สั่งเลย Itto Noko Gyokai Ramen ราเมงน้ำซุปข้นเช่นกัน แต่รสไม่จัดเท่าชามแรก เส้นราเมงขนาดกลาง ลวกให้กรุบนิดๆ เคี้ยวเพลินดี ปิดท้ายด้วยราเมงซุปเกลือ Tokusei Shio Ramen สำหรับคอราเมงที่ชอบน้ำซุปเบาๆ เส้นเล็ก ผอมบาง นอนขดอยู่ในชาม น่ากินที่สุด เชฟบอกว่าเคล็ดลับของเมนูนี้คือต้องปรุงด้วยเกลือธรรมชาติเท่านั้น จึงจะได้รสชาติที่กลมกล่อมจนซดได้ยันหยดสุดท้าย เสิร์ฟพร้อมไข่ต้มยางมะตูมและหอยเชลล์ผัดซอสเอ็กซ์โอ       อร่อยแบบไม่ต้องบินไปไกลถึงโตเกียว

ชายจุกได้ยินข่าวแว่วมาว่า มีร้านซูชิสไตล์โอมากาเสะ (ซูชิตามใจฉัน ฉันไม่ใช่ชายแต่เป็นเชฟนะ) ที่มีดาวมิชลินประดับมาเปิด ชายรีบหาข้อมูลและได้ไปชิมในที่สุด หลังจากรอให้ตลาดปลาทั่วญี่ปุ่นกลับมาเปิดขายอีกครั้งหลังหยุดยาวช่วงขึ้นปีใหม่ก็ได้เวลาที่ Sushi Zo (ซูชิโซ) จะเปิดให้บริการครั้งแรกในกรุงเทพฯ ที่พลาซ่า แอทธินี ทาวเวอร์  ซูชิโซ เป็นร้านของเคโซ เซกิ (Keizo Seki) เชฟชาวโอซาก้าที่มีโอกาสไปใช้ชีวิตในเมืองลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา จนเริ่มเปิดซูชิโซขึ้นในปี 2006 ซึ่งชายทราบข่าวมาว่าร้านของเขาได้ดาวมิชลินมาครองถึง 2 ดวง ดวงแรกเป็นของสาขาลอสแองเจลิสที่ได้ในปี 2009 และอีกดวงเป็นสาขานิวยอร์คที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อน ในปี 2016 ในสหรัฐอเมริกายังมีสาขาของซูชิโซที่ย่านดาวน์ทาวน์ในลอสแองเจลิสอีกสาขา ซูชิโซ คล้ายกับร้านโอมากาเสะซูชิทั่วไปตรงที่ไม่รับวอล์คอิน ไม่ใช่เพราหยิ่งอะไรหรอกนะ แต่เชฟตั้งใจปั้นซูชิดีๆ ก็เลยต้องขอทราบจำนวนลูกค้าเพื่อจะได้ตระเตรียมข้าวของให้ถูก ที่สำคัญเชฟเลือกใช้วัตถุดิบจากหลายแหล่งมากกว่าเพียงซึกิจิ น่าเสียดายที่เชฟเคโซ เจ้าของดาวมิชลินไม่ได้มาด้วยตัวเอง แต่ส่งศิษย์เอก เชฟโทชิ โอนิชิ (Toshi Onishi) ที่ผ่านการเป็นเชฟใหญ่ของสาขาดาวน์ทาวน์ในลอสแองเจลิสมาเป็นตัวแทนปั้นรสอร่อย เชฟเล่าให้ชายฟังว่าเขาเลือกใช้ข้าวและน้ำแร่จากฮอกไกโดสำหรับหุงข้าวแล้วปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู 2 ชนิด ทั้งน้ำส้มสายชูแดงและขาว แต่ในอนาคตเชฟว่าจะหุงข้าวออกมาอีกชนิดสำหรับเนื้อปลาที่มีมันมาก ข้าวของที่นี่คำค่อนข้างเล็กเพราะเชฟจะปั้นซูชิออกมาต่อเนื่องมากกว่า 20 คำ เลยกลัววว่าชายจะอิ่มไปเสียก่อน  เมนูแนะนำ เชฟโทชิ ก็เหมือนกับเชฟซูชิคนอื่นๆ ที่อยากให้ชายได้ลิ้มลองรสชาติที่ส่งตรงจากอุณหภูมิร่างกาย เป็นไปได้แนะนำให้รีบสแนปรูปแล้วรีบกินทันที แต่รสชาติรับรู้ด้วยลิ้นอาจจะต้องกินเลย เชฟเรียกน้ำย่อยด้วยซาซิมิ 4 คำ หอยนางรมกับซอสพอนสึ ปลายาการะกับยูสุโคโชที่ให้รสเปรี้ยวเผ็ด ปลามากุโร่หมักกับโชยุและสาเกหวานให้สัมผัสของปลาที่แน่นและหวาน และกุ้งหวาน เชฟแนะนำให้ล้างปากด้วยสาเกก่อนเริ่มคอร์สซูชิ คำแรก เริ่มที่ Tai ซูชิปลาไทที่บีบยูสุ ผิวยูสุและเกลือทะเล สดชื่นมากสำหรับคำแรก แต่ชายสังเกตว่ารสของข้าวอมเปรี้ยว Kinmedai ปลาคินเมนไดทาด้วยโชยุที่มีกลิ่นควันจางๆ Hagatsuo ปลาโอทาด้วยพอนสึใส่ขิงกับไชฟ์ซอย คำนี้ให้รสเผ็ดนิดๆ คั่นด้วย Uni Ika ปลาหมึกสดกับหอยเม่น จบลงตอนนี้ความอร่อยกำลังเป็นกราฟพุ่งสูงขึ้น จากนั้นเชฟพาเราไปลุยกับปลาทูน่าต่อ เริ่มเบาๆ ด้วย Akamai ซูชิทูน่าเนื้อแดงนี่แหละทาด้วยโชยุที่มีกลิ่นควัน เนื้อฉ่ำมาก อร่อยมาก ตามด้วย Chutoro ที่แทรกไขมันพอดีๆ ใช้โชยุตัวเดิม แต่เชฟก็เบรคความคิดของเราที่คิดว่าคำต่อไปคงหนีไม่พ้น Otoro แน่นอน แต่เชฟหักมุมกลายเป็นคำที่ชายชอบมาก ก.ไก่ล้านตัว Smoke Tai ปลาไทปั้นบนข้าวแล้วรมควันด้วยไม้มากกว่า 2 ชนิด เชฟว่าอยู่อเมริกานาน คนแถบน้ำชอบบาบีคิวเลยกลายเป็นไอเดีย ต้องรมควันนานถึง 2.20 นาที ได้ความหอมของควันและรสเปรี้ยวหวานของข้าวและปลามีอาฟเตอร์เทสที่อยู่ยาวนานในปาก (อยากจะขออีกคำ) คำต่อมาซูชิร้อนๆ ต้องมา Ankimo กุงกังมากิใส่ตับปลาต้มอุ่นๆ เออลืมบอกว่าขิงดองที่นี่ก็รสจัดเผ็ดขมหวานเปรี้ยวมาหมด  เชฟฉุดชายลงจากยอดดอยความอร่อยอีกครั้ง ด้วยการเสิร์ฟ Chawan Mushi ไข่ตุ๋นปูและอูนิ ตามด้วย Tako Sakura Ni หนวดปลาหมึกต้มในโชยุและสาเกหวาน หลังจากนั้นชายต้องไต่ระดับความอร่อยอีกครั้งด้วย Shima Aji เชฟแช่ปลาชิมะอาจิในน้ำมันมะกอกนาน 1 ชั่วโมง ท๊อปปิ้งด้วยพริกไทชิชิโตะเผา ตอนนี้ชายมาถึงครึ่งทางของโอมากาเสะแล้ว คำที่ 13 Sayori ปลาเข็มทาด้วยโชยุผสมดาชิ เนื้อหนึบแน่น แล้วทะลักความอร่อยด้วย Otoro ที่ทาซอสตัวเดียวกับอะกามิและชูโทโร่ เชฟไม่หยุดแค่นั้น Otoro Aging เป็นคำต่อมาที่ปั้น เอจจิ้งนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ย่างให้มันฉ่ำทั้งชิ้น  โอ้ยไม่ไหวแล้ว พีคสุดตัวกำลังลอย รีแอคชั่นแบบการ์ตูนมาเลยจ้า แต่ก็โดยเชฟฉุดลงสู่ความละมุนละไมของ Uni กุงกังมากิอูนิบาฟุนที่ให้รสหวานทาด้วยโชยุ ความอร่อยยังอยู่ที่สาหร่ายจากแถบฮอกไกโด บ้านเกิดเชฟ ตามด้วย Ikura ข้าวโปะหน้าไข่แซลมอนที่หมักกับดาชิ โชยุ และสาเกหวาน ต่อด้วย Ayako Gai หอยนางรมนางาซากิทาด้วยโชยุดาชิแล้วเสียบไม้ย่าง เผ็ดนิดๆ Akagai ซูชิหน้าหอยปีกนกและใบชิโสะทาด้วยโชยุ ก่อนปิดท้ายด้วย Anago ปลาไหลทะเลอบได้รสหวานของปลารสเปรี้ยวของข้าว ยังๆไม่จบ Toro Maki โทโร่สับ ไชเท้าดอง และข้าว ห่อด้วยสาหร่าย มาคำโตการันตีความอิ่ม แถมคำพูดทิ้งท้ายว่าเอาอะไรอีกไหม ชายได้แต่ร้องหืม แต่น้องที่ไปด้วยกันบอกว่าปกติคนไปโอมากาเสะก็มีคนบอกขออีก แต่ชายว่าอิ่มละล่ะ มีซุปและของหวานอีกนะ ได้ซุป Osui Mono อุ่นๆ ก็เริ่มอยากกินอีก เอ้ยไม่ใช่แล้ว และหม้อเหล็กที่ส่งควันพวงพุ่งตลอดมื้อก็ถูกเฉลยว่าเป็นหม้อต้มน้ำสำหรับพิธีชงชาที่เชฟได้สืบทอดมาจากทางบ้านที่เป็นทีเฮ้าส์มาก่อน ของหวาน มีไข่หวาน สาลี่ ส้ม และสตรอว์เบอรี่ กินกับชามัชชะที่ไม่ขมมากที่เชฟบรรจงตีชาให้ถ้วยต่อถ้วย โดยถ้วยก็ได้เพื่อนศิลปินปั้นถ้วยชามาให้แบบไม่ซ้ำลวดลายและรูปทรง เป็นมื้อที่ดีระดับ A+ ที่ควรค่าต่อการมาลอง เพราะเชฟไม่ดุกินชิลๆ 

หลังจากเปิดตัวสาขาแรกที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ชลบุรี ไปเมื่อปีก่อนจนได้ใจลูกค้าชาวญีปุ่นละแวกนั้นไปเต็มๆ ก็ถึงเวลาที่ Tanabe จะขยับขยายความอร่อยมาเสิร์ฟกันถึงกรุงเทพฯ สักที ซึ่ง1 ในหุ้นส่วนของร้านนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หนุ่มต่าย-นัฐฐพนธ์ ที่เคยทำให้ Too Fast Too Sleep ฮอตฮิตติดลมบนไปแล้วนั่นเอง ชื่อ Tanabe นอกจากจะเป็นชื่อของเมืองชายทะเลของประเทศญี่ปุ่น ยังมาจากชื่อ 3 หุ้นส่วน คุณต่าย- นัฐฐพนธ์ คุณเอนก และคุณบี และด้วยทำเลใหม่ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์ จึงมีคำว่า KU พ่วงท้าย ปรับคาแรกเตอร์ร้านให้สนุกขึ้น ไม่ญี่ปุ่นจ๋าจนเข้าถึงยาก ส่วนเมนูยังเน้นความสดใหม่และปราณีต โดยฝีมือเฮดเชฟที่โลดแล่นในแวดวงอาหารญี่ปุ่นมากว่า 20 ปี โดยเฉพาะปลาแซลมอนซึ่งทางร้านย้ำหนักแน่นว่าต้องเป็นแซลมอนสดเท่านั้น ไม่ใช้แบบแช่แข็งให้เสียอรรถรส (วันที่เราแวะไป เชฟกำลังแล่แซลมอนที่เพิ่งได้มาใหม่อยู่พอดี เนื้อสีสวยจนเผลอกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึก)  จึงกลายมาเป็นเมนูแรกที่สั่งมาชิม Salmon Sashimi และ Oyster Honeymoon ไม่ใช่แค่แซลมอนซาชิมิธรรมดา แต่เสิร์ฟมาพร้อมกับ ออยสเตอร์ราดซอสสูตรเฉพาะ เคียงด้วยไข่นกกระทา ไข่แซลมอน และคาเวียร์ เพิ่มความตื่นตาตื่นใจด้วยดรายไอซ์เบาๆ กินแล้วมีเรี่ยวแรงสดชื่น พร้อมไปฮันนีมูนได้ทันที (เขิน) ต่อด้วยเมนูซิกเนเจอร์ Salmon Fin Roll โรลนี้กินแล้วฟินสมชื่อ ด้านในอัดแน่นด้วยแซลมอน อะโวคาโด ครีมชีส ราดซอสสูตรพิเศษ แต่ถ้ายังไม่จุใจสั่งเซ็ท Sushi มาให้สาแก่ใจ แถมเชฟปั้นมาได้งดงาม ทั้งแซลมอน ฮามาจิ มากุโระ ปลาหมึก ไข่แซลมอน ไข่กุ้ง และปลาไหล  ส่วนใครเป็นแฟน Don หรือข้าวหน้าต่างๆ หญิงใหญ่แนะนำ Bara Shirashi Don ข้าวหน้าปลาดิบรวม  ชอบใจตรงที่ข้าวรสชาติดี มีความเปรี้ยวพอเหมาะคลุกเคล้ากับปลาดิบแล้วไปด้วยกันได้สวยๆ หรือจะลองเมนูอื่นอย่าง Tanabe Sukiyaki เลือกได้ทั้งเนื้อ หมู และทะเล Ten Zaru Soba โซบะเย็นเสิร์ฟพร้อมเทมปุระก็น่าจะถูกใจคออาหารญี่ปุ่นเป็นอย่างดี