ไม่ว่าเชฟมิชลินสตาร์ชื่อดังอย่าง “กากั้น อนันต์” จะทำอะไรก็เรียกกระแสให้กับวงการอาหาร ทั้งข่าวการปิดร้านกากั้นที่กรุงเทพฯ การเปิดร้านใหม่ร่วมกับเชฟเพื่อนซี้ “ทาเคชิ ฟุกุชิมะ” (เชฟโก) ที่ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งเปิดร้านเต้าหู้โอมากาเสะแห่งใหม่บนถนนสาทร     ร้านมิฮาระ โตฟุเทน เริ่มเมื่อ 57 ปีที่แล้วจากโรงงานผลิตเต้าหู้ของตระกูลมิฮาระ จากนั้นได้เปิดร้านอาหารสไตล์อิซากายะใกล้ๆ กับโรงงาน เป็นร้านกินดื่มที่มีเต้าหู้ย่างเป็นตัวชูโรง และเมื่อเชฟกากั้นได้ชิมเต้าหู้มิฮาระ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของร้านเต้าหู้โอมากาเสะสาขากรุงเทพในที่สุด     แม้ร้านที่นี่จะแตกต่างจากที่ญี่ปุ่น แต่รสชาติความอร่อยของเต้าหู้ตระกูลมิฮาระยังคงเดิม เพราะเต้าหู้จะถูกส่งมากรุงเทพฯ ทุกๆ 3 วัน รวมทั้งเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้สดๆ จากตลาดสึกิจิอีกด้วย     เรานั่งตรงเคาท์เตอร์บาร์รูปตัวแอล ใกล้ชิดติดครัวเห็นเชฟเตรียมเมนูทุกขั้นตอน อาหารจะเสิร์ฟสไตล์โอมากาเสะมาทีละคอร์ส เริ่มต้นจาก 1.น้ำเต้าหู้สด เมื่อดื่มและตามด้วยแยมยูสุให้ความรู้สึกสดชื่นจากน้ำเต้าหู้เย็นๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากนั้นเป็นของกินเล่นในเบนโตะที่มี 2.เต้าหู้ยูกิ เนื้อนุ่มนิ่มครีมมี่ พรมด้วยน้ำมันเลมอนหอมๆ โรยเกลือเกล็ดฟูเบาจากโอกินาว่า 3.เต้าหู้โกมะ เต้าหู้โมจิเนื้อหนึบเหนียวสีน้ำตาลอ่อนผสมงา และ 4.เต้าหู้ยูบะมิลเฟย ทำจากฟองเต้าหู้ซ้อนกันเป็นชั้นบางๆ เนื้อนุ่มแน่น       5.เต้าหู้คินุ คล้ายเต้าหู้ยูกิ ทอดให้ผิวพอตึง เสิร์ฟในซุปเนื้อปูซูไวและลูกชิ้นปลา รสหอมหวาน 6.กลาสปาโชมะเขือเทศ ทำเป็นเจลลี่รสเปรี้ยวสดชื่น กับกับเต้าหู้มิโสะเค็มๆ 7.ปลาค้อดดำหมักโคจิ กับเต้าหู้เนื้อนุ่มฟูเบา         8.ข้าวดงบุริ กับหอยเป๋าฮื้อและเต้าหู้ยูบะ ไข่ปลาและวาซาบิ 9.เต้าหู้ซารุทอด เต้าหู้เป็นทรงตะกร้าเนื้อผิวกรอบเนื้อในนุ่ม ราดไข่ปลาแซลมอน 10.ไข่ตุ๋น ก้นถ้วยเป็นเต้าหู้โมจินุ่มๆ ใส่เห็ดชิตาเกะปั่นและหอยฮามากุริ 11.เต้าหู้ยากิ DIY  คอร์สนี้สนุกเพราะให้เราตักเต้าหู้ใส่ในสาหร่ายโนริแทนข้าว ท๊อปด้วยอุนิมันๆ           ที่ขาดไม่ได้คือเมนูจานหลักอย่าง 12.เต้าหู้โมเมนสุกี้ยากี้ เชฟต้มพร้อมกับเนื้อวากิวเอ 5 นุ่ม หวานอร่อยในซุปหอมหัวใหญ่สไตล์ฝรั่งเศส และ 13.โซเมนในน้ำเต้าหู้ดาชิ เส้นโซเมนเหนียวนุ่มจุ่มในน้ำดาชิผสมน้ำเต้าหู้ได้รสเค็มและหวานลงตัว       มาถึงของหวานคือ 14.ไอศกรีมเต้าหู้ เนื้อเนียนดี หอม 15.เต้าหู้นุ่มเด้งราดน้ำเชื่อมเอสเพรสโซ่ 16.ช็อกโกแลตสดใส่น้ำเต้าหู้ มีรสพิตาชิโอ รัมเรซิน โกโก้และมัชฉะ     ไม่น่าเชื่อว่าเต้าหู้จะมีความหลากหลายและนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด บวกกับการเสิร์ฟที่พิถีพิถัน ภาชนะจานชามที่สวยงามสไตล์ญี่ปุ่น รวมทั้งการสร้างสรรค์เมนูจากสุดยอดเชฟ ทำให้เราได้สัมผัสถึงความละเมียดละไมเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ในการกินเต้าหู้ได้เป็นอย่างดี บอกเลยว่าคนรักเต้าหู้ต้องห้ามพลาด

Tatsu ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจของคุณยุทธกล เจ้าของร้านที่อยากมีพื้นที่สำหรับคนที่ต้องการผ่อนคลายความเครียดหลังเลิกงานได้มาสังสรรค์ดื่มกิน พูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน รวมถึงพ่อแม่รับลูกกลับจากโรงเรียนก็แวะมานั่งกินอาหารเย็นก่อนเข้าบ้านได้สบายๆ ในคอนเซ็ปต์กิน ดื่ม เพื่อน ครอบครัว       ร้านตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น เรียบง่ายแต่แฝงความอบอุ่นชวนนั่งไว้ทุกอณู ที่สำคัญเป็นกันเองเหมือนนั่งกินข้าวบ้านเพื่อน ลูกค้าสามารถเดินไปชมวัตถุดิบสดใหม่หน้าเคาน์เตอร์หรือพูดคุยกับเชฟที่ยินดีให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุดิบต่างๆ อย่างสนุกสนาน ทางร้านเลือกใช้แต่ของดีนำเข้าจากญี่ปุ่นและแหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วโลกซึ่งคุณยุทธเจ้าของร้านภูมิใจนำเสนอโดยบอกว่า “ผมกินอย่างไรลูกค้าจะได้กินอย่างนั้น ด้วยความที่ผมเป็นคนช่างเลือก จึงมั่นใจได้ว่าสิ่งที่ผมกินจะต้องอร่อยและดีแน่นอน”  เริ่มต้นที่เมนูขายดี อุนางิ-อิคุระซุปเปอร์ด้ง “อร่อย สดชื่น แตกโป๊ะในปาก” นี่คือคำจำกัดความสื่อถึงอิคุระ ไข่ปลาเม็ดกลมสีส้มใสแจ๋วได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ตอนกินสุดๆ ทางร้านใช้อิคุระเกรดเอ เม็ดสมบูรณ์ ไม่เกาะกันเป็นก้อน ตักกินแต่ละคำฉ่ำไปทั้งปาก เมนูนี้มาพร้อมคู่ซี้อุนางิหรือปลาไหลย่างซอส รสชาติหอมหวานชวนกิน     ฟินกันต่อกับอุนางิย่างเกลือ ปลาไหลจากธรรมชาติ เนื้อปลาไร้กลิ่นคาวแล่เป็นชิ้นเสียบไม้ย่าง ยกเสิร์ฟทั้งเตาถ่านเพื่อให้กลิ่นของเตาดินเผายิ่งชูกลิ่นหอมของปลาไหลให้โดดเด่นชวนน้ำลายสอยิ่งขึ้น     ชุดซาชิมิ เมนูสีสันคัลเลอร์ฟูล เสิร์ฟเนื้อปลาสดหั่นชิ้นหนาให้กินได้เต็มปากเต็มคำ นำทัพโดยโอโทโร่ ราชาแห่งความนุ่มละมุนละลายในปาก ต่อด้วยฮามาจิ แซลมอน แซลม่อนโทโร่ โฮตาเตะ โรยอิคุระเพิ่มกิมมิกชวนกิน     ต่อด้วยซูชิฟิวชั่น เสิร์ฟ 3 คำสุดพรีเมียม ได้แก่ อากามิทอปด้วยเอบิเนื้อสดเด้ง แซลมอนเบิร์นไฟทอปด้วยไข่กุ้งและซอสสูตรเด็ดของร้าน สุดท้ายโฮตาเตะเนื้อหนึบฉ่ำซอส โรยอิคุระเพิ่มความกรุบอร่อย     หากกำลังมองหาสถานที่สังสรรค์กินดื่ม Tatsu คือคำตอบ

หลังจากได้ยินเหล่าแฟนคลับของ Kyo Roll En เรียกร้องถึงอาหารคาวกันมาพักใหญ่ ในที่สุดร้านขนมหวานสไตล์เกียวโตก็ได้ฤกษ์เปิดคอนเซปต์ Café & Meal ด้วยการเพิ่มเติมความอร่อยแบบอิ่มแปล้แกล้มของหวานไปพร้อมกัน โดยประเดิมความอร่อยที่สาขาเซ็นทรัล พลาซ่า แกรนด์ พระราม 9 เป็นสาขาแรก       แม้คอนเซปต์ใหม่จะขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารกินเอาอิ่ม แต่หน้าตาของทุกเมนูกลับไม่ทิ้งลายความน่ารักน่ากินเหมือนดังเช่นขนม และหาก Kyo Roll En เดิมมีจุดเด่นอยู่ที่เค้กโรล ส่วนของอาหารก็มีพระเอกอย่าง “ซุปดาชิ” สูตรโฮมเมดที่เคี่ยวจากปลาแห้งคัตสึโอะและสาหร่ายคอมบุนานกว่า 8 ชั่วโมง มาสร้างสรรค์เป็นความอร่อย 3 หมวดหลัก ได้แก่ ข้าวต้ม (Chazuke) โซเมน/โซบะ (Somen/Soba) และพาสต้า (Pasta)     ขอเริ่มกันด้วยข้าวต้มที่ว่ากันว่าเป็นอาหารเช้ายอดนิยมของชาวเกียวโต เมนูแนะนำต้องยกให้ Salmon Chazuke (159 บาท) ข้าวสวยหุงร้อนๆ ท็อปด้วยปลาแซลมอนและไข่ปลาแซลมอน ก่อนกินให้ลองเติมสาหร่ายและข้าวพอง แล้วจึงค่อยๆ รินน้ำซุปดาชิตามความชอบ อาจเติมรสชาติด้วยต้นหอมและวาซาบิเพิ่มความสดชื่น หรือจะกินแกล้มกับผักดองก็อร่อยไม่แพ้กัน     ตามด้วย Hot Somen (135 บาท) โซเมนเส้นเล็กเหนียวหนึบที่มักจะกินแบบเย็น แต่เมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่จะเสิร์ฟในซุปดาชิร้อนๆ พร้อมด้วยไก่ชาชูหรือไก่ม้วนเนื้อนุ่มหอม ทอดมันปลา สาหร่ายทะเล และเห็ดไมตาเกะ     แต่ถ้าใครชอบกินแบบดั้งเดิมก็ต้องสั่ง Somen (Combo 145 บาท) เส้นโซเมนเย็นที่เราขอโลภมากสั่งทั้งเส้นโซเมนปกติและ CHA-Soba โซบะชาเขียวมาในจานเดียว ก่อนจะคีบจิ้มจุ่มในซอสดาชิ-โชยุ รสกลมกล่อมแฝงรสเค็มนิดๆ แต่ถ้าชอบความสดชื่นตื่นตัวก็อย่าลืมเติมวาซาบิลงไป       ส่วนคนรักพาสต้าที่นี่ก็มีให้ลองหลากเมนู แต่ที่เราขอเทใจให้คงไม่พ้น “Kyo” Spaghetti (165 บาท) สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่ตอกย้ำความเข้มข้นหอมกรุ่นปอีกขั้นด้วยผงชาเขียวมัตฉะและซุปดาชิ จนได้ซอสสีเขียวละมุนผสมผสานทั้งความหอมหวานและความมัน อีกทั้งยังเต็มปากเต็มคำด้วยแซลมอนย่างและหน่อไม้ฝรั่งกรุบกรอบ     นอกจากนี้ ยังมีของกินเล่นอย่างโอเด้งร้อนๆ ซุปข้าวโพด และสลัดต่างๆ ให้เลือกตามความชอบ หรือจะมาจับคู่กับจานหลักก็แสนเก๋ เพราะเขามาในราคาพิเศษอีกด้วยแหละ  

แม้จะเป็นอาหารที่ดูสุดแสนธรรมดา แต่เมื่อเป็นตำรับจากญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ย่อมมีความพิเศษซ่อนอยู่ในนั้นเสมอ เช่นเดียวกับ “คิมุคัตสึ” (Kimukatsu) ที่นำเสนอความอร่อยของ “มิลฟิลคัตสึ” หรือหมูทอดทงคัตสึที่เนื้อในเรียงชั้นสวยไม่ต่างจากมิลเฟย (Mille Feuille) ขนมสุดอร่อยของชาวฝรั่งเศส     ต้นกำเนิดของคิมุคัตสึเริ่มต้นขึ้นที่ย่านเอบิสึ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อมิสเตอร์คิมูระต้องการสร้างสรรค์เมนูหมูทอดให้มีความแตกต่างจากที่อื่น เขาจึงคิดค้นหมูทอดสุดนุ่มสูตรพิเศษที่ไม่ว่าใครได้ชิมจะต้องติดใจกับความกรอบนอกนุ่มในของเนื้อหมูสันในสไลด์บาง 25 ชั้น ที่บรรจงใส่ไส้ต่างๆ และห่ออย่างพิถีพิถัน ก่อนจะนำไปชุบแป้ง ไข่ และเกล็ดขนมปังจนทั่วชิ้น ลงทอดในน้ำมันดอกคาโนลาที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพและดีต่อสุขภาพ     ด้วยความอร่อย กินง่าย และไม่เหมือนใครนี้เอง ก็ทำให้คิมุคัตสึได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนสามารถขยายสาขาได้มากถึง 20 สาขาทั่วโลก ทั้งในญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก่อนจะมาที่ประเทศไทย     แต่ใช่ว่าความพิเศษจะอยู่ที่เนื้อหมูเท่านั้น เพราะความดีงามยังอยู่ที่ข้าวญี่ปุ่นหุงสดใหม่เสิร์ฟจานต่อจาน ทำให้ทุกออเดอร์ต้องรออย่างน้อย 15 นาที ดังนั้นก่อนจะไปชิมหมูทอดร้อนๆ พร้อมข้าวนุ่มๆ ขอเริ่มด้วยอาหารกินเล่นอย่าง Negishio Tufu (100 บาท) เต้าหู้สดปรุงรสด้วยเกลือโรยด้วยต้นหอมญี่ปุ่นและซอสงา หรือจะลอง Spicy Ebimayo (120 บาท) กุ้งชุบเกล็ดขนมปังทอดราดด้วยซอสมายองเนสรสเผ็ดปลายลิ้น       มิลฟิลคัตสึของที่นี่มีให้เลือกกันถึง 6 ไส้ด้วยกัน ได้แก่ รสต้นตำรับ รสเชดด้าชีส รสกระเทียม รสพริกไทยดำ รสต้นหอมญี่ปุ่น และรสยูสุโคโช ซึ่งเราได้ลอง Kimukatsu Signature Cheese Set (330 บาท) หมูทอดไส้ชีสเยิ้มๆ และ Kimukatsu Signature Garlic Set (330 บาท) หมูทอดไส้กระเทียมหอมกรุ่น โดยทั้งสองเซ็ตเสิร์ฟพร้อมข้าว ซุปมิโสะ กะหล่ำปลี และผักดอง       แม้ว่าหมูทอดจะอร่อยในตัวเองอยู่แล้ว แต่เพื่อความอร่อยอย่างสูงสุดก็อย่าลืมกินคู่กับ “ซอสทงคัตสึ” รสหวานอมเปรี้ยว แต่ถ้าใครชอบรสแหลมปะแล่มขึ้นมาหน่อยก็ต้องจิ้มกับ “ซอสพอนสึ” ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกิบชาบูหมูทอดอย่างไรอย่างนั้น     ส่วนของหวานก็ห้ามพลาด Traditional Green Tea Ice Cream (90 บาท) ไอศกรีมชาเขียวรสเข้มข้นที่มาคู่กับชีสเค้กชิ้นเล็กๆ สุดนุ่ม และ Ice Cream Mochi Blueberry (90 บาท) โมจิเนื้อเนียนสอดไส้ไอศกรีมบลูเบอร์รี่โฮมเมดกินพร้อมกับครีมสดก็ชื่นใจอย่างที่สุด       แล้วเตรียมพบกับเมนูพิเศษที่จะหมุนเวียนมาให้ชิมกันเรื่อยๆ อย่างที่ผ่านมาเขาก็มีหมูทอดทงคัตสึไส้เขียวหวานเสิร์ฟกันด้วยแหละ  

สาขาใหม่ล่าสุดของ “Sushi Cyu” ร้านอาหารญี่ปุ่นขวัญใจนักชิมที่แตกต่างจาก 2 สาขาแรก ด้วยการขยายเวลาเสิร์ฟโอมากาเสะให้อร่อยกันได้ตลอดทั้งวันตั้งแต่เปิดร้าน (เฉพาะช่วงเย็นจะแบ่งเป็นรอบ 18.00 น. และ 20.00 น.) เรียกว่าเดินเล่นชิลๆ อยู่ในเซ็นทรัลเวิลด์แล้วอยากกินเมื่อไรก็แวะมาได้ทันที       นอกจากกินได้ทั้งวันแล้ว เสน่ห์ของโอมากาเสะของที่นี่อยู่ที่วัตถุดิบสดใหม่ส่งตรงจากญี่ปุ่นสัปดาห์ละ 3 วัน โดยเน้นวัตถุดิบตามฤดูกาลเพื่อความอร่อยได้คุณภาพแบบไม่เบียดเบียนธรรมชาติ รวมทั้งศิลปะการสร้างสรรค์แต่ละเมนูของเชฟมากฝีมือทั้งชาวไทยและญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ที่สำคัญคือราคาที่เข้าถึงได้และไม่แพงจนเกินไป โดยเริ่มต้นที่ 10 คำ ราคา 1,850 บาท ++       เราเริ่มต้นคำแรกกับซูชิปลาฮิราเมะ เนื้อปลาสดหวาน ปรุงรสด้วยชิโอะคอมบุและโชยุ ต่อด้วย ซูชิปลาอะจิ ท็อปด้วยขิงกับหอมซอยเพิ่มความสดชื่น และซูชิปลากินเมได ที่เบิร์นไฟเล็กน้อย โรยเกลือและบีบมะนาว         คำที่ 4 เป็นเมนูยอดนิยม โอโทโร เนื้อปลานุ่มมันแทบละลายในปาก ก่อนเชฟจะเบรกความมันด้วยซูชิหอยงวงช้างที่รู้สึกได้ถึงความกรุบและสดหวาน จากนั้นถึงทีของอิกุระ ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอนเค็มมัน ซึ่งแม้จะเสิร์ฟมาแบบถ้วยขนาดกะทัดรัด แต่ตักกินได้เพลินๆ จนเกือบอิ่มเลยทีเดียว         ต่อด้วยคำที่ 7 อุนิ ซูชิหน้าไข่หอยเม่นสดหวาน กินแล้วได้รสชาติท้องทะเลอวลอยู่ในปาก โดยเชฟโรยเกลือหิมาลายาเล็กน้อย แต่งด้วยสาหร่ายฉลุลายสวยงาม ทำให้ซูชิคำนี้พิเศษยิ่งขึ้น แล้วตามด้วยข้าวหน้าโทโรสับ มาพร้อมหัวไชเท้าดอง ต้นหอม และไข่กุ้ง เวลากินให้คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันแล้วห่อด้วยสาหร่าย       ส่วนคำต่อมา อะนะโงะ ซูชิปลาไหลทะเลที่มาแบบ 2 คำ 2 สไตล์ ทั้งราดซอสปลาไหลรสหวานและโรยเกลือบีบมะนาว ก่อนปิดท้ายด้วยอะสึยะกิ ทะมะโกะ ไข่หวานย่างสูตรพิเศษที่ใช้เวลาทำนานกว่า 2 ชั่วโมง เนื้อนุ่มเนียนหอมหวานเหมือนคัสตาร์ด       จบ 10 คำแล้ว หากยังไม่จุใจ ที่นี่ยังมีทีเด็ดเป็นเมนูพิเศษ ซึ่งเชฟจะนำวัตถุดิบตามฤดูกาลที่จะมีให้ชิมในช่วงเวลานั้นๆ มาสร้างสรรค์ เราได้ลองคะมะสึหรือปลาน้ำดอกไม้ ที่หากกินตามซีซั่นเนื้อปลาจะสดหวานเป็นพิเศษ โฮตารุอิกะ ปลาหมึกหิ่งห้อยที่อัดแน่นไปด้วยไข่และมัน ตัดคาวด้วยขิงและหอมซอย และคะสึโกได ลูกของปลามาไดที่หนังนิ่มและเนื้อหวานกว่า เสิร์ฟพร้อมเมียวงะ (ขิงญี่ปุ่น) และสาหร่ายวะกะเมะ         แต่ถ้าใครไม่ใช่สายปลาดิบ ที่นี่ยังเมนู A La Carte ให้เลือกชิมอีกมากมาย เราแนะนำ Sashimi Salad สลัดปลาดิบรวม ที่มีทั้งแซลมอน ฮามาจิ มากุโระ อิกะ ทาโกะ และโฮตาเตะ ราดเดรสซิงวอลนัตสูตรเด็ด และ Buri Kama Teriyaki แก้มปลาฮามาจิย่างซอสเทอริยากิหวานเค็ม    

เดี๋ยวนี้เราหันซ้ายแลขวาไปทางไหนก็เจออาหารสไตล์โอมากาเสะมากขึ้นจริงๆ เราเองก็เป็นหนึ่งในโอมากาเสะเลิฟเวอร์ด้วยเพราะตกหลุมรักในความตื่นเต้น แปลกใหม่ และเซอร์ไพรส์กับวัตถุดิบคุณภาพที่เชฟนำเสนอ ซึ่งนำมาประกอบกับศาสตร์ความรู้และมุมมองศิลป์ที่สื่อผ่านเมนูและการตกแต่งจานอาหาร นอกจากจะทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินในมื้อนั้นๆ แล้ว การกินแบบโอมากาเสะยังได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวอาหารกับเชฟโดยตรงอีกด้วย เรียกว่าเพิ่มราคาจากร้านญี่ปุ่นธรรมดาขึ้นมานิดหน่อยก็ได้เสพสุนทรียะทางอาหารเฉพาะทางที่พิเศษมากขึ้นกว่าเดิม       โอมากาเสะที่ห้องอาหารอิชิกะก็เป็นเช่นนั้น เพราะอยากให้ทุกคนที่มาได้สัมผัสกับการกินโอมากาเสะด้วยรูป รส และกลิ่นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ที่นี่จึงไม่ได้นำเข้าวัตถุดิบจากตลาดปลาสึกิจิเพียงอย่างเดียว แต่ยังนำวัตถุดิบขึ้นชื่อของแต่ละภูมิภาคทั่วญี่ปุ่นและวัตถุดิบตามฤดูกาลมาผสมผสานกันเป็นเมนูสุดอร่อยในหนึ่งคำนั่นเอง โดยเชฟอคิระ เชฟประจำห้องอาหารที่ชำนาญการทำอาหารญี่ปุ่นมา 28 ปี เริ่มต้นทำ Mozuku Junsai เมนูเรียกน้ำย่อยให้เราชิม สาหร่ายโมสุคุกินกับเจลนุ่มลื่นที่มาจากยอดอ่อนของใบบัว(จุนไซ) ได้รสเปรี้ยวและกลิ่นหอมอ่อนๆ เสิร์ฟมาในแก้วใสใบจิ๋วทรงสูง เราว่าเปิดต่อมรับรสได้ดี     ต่อด้วย Jindara Saikyo ปลาจินดาระเนื้อนุ่ม ดองเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นก่อนนำมาย่างให้หอม กินกับผักภูเขาดองจำพวกหน่อไม้และเห็ดกรุบกรอบ จากนั้นมาสู่จานหลักอย่างซูชิ Shima Aji ปลาชิมะอาจิ ตระกูลเดียวกับปลาทูญี่ปุ่นเนื้อนุ่มมัน กรอบ หวาน แต้มบ๊วยสับนิดหน่อย เข้ากันกับข้าวซูชิหมักน้ำส้มสายชูแดงจากกากอ้อยกลิ่นหอม Kinmedai ก็ชวนเราปลื้มไม่แพ้กัน เนื้อปลาสีขาวใส เนียนละเอียด แต้มเพียงวาซาบินิดหน่อยก็อร่อยแล้ว หรือจะเป็น Otoro เนื้อท้องส่วนหน้าของปลามากูโร มีไขมันสูง เนื้อนุ่มละลายในปาก เพิ่มความน่ากินขึ้นอีกขั้นด้วยไข่ปลาคาเวียร์ วาซาบิ และทองคำเปลว 100 เปอร์เซ็นต์     นอกจากนี้ยังมี Shiro Ebi Uni กุ้งขาวญี่ปุ่นสดหวาน กินกับไข่หอยเม่นพันธุ์บาฟุนที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติครีมมี่ หวานชุ่มฉ่ำเป็นพิเศษ แล้วตามด้วย Tamagoyaki ไข่นุ่มฟูเนื้อนวลเนียนคล้ายกับเค้กและ Suimono Soup ซุปปลาแห้งและสาหร่ายญี่ปุ่น ได้กลิ่นส้มยูซุหอมอ่อนๆ ซดคล่องคอ สดชื่นดี       ก่อนปิดท้ายกับ Ichigo สตรอว์เบอร์รี่ลูกใหญ่หวานฉ่ำจากญี่ปุ่น ทอปด้วยวิปปิงครีมรสนุ่มนวล เป็นการจบมื้ออาหารแบบสมบูรณ์ที่สุด

แม้จะเป็นร้าน(เนื้อ)น้องใหม่แห่งซอยอารีย์สัมพันธ์ 5 ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่หากใครเป็นสายเนื้อ โดยเฉพาะเหล่าวากิวเลิฟเวอร์ “Wagyunism” คือหนึ่งในร้านเนื้อที่เราไม่อยากให้พลาด เพราะนอกจากเนื้อวากิวพรีเมียมที่คัดสรรเฉพาะระดับ A4 - A5 แล้ว ที่นี่ยังหยิบแทบทุกส่วนของเนื้อวัวญี่ปุ่นมานำเสนอเป็นเมนูต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ(และน่ากินเป็นที่สุด)     โดย คุณพิงค์ และ คุณแพรว สองสาวพี่น้องเจ้าของร้านเดินทางไปประมูลเนื้อวากิวคุณภาพเยี่ยมจากโกเบและฮอกไกโดที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตวากิวที่ดีที่สุดด้วยตัวเอง พร้อมทั้งดึงเชฟชาวญี่ปุ่นจากโตเกียวมาร่วมคิดค้นเมนูเด็ดหลากหลายรูปแบบสมกับความตั้งใจของทั้งสองที่อยากให้ที่นี่เป็นร้านสเต๊กเฮาส์ที่มีเมนูวากิวมากที่สุดในไทย       ด้วยการตกแต่งสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ร่วมสมัยที่โดดเด่นด้วยภาพวาดลายเส้นญี่ปุ่นโบราณอาจให้ความรู้สึกดิบเท่แบบคนรุ่นใหม่ แต่รสชาติอาหารและขั้นตอนการปรุงนั้นพิถีพิถันแบบต้นตำรับ     ใครชอบรสชาติเนื้อแบบเต็มๆ ต้องลอง Hot Stone Yakiniku เชฟจะเลือกเนื้อวากิวลายสวยให้เราย่างบนหินภูเขาไฟร้อนด้วยตัวเอง เราได้ลองส่วนสันคอ (Chuck Roll) เนื้อนุ่ม มีไขมันแทรกกำลังดี กินกับซอสยากินิกุเข้ากันได้อย่างลงตัว และซิกเนเจอร์อย่าง Smoked Wagyu Steak เนื้อโกเบส่วนริบอายระดับ A5 ย่างกำลังดี รมควันด้วยไม้แอปเปิลวูดหอมกลิ่นอโรมา เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม 3 สไตล์ ทั้งซอสพอนสึ เกลือทรัฟเฟิลซีซอลต์ และซอสยากินิกุ       แต่ถ้าอยากลองความแปลกใหม่ Gyu Tofu เนื้อติดเอ็นตุ๋นกับน้ำซุปนานหลายชั่วโมงจนนุ่มลิ้น มาพร้อมเต้าหู้ญี่ปุ่นสด ตัดเลี่ยนด้วยยูซุโกโช (เปลือกส้มยูซุหมักกับพริกและเกลือ) รสเปรี้ยวเผ็ด และ Wagyu Soba เนื้อส่วนไหล่สไลด์บางลวกพอสุกกับน้ำซุปที่เคี่ยวนานกว่า 10 ชั่วโมงจนได้ที่ กินกับเส้นโซบะเหนียวนุ่มตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี       ส่วนใครไม่ถนัดเมนูเนื้อจริงๆ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่ยังมีเมนูหมู ไก่ และซีฟู้ดให้เลือกอร่อย เราแนะนำ Chicken Teriyaki เนื้อไก่ทอดและอบกับซอสเทอริยากิจนเข้าเนื้อ แล้วราดซอสเทอริยากิเพิ่มรสชาติอีกชั้น กินกับข้าวร้อนๆ สักถ้วยก็ฟินไม่แพ้กัน  

ใครที่ชื่นชอบการผัดย่างบนกระทะแบนๆ ใหญ่ๆ อย่าง “เทปันยากิ” เราขอแนะนำ Niku Kappo ร้านน้องใหม่ย่านทองหล่อที่เสิร์ฟเมนูเทปันยากิเต็มรูปแบบ     เทปันยากิเป็นการทำอาหารรูปแบบหนึ่งของญี่ปุ่น โดยใช้กระทะแบนปรุงอาหารให้สุก ร้านนิคุ คัฟโปะ แม้จะเป็นร้านขนาดกระทัดรัดแต่ตรงกลางร้านเป็นครัวเปิดที่มีกระทะเทปันและเคาท์เตอร์ไม้รูปตัวยู (U) เป็นจุดเด่นของร้าน ที่สามารถนั่งดูเชฟปรุงอาหารและพูดคุยกับเชฟได้โดยง่าย       คาสะ ยาสุฮิโระ เชฟชาวญี่ปุ่นจากเมืองโออิตะที่เชี่ยวชาญเรื่องเนื้อวัวเป็นพิเศษแนะนำว่า ร้านนี้ใช้เนื้อวัววากิวจากเมืองเซนไดประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ดังนั้นเนื้อดีขนาดนี้ควรเริ่มต้นมื้อด้วย Wagyu Tartar เนื้อวัวดิบหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ โรยด้วยกระเทียมเจียวและไข่แดงดิบ เสิร์ฟพร้อมขนมปังและเครื่องเคียงอย่าง หอมแดงสับ พาร์สลีย์ มัสตาร์ด แตงกวาดอง ฯลฯ คลุกเคล้าให้เข้ากัน กินแล้วจะได้รสชาติเปรี้ยว เค็มและมัน เป็นจานกับแกล้มคู่เครื่องดื่มเหมาะสำหรับเริ่มต้นมื้อ     จานต่อมาเชฟได้โชว์ลีลาเทปันกับเมนู Wagyu Teppan ที่มีเนื้อวากิวส่วนต่างๆ ให้เลือก เชฟจะย่างบนเตาเทปันและปรุงรสด้วยเกลือจากจังหวัดโอกินาว่า เราสามารถเลือกความสุกของเนื้อได้ตามต้องการ จากนั้นเชฟจะตัดเป็นชิ้นยาวตามสไตล์ญี่ปุ่น ที่น่าสนใจคือ เชฟเสิร์ฟเนื้อพร้อมกับผักบุ้งจีนผัด และน้ำจิ้มอีก 9 ชนิด ที่เราชอบมากที่สุดคือ มิโซะใส่พริกญี่ปุ่น และซอสพริกไทยสดหมักกับโชยุ     ใครอยากลองเมนูซีฟู้ดต้องสั่ง Uni Oyster หอยนางรมตัวโตจากเมืองฮิโรชิม่าที่เชฟการันตีว่าเป็นหอยที่อร่อยที่สุด ย่างหอยบนกระทะเทปันแล้วตักขึ้นวางบนเปลือกหอย ราดด้วยซอสอุนิสูตรเฉพาะของร้าน ใช้ไฟเบิร์นจนเกรียมนิดๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง จานนี้ได้รสหวานจากเนื้อหอยส่วนซอสให้รสหวานมันอร่อย     ส่วนเมนูที่หากินได้ยากคือ Yakitetsu Edo Style เมนูต้นแบบของสุกี้ยากี้ ที่ใช้กระทะเหล็กเนื้อหนาเรียกว่า "Yakitetsu" เชฟจะเป็นคนปรุงให้เราโดยผัดเนื้อวากิวหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าใหญ่กับ "Edo Ama Miso" เอโดะมิโซะที่มีรสหวาน กระทะเหล็กจะช่วยให้ความร้อนกระจายอย่างทั่วถึงและซอสจะถูกดูดซึมได้เป็นอย่างดี จากนั้นจึงใส่ผักและเต้าหู้ เป็นจานร้อนจานอร่อยที่เรานั่งรอกินอย่างสบายๆ     ร้านสไตล์นี้ในบ้านเรายังมีไม่มากนัก ใครเป็นแฟนเทปันต้องห้ามพลาดเลยนะ  

หากพูดถึงร้านอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสำหรับหนุ่มสาวชาวออฟฟิศแล้ว ร้านอาหารสไตล์อิซากายะคืออีกหนึ่งสถานที่ผ่อนคลายชั้นยอดก็ว่าได้ เพราะนอกจากร้านจะออกแบบมาเพื่อการกิน(กับแกล้ม)และนั่งดื่มโดยเฉพาะ แต่ละร้านยังเพิ่มกิมมิคต่างๆ ลงไปในอาหารรวมถึงโปรโมชันบุฟเฟ่ต์เครื่องดื่มที่สายดริ้งค์ห้ามพลาดเด็ดขาด ร่วมด้วยบรรยากาศการตกแต่งให้อารมณ์สนุกสนานและการเปิดเพลงที่ฟังแล้วชวนครึกครื้น เรียกว่าปลุกพลังในตัวเราครบทั้งรูป รส กลิ่น และเสียงเลยทีเดียว     เช่นเดียวกับที่ร้าน Katsuo Izakaya โดยคุณต่อและหุ้นส่วนตั้งใจทำให้ทุกคนที่มาหลุดออกจากความเครียดในที่ทำงาน พร้อมนั่งกินอาหารปิ้งย่างสูตรที่ร้านแกล้มกับเครื่องดื่มเย็นๆ อย่างเบียร์สดอาซาฮี Highball Glass (เหล้า Suntory ผสมเลมอนและโซดา) และ Chu Hai (เหล้าโชจูผสมโซดาและไซรัปผลไม้) จะดื่มเป็นแก้วหรือจะเลือกแบบบุฟเฟ่ต์ราคาย่อมเยา ดื่มได้ไม่อั้นภายในเวลา 2 ชั่วโมงก็ได้เหมือนกัน     ส่วนอาหารนอกจากกับแกล้มอย่างของทอด ของย่าง สลัด และยำ คุณต่อยังเพิ่มเมนูเข้ามาให้เรากินอิ่มครบจบในที่เดียว อย่างข้าวหน้าต่างๆ อาหารจานเส้น สเต็ก ซูชิ และหม้อไฟ ที่เป็นไฮไลต์เลยคือ สุกี้ยากี้หมู น้ำซุปสีดำสูตรเฉพาะที่ร้าน หวานกำลังเหมาะ เข้ากับสันคอหมูสไลด์เนื้อนุ่ม เต้าหู้ เส้นบุกเคี้ยวกรุบ รวมถึงผักและเห็ดนานาชนิด     ต่อด้วย แซลมอนนิกิริสไปร์ซี่ เนื้อแซลมอนส่วนท้องเผาไฟอ่อนๆ หอมฉุย วางบนข้าวซูชิแล้วราดสไปร์ซี่ซอสรสหวานๆ เผ็ดๆ เพิ่มความอร่อยอีกขั้นด้วยไข่กุ้งเคี้ยวกรุบ แต่ถ้าใครชอบกินเส้นต้องลอง ยากิโซบะเบคอน เส้นยากิโซบะนุ่มหนึบเข้ากันกับซอสที่เคลือบมาบางๆ ผัดไม่มัน หอมกลิ่นเบคอน เสิร์ฟพร้อมไข่ดาว 1 ฟอง นอกจากนี้คนที่เป็นมีทเลิฟเวอร์ห้ามพลาดเลยก็คือ สเต็กเนื้อออสเตเลีย หั่นลูกเต๋า ย่างมาแบบมีเดียมแรร์ ด้านนอกสุกหอม ด้านในฉุ่มช่ำ ราดซอสสูตรเด็ดรสเค็มหวาน โรยต้นหอมอีกนิดหน่อย         เท่านี้ก็เหมาะกับการนั่งผ่อนคลายยาวๆ แล้ว    

คนรักอาหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะสายบุฟเฟ่ต์ที่เน้นความอร่อยหลากหลายในราคาคุ้มค่า เราอยากชวนให้มาลองบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นที่ “โมริ กริลล์” ห้องอาหารญี่ปุ่นบนชั้น 2 ของโรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ซึ่งตอนนี้เปิดโซนใหม่เอาใจนักชิมกับ “BBQ Izakaya Buffet Dinner” ที่มาพร้อมเมนูปิ้งย่างมากมายเสิร์ฟร้อนๆ รวมทั้งซีฟู้ดสดใหม่นานาชนิดให้เลือกชิมกันแบบไม่อั้น     ด้วยบรรยากาศการตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นร่วมสมัยในพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง สะดวกสบาย โดยมีทั้งโซนนั่งกินอาหารแบบเปิดกว้างที่รองรับเหล่านักชิมได้ถึง 115 ที่นั่ง และโซน Private Room ห้องไพรเวตที่มาพร้อมจอโทรทัศน์ LED ที่ให้ความเป็นส่วนตัวอีก 5 ห้อง จึงให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่อึดอัด เหมาะกับการสังสรรค์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง       เลือกที่นั่งมุมเหมาะๆ กันแล้ว ก็ถึงเวลาไปสำรวจไลน์บุฟเฟ่ต์ เราขอเริ่มจากโซนใหม่ BBQ Izakaya Buffet Dinner ที่เอาใจสายปิ้งย่างกับเมนูบาร์บีคิว ทั้งเนื้อ หมู ไก่ แกะ และซีฟู้ด อาทิ แซลมอน ปลาหมึก ที่เราสามารถเลือกหยิบได้ตามใจ โดยมีเชฟผู้เชี่ยวชาญพร้อมปรุงเสิร์ฟกันสดๆ ส่วนใครชอบแนวกระทะร้อน เขยิบไปด้านข้างเป็นโซน Teppanyaki - BBQ Counter ที่มีไฮไลต์อย่างกุ้งแม่น้ำ แซลมอน เห็ดออรินจิ เห็ดชิตาเกะ และเบคอนพันเห็ดเข็มทอง ชอบแบบไหนก็เลือกใส่จานยื่นให้เชฟปรุงกันได้เลย           สำหรับคออาหารทะเลห้ามพลาดซีฟู้ดนานาชนิด ที่เชฟเอ็ดดี้ – ยุคิยะซุ ทะคะมะ เชฟใหญ่ชาวญี่ปุ่นประจำห้องอาหารคัดสรรมาอย่างดี โดยเฉพาะพระเอกอย่างปูอลาสก้า เนื้อสดหวานที่กินได้ไม่อั้น รวมทั้งกั้งหิน กุ้งแม่น้ำ หอยนางรม หอยแมลงภู่ และปลาหมึกที่พร้อมให้อร่อยกันแบบสดใหม่ ส่วนใครเป็นสาวกปลาดิบต้องตรงไปที่โซน Sushi – Sashimi Counter ที่นอกจากแซลมอนชิ้นหนา ยังมีทั้งทูน่า ทาโกะ (ปลาหมึกยักษ์) ซาบะ  และปูอัด รวมทั้งข้าวปั้นหน้าต่างๆ อาทิ แคลิฟอร์เนียโรล ให้ชิมกันอย่างจุใจ               หากยังไม่อิ่ม โมริ กริลล์ยังมีโซนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมชาบุชาบุ ที่เราสามารถเลือกเนื้อสัตว์ น้ำซุปและผักต่างๆ ให้เชฟปรุงได้เลย มุมของทอดที่มีทั้งเทมปุระ เกี๊ยวซ่า และมุมเมนูอาหารญี่ปุ่นปรุงสำเร็จที่หมุนเวียนเมนูให้ชิมกันแบบไม่มีเบื่อ แล้วอย่าลืมเก็บท้องไว้เผื่อโซน Dessert Counter ที่เต็มไปด้วยเมนูของหวานละลานตา ทั้งเค้กนานาชนิด ไอศกรีม น้ำแข็งไส และผลไม้ต่างๆ เป็นการปิดท้ายมื้ออร่อยนี้อย่างสมบูรณ์แบบ           ที่สำคัญตอนนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับมื้อค่ำ ให้อร่อยคุ้มค่าในราคาเพียง 650 บาท (สุทธิ) ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคมนี้ เท่านั้น

สำหรับคนที่หลงใหลการกินแบบโอมากาเสะ คงพอทราบกันว่าร้านแรกๆ ที่ทำให้วิธีการกินแบบนี้เริ่มเป็นรู้จักในบ้านเราคือ Umi สุขุมวิท 49 ของ 4 หุ้นส่วน คุณชิน เชฟบรรพต คุณณัฐ และคุณไอซ์ ซึ่งตอนนี้ Umi ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัวสาขาใหม่ที่เกษรวิลเลจในคาแรกเตอร์ที่แตกต่างจากที่เดิม ทั้งการตกแต่งร้านและรสชาติที่มีความนุ่มเบามากกว่า ฝีมือเชฟบรรพต เจ้าของประสบการณ์ด้านอาหารญี่ปุ่นกว่า 20 ปี         ความน่าสนใจของอุมิ ไม่ใช่แค่การคัดสรรวัตถุดิบจากแหล่งที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ยังชนะขาดที่เรื่อง ‘ข้าว’ ซึ่งใช้พันธุ์ข้าวและน้ำส้มสายชูที่ใช้หมักอย่างดี ซูชิแต่ละคำจึงมีรสชาติที่กลมกลืน คำแรก Akagai Sashimi หอยแครงญี่ปุ่นสดกรอบ มาพร้อมสาหร่ายพวงองุ่นจิ้มพอนสึ เรียกความหิวได้ดี คำถัดมา Ankimo ตับปลาอังโกะ เชฟนำไปดองเกลือก่อนแล้วนำมาต้ม ก่อนเสิร์ฟฝนผิวยูซุลงไปเล็กน้อย ช่วยชูรสชาติให้เด่นขึ้น หอมและนุ่มละมุนไม่แพ้ฟัวกราส์  ต่อด้วย Awabi เป๋าฮื้อนึ่ง ใส่เกลือและสาเก ราดด้วยซอสตับเป๋าฮื้อ คำนี้เคี้ยวเพลินสู้ฟัน เข้ากับตัวซอสที่ทั้งหอมและเข้มข้น มีรสเค็มนิดๆ ตามมาด้วย Kisu ปลาทรายเนื้อขาว เบาและ Sumi Ika ปลาหมึกกระดองสดเนื้อกรุบ ไปได้ดีกับข้าวที่มีรสเปรี้ยวนิดๆ แถมได้กลิ่นของทะเลอ่อนๆ อวลในปาก           คำที่ 6 Akami ไฮไลต์ของที่ร้าน ฮอนมากุโร่ส่งตรงจากโอมะ จังหวัดอาโอโมริ บ่มทิ้งไว้เพื่อให้คลายรสเปรี้ยวออกมา เชฟนำส่วนอะกามิไปหมักโชยุ เราชอบที่ปั้นคำไม่ใหญ่เกิน กินเข้าไปแล้วรู้สึกอยากกินอีกเรื่อยๆ ต่อด้วย Chutoro มีความมันนิดๆ นุ่มละมุน และ Botan Ebi กุ้งเนื้อหวานสดที่กินแล้วประทับใจ            นอกจากนี้ เรายังหลงรัก Uni ของที่นี่ เชฟนำเอ็นซุยอูนิ (อูนิในน้ำเกลือ) คลุกกับข้าวก่อน แล้วท็อปด้วยบาฟุนอูนิ แบรนด์ Hirakawa รสเบา ตัวเล็ก หวานละมุน แล้ววางด้านบนด้วยอิคุระให้รสเค็มตัดกันดี ตามด้วย Anago ปลาไหลทะเลราดด้วยซอสที่ผ่านการเคี่ยวอย่างดี รสเข้มข้น กินแล้วหอมอวลอยู่ในปาก     ปิดท้ายด้วย Kampyo Maki ข้าวห่อสาหร่ายไส้คัมเปียว (ฟักหรือน้ำเต้าหมักด้วยโชยุและน้ำตาล แล้วนำไปตากแห้ง) เนื้อกรึบ รสหวานๆ เค็มๆ ไปได้ดีกับข้าวและความกรอบของสาหร่ายด้านนอก กระซิบอีกนิดว่า Tamagoyaki ของร้านนี้อร่อยมาก เชฟเปลี่ยนผสมจากกุ้งเป็นเนื้อปลา แบ่งเลเยอร์ชัดเจน นุ่มและหอม เหมือนกำลังได้ละเลียดขนมเค้กเลย    

ไม่ทันไรสาขาที่ 17 ของ Sushi Den ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวที่เมกาบางนาเพื่อเอาใจคนอยู่บ้านไกลกันดูบ้าง ด้วยขนาดพื้นที่ร้านซึ่งกว้างขึ้น พร้อมยกขบวนวัตถุดิบอย่างดี เพราะไม่ว่าจะเป็นปลาหรืออาหารทะเลก็ล้วนส่งตรงจากตลาดปลาสึกิจิโตเกียว เช่นเดียวกับปลาแซลมอนที่ได้จากนอร์เวย์ ทำให้ในทุกๆ คำเราจะได้สัมผัสกับความสดใหม่ โดยเฉพาะความอร่อยของซูชิบนสายพานที่ยังคงมีให้ชิมอย่างเต็มอิ่มกันเช่นเคยในสนนราคา 49-185 บาทเท่านั้น       เราเริ่มกันด้วยซูชิบนสายพานเมนูอร่อยๆ อย่าง Engawa Delight Roll โรลครีบปลาตาเดียวห่อข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอนและไข่กุ้ง Botan Ebi Ikura กุ้งตัวโตเนื้อเด้งแต่งด้วยไข่ปลาแซลมอน Salmon Vegie Roll โรลปลาแซลมอนพันแตงกวากรุบกรอบ ราดซอสมาโยและไข่กุ้ง และ Salmon Unagi Roll โรลปลาแซลมอนห่อข้าวหน้าปลาไหลย่างเนื้อนุ่มหอมคำโต         ถ้ายังเลือกไม่ได้หรือยังไม่จุใจต้องลองสั่ง Minato Set (690 บาท) ชุดซูชิสุดฮิต เพราะได้รวมความอร่อยมาให้ลองชิมกันถึง 7 คำ 7 รสชาติ ได้แก่ ครีบปลาตาเดียว ปลาทูน่า ท้องปลาทูน่า ปลาฮามาจิ ปลาไหลญี่ปุ่น ปลาหมึก และไข่ปลาแซลมอน แต่สำหรับซาชิมิเลิฟเวอร์ต้องห้ามพลาด Premium Sashimi Set (2,400 บาท) ที่รวมของชอบให้อิ่มจนจบในคราวเดียวถึง 8 ชนิด อาทิ โอโทโรเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ท้องปลาแซลมอนกรอบนอกนุ่มใน ปลาฮามาจิ ท้องปลาฮามาจิ ครีบปลาตาเดียว หอยปีกนกกรุบกรอบ กุ้งหวานโบตันเนื้อแน่นนุ่ม และไข่ปลาแซลมอน       นอกจากนี้ยังมีเมนูกินเล่นให้ลองอย่าง Spinach Salad (280 บาท) หรือสลัดผักโขมกุ้งทอดที่มีจุดเด่นอยู่ที่น้ำสลัดงาญี่ปุ่นสูตรเฉพาะซึ่งเติมความเข้มข้นของถั่วและกระเทียมลงไปให้ถูกใจคนไทย ร่วมด้วยทีเด็ด Ika Sukata Teriyaki with Cheese (215 บาท) ปลาหมึกตัวโตย่างหอมๆ ด้านในสอดไส้ชีสมอซซาเรลลายืดๆ ราดด้วยซอสเทอริยากิเพิ่มความหอม...       จะสั่งเดี่ยวๆ หรือเป็นกับแกล้มก็ดีต่อใจไปหมด

หากพูดถึงอาหารญี่ปุ่นสไตล์พรีเมียมในห้างสรรพสินค้าแล้ว หลายคนคงมีลิสต์รายชื่อในใจมากมาย แต่ต่อจากนี้จะมีอีกหนึ่งร้านมาเป็นตัวเลือกให้เรานึกถึงด้วยนั่นคือ Sushi Seki ของหม่อมราชวงศ์แม้นนฤมาส ยุคล สวัสดิ์-ชูโต และหุ้นส่วน ที่นำความชอบอาหารญี่ปุ่นมาทำร้านที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวขึ้นมา พร้อมเตรียมขยายสาขาไปยังสถานที่ต่างๆ ในเร็ววันนี้     ความพิเศษของ Sushi Seki ที่เราชอบคือการนำเข้าปลาทั้งตัว (แบบไม่แช่แข็ง) มาจากตลาดปลาซึกิจิ แถมยังทำซาชิมิแบบชิ้นใหญ่เต็มคำ เพื่อให้เราสัมผัสความหวานนุ่มลิ้นของเนื้อปลาได้อย่างจุใจ อีกทั้งราคายังคุ้มค่า มีโปรโมชันทุกวันที่ลดมากกว่า 40% ซึ่งจะเปลี่ยนเมนูไปไม่มีซ้ำ เรียกว่าขายดีจนเชฟต้องแล่ปลาใหม่กันทุกๆ 2 ชั่วโมงทีเดียว       เมนูของที่ร้านเป็นสไตล์ญี่ปุ่นฟิวชัน ที่เราไม่อยากให้พลาดคือ Seki Botan ไฮไลต์อยู่ตรงรสชาติที่ผสมผสานกันลงตัวระหว่างกุ้งหวานตัวใหญ่ ที่วางมาบนข้าวปั้นผสมไข่ปลาเมนไทโกะ ทอปด้วยไข่ปลาแซลมอน อูนิ และคาเวียร์ เสิร์ฟพร้อมซูชิปลาไหลทะเลน้ำลึก มีปลาแซลมอน ตับห่าน และไข่ปลาแซลมอนวางไว้ด้านบน     ส่วน Ocean’s Eight Sashimi Set นั้นช่างดีต่อใจสาวกอาหารญี่ปุ่นแบบเราสุดๆ เพราะคัดเฉพาะปลาดิบคุณภาพ 8 ชนิด อาทิ ปลาแซลมอน ฮามาจิ อิซุมิได มากุโร่ โฮตาเตะ เอนกาวะ และไข่ปลาแซลมอนเม็ดกลมใหญ่ รสเค็มกลมกล่อมตามแบบฉบับไข่ปลาแซลมอนชูไกที่หายาก กินกับสาหร่ายเคี้ยวกรุบที่เสิร์ฟมาด้วยกัน ไม่ต้องจิ้มโชยุและวาซาบิก็อร่อยด้วยตัวเอง     ส่วนใครที่เป็นสายเนื้อวัวห้ามพลาด Matsuzaka Unagi Roll เด็ดขาด เนื้อวัวมัตซึซากะดิบนุ่มๆ ฉ่ำลิ้น เข้ากันกับอะโวคาโด ชีสหอมมัน และปลาไหลน้ำจืด ราดซอสรสหวานสูตรพิเศษของที่ร้านด้วยยิ่งดีงาม นอกจากนี้ยังมี Soft Shell Crab Salad ปูนิ่มทั้งตัวทอดกรอบกินคู่กับผักสลัดนานาชนิด ราดน้ำสลัดรสหวานหอม ก่อนปิดท้ายด้วย Maccha Tiramisu ที่เราปลื้มเป็นพิเศษ เพราะกลิ่นหอมๆ และรสชาติของชาเขียวจากเกียวโตลงตัวกับครีมรสเบาหวานนวล เสิร์ฟในกล่องไม้สั่งทำพิเศษยิ่งทำให้ขนมหอมละมุนขึ้นอีกเท่าตัว      

หลังจากประสบความสำเร็จกับร้านอาหารสไตล์ไคเซกิไปแล้ว ก็ถึงเวลาของ ซูชิ คัปโปะ คิตะโอจิ ร้านสไตล์โอมากาเสะแห่งใหม่ล่าสุดของ Kitaohji Thailand ที่พิถีพิถันแบบทุกขั้นตอน ตั้งแต่เรื่องวัตถุดิบที่ทางร้านการันตีว่าคัดจากแหล่งดีที่สุดส่งตรงแบบวันต่อวัน สร้างสรรค์ทุกคำด้วยทีมเชฟมากประสบการณ์ชาวญี่ปุ่น ส่วนการตกแต่งภายในร้านได้แรงบันดาลใจจากความงามของวัดโบราณชูเซนจิ (Chuzenji) มองแล้วสบายตา รวมถึงจานชามแต่ละชิ้นนำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งหมด ลวดลายไม่ซ้ำกัน ช่วยทำให้คอร์สโอมากาเสะของที่นี่น่าจดจำมากขึ้นอีกเท่าตัว         สำหรับคอร์สราคา 4,500 บาท เชฟต้อนรับด้วย Makuro Dashi น้ำซุปแก้วเล็ก ทำจากปลามากุโระแห้ง รสเบา หอมและหวาน กระตุ้นความอยากอาหารได้ดี ต่อด้วย Ankimo ตับปลามังค์ฟิช เนื้อสัมผัสชวนให้รู้สึกเหมือนกินฟัวกราส์ มีความครีมมี่ นวลเนียน ด้านล่างเป็นซอสพอนสึและสาหร่ายวากาเมะ Abalone soft simmered dishes หอยเป๋าฮื้อนึ่ง วางด้านบนด้วยซอสตับเป๋าฮื้อรสเข้มข้น จากนั้นเชฟเสิร์ฟซาชิมิตามฤดูกาล เราได้ชิมปลา Kimedai ปลา Madai และ Akakai (หอยแครงญี่ปุ่น) และ Akami nigiri  เสิร์ฟมาบนจานสี่เหลี่ยมผืนผ้าลวดลายคล้ายโอบิบนชุดกิโมโน ความเก๋คือมีแปรงด้ามเล็กมาให้ป้ายโชยุเองตามชอบ       เมนูถัดมา Hokkaido Buri & Kyoto Shogoin Kabu Shabu เชฟนำปลาบุริและคะบุ (ผักญี่ปุ่นสีขาว ผลใหญ่ เนื้อสัมผัสคล้ายหัวไชเท้า) ลงไปลวกในหม้อชาบู แล้วนำเนื้อปลามาวางบนคะบุ ม้วนเป็นคำกินกับน้ำจิ้มพอนซึและต้นหอม คำนี้อร่อยมาก เนื้อปลามีความมันนิดๆ ไปด้วยกันได้ดีกับคะบุกรุบกรอบ ต่อด้วย Ootoro พระเอกของร้านส่งตรงจากจังหวัดอาโอโมริ นุ่มละลายในปาก ความมันและเนื้อสัมผัสดีงาม       ส่วนจานอื่นๆ เชฟทำออกมาได้ประทับใจเช่นกัน อาทิ Sawara Ake ปลาอินทรีย์ย่างซีอี๊ว เนื้อแน่นและหอม แอบเพิ่มลูกเล่นด้วยผิวส้มยูซุด้านบน Kuruma Ebi เนื้อกุ้งหวานเด้งๆ วางบนข้าวญี่ปุ่น รวมถึง Sababoshi Maki ซาบะดอง ป้ายมัสตาร์ดเล็กน้อย โรยงา แล้วปั้นกับข้าวเป็นคำ เคลือบด้านบนด้วยสาหร่าย กินแล้วได้รสเปรี้ยว เค็ม และมีกลิ่นงาอวลในปากส่งท้าย ตามด้วย Hokkaido Uni ท็อปด้วยวาซาบิเล็กน้อย หวานกลมกล่อม ได้กลิ่นทะเล Anago Nigiri ข้าวปั้นปลาไหลทะเลย่าง ชุ่มฉ่ำและหอมซอสสูตรลับที่เคี่ยวมาอย่างดี           ปิดท้ายด้วยของหวาน Fukuoka Sake Brewery’s pudding พุดดิ้งสาเกหอมหวาน เสิร์ฟพร้อมเกาลัดและลูกพีชสีทอง   

ซูชิ ยามะ เกิดจากความหลงใหลอาหารญี่ปุ่นแบบสุดหัวใจของคุณอ๊อด เจ้าของร้านมาดเท่ที่ตระเวนกินมาแล้วทั่วญี่ปุ่น ทั้งซูชิร้านทั่วไปจนถึงการกินแบบโอมากาเสะ เมื่อเปิดร้านของตัวเองจึงตั้งใจให้เป็นร้านที่ทุกคนแวะเวียนเข้ามากินได้ทุกวัน โดยไม่ต้องรอให้ถึงโอกาสพิเศษ     การตกแต่งในร้านเป็นสไตล์บิสโทรเพื่อให้เข้าถึงง่าย ไม่เคร่งขรึมจนรู้สึกเกร็ง มีซูชิบาร์ให้เห็นเชฟแล่ปลากันเพลินๆ ไฮไลต์ของที่ร้านแน่นอนว่าเป็นเรื่องของวัตถุดิบ เน้นฮอนมากุโระนำเข้าจากญี่ปุ่นและปลาตามฤดูกาลฝีมือเชฟที่ผ่านประสบการณ์จากร้านโอมากาเสะมาหลายปี นอกจากนี้ยังมีเมนูปลาย่าง  ชิราชิ ดงบุริ และสลัดไว้เป็นทางเลือก ที่สำคัญคือที่ร้านทำซอสเองทั้งหมด ทั้งซอสสาหร่าย ซอสทงคัตสึ น้ำสลัด รวมถึงโชยุต้มเอง     มาถึงแล้วเรียกน้ำย่อยด้วยอินานิวะ เส้นอินานิวะนุ่มหนึบจากญี่ปุ่นเสิร์ฟแบบเย็น ท็อปด้านบนด้วยไข่ออนเซ็นและไข่ปลาแซลมอน กินด้วยกันแล้วรสชาตินวลเนียน หรือจะลอง Pizza Bara พิซซ่าหน้าปลาดิบรวมหั่นเต๋า โรยด้วยไข่ปลาแซลมอนและอะโวคาโด เมนูพิเศษที่ทางร้านลองทำ แต่กลับฮอตอิตจนกลายมาเป็นเมนูประจำไปแล้ว     ส่วนเมนูหลัก Yama Sashimi XL เสิร์ฟครบทั้งอากามิ ชูโทโร่ โอโทโร่ แซลมอน ฮามาจิ กุ้งหวาน และปลาตามฤดูกาลในเซ็ตเดียวให้ฟินกันแบบสดๆ  Yama Sushi Combo เชฟจำลองวิธีกินแบบโอมากาเสะด้วยซูชิ 8 คำ เรียงลำดับการกินมาให้ตั้งแต่ปลาเนื้อขาวรสอ่อนไปจบที่คำสุดท้าย ทุกคำมีท็อปปิงเฉพาะตัว เช่น ซอสฟัวกราส์ ไข่แดงนกกระทาย่าง ฯลฯ เราชอบซูชิหน้าฟัวกราส์ชิ้นโต ท็อปด้านบนด้วยซอสสับปะรดเปรี้ยวหวานช่วยเสริมรสกัน       ส่วนใครไม่ถนัดปลาดิบ แนะนำ Yama Waguy Don เนือวากิวนุ่มๆ หมักอย่างดี เพิ่มรสชาติด้วยซอสสาหร่ายสูตรพิเศษและไข่ออนเซ็น  ปิดท้ายด้วย Yama volcano roll โรลซิกเนเจอร์ของทางร้าน จัดเสิร์ฟมาเป็นทรงภูเขาซึ่งเป็นความหมายของชื่อร้าน ด้านในมีปลา 3 อย่างคือ ฮามาจิ  ฮอนมากุโร่ส่วนชูโทโร่ และแซลมอน เพิ่มรสชาติด้วยซอสทำเอง 3 ชนิด คือทาร์ทาร์วาซาบิ สไปซี่ซอส และซอสสูตรลับของทางร้าน       คออาหารญี่ปุ่นห้ามพลาดเชียว

หลังจากสร้างชื่อในโตเกียวมานานถึง 20 ปี ตอนนี้เมนยะ มูซาชิ บูโคสึ ร้านราเมงขวัญใจชาวญี่ปุ่นมาเปิดในไทยแล้ว นำทีมโดยเชฟโคสุเกะ ชุฮามะ ผู้ฝากฝีมือไว้ที่สาขาชินจุกุมานานกว่า 10 ปี จุดเด่นของร้านอยู่ที่ "ดับเบิ้ลซุป" น้ำซุปรสชาติเฉพาะตัว ทำจากน้ำซุปกระดูกหมูและไก่ต้มผสมกับน้ำซุปซีฟู้ดจนได้รสกลมกล่อม ล้ำลึก ส่วนเส้นของแต่ละเมนูจะต่างกัน เส้นราเมงจะเป็นเส้นกลมเหนียวนุ่ม ส่วนเมนูซึเคเมนจะเป็นเส้นแบน เหมาะสำหรับคีบเส้นลงไปจุ่มในถ้วยน้ำซุปก่อนสูดเข้าปาก     เมนูแนะนำ  Musashi Ramen เส้นราเมงในน้ำซุปดับเบิ้ลซุปสุดเข้มข้น เด่นที่หมูชาชูชิ้นใหญ่ต้มในซอสจนนุ่มละลายในปาก และไข่หมักซอสชาชูนานข้ามวัน    Musashi Tanmen ราเมงซุปเกลือสำหรับคนที่ชอบน้ำซุปรสเบาๆ ได้รสหวานธรรมชาติจากแครอต กะหล่ำปลี ข้าวโพดอ่อน ฯลฯ โรยหน้าด้วยงาเพิ่มกลิ่นหอม   Chashu Don หมูชาชูนุ่มๆ หั่นเป็นชิ้นกำลังดีโปะบนข้าวญี่ปุ่นร้อนๆ  ราดด้วยซอสสูตรเฉพาะ โรยด้วยต้นหอมญี่ปุ่นซอย

“สึ” ห้องอาหารญี่ปุ่น โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ สร้างความตื่นเต้นอีกครั้งด้วยการคว้าตัวเชฟยูคิโอะ ทาเคดะ เชฟญี่ปุ่นฝีมือระดับโลกมาประจำการในฐานะหัวหน้าเชฟคนใหม่ได้สำเร็จสดๆร้อนๆ ซึ่งฝีมือและชั้นเชิงของเชฟทาเคดะนั้นไม่ธรรมดา ผ่านมาแล้วทั้งที่ญี่ปุ่น ฮ่องกง ดูไบ อียิปต์ รวมถึงเคยเป็นเชฟของห้องอาหารมิชลินสตาร์ 2 ดาวอย่างอูมุ (Umu) ในลอนดอนมาแล้ว         อาหารของเชฟเป็นอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม  ตกแต่งเรียบง่ายไม่หวือหวา เพราะอยากให้คนกินใส่ใจรสชาติของแต่ละจานเป็นสำคัญ สิ่งที่นำมาเสิร์ฟเคียงต้องช่วยให้วัตถุดิบหลักเด่นขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่กลบรสชาติกันไปหมด  เริ่มด้วย Homemade white sesame tofu เต้าหู้ทำจากงา 100 เปอร์เซ็น เสิร์ฟกับหอยเม่นฮอกไกโดรสละมุนและวาซาบินิดหน่อย เนื้อสัมผัสของเต้าหู้หนึบและเด้ง อร่อยมาก จานถัดมา Fresh Honmaguro tasting from Nagasaki บลูฟินทูน่าจากนางาซากิเสิร์ฟทั้งหมด 3 ส่วน อากามิวางบนเจลาตินทำจากน้ำสต็อกปลาแห้ง  ชูโทโร่วางบนใบชิโอะเสริมรสชาติของชูโทโร่เด่นยิ่งขึ้น ส่วนโอโทโร่เสิร์ฟกับงาบดทอดกรอบแผ่นบางเฉียบ ช่วยทำให้เนื้อสัมผัสของคำนี้น่าสนใจขึ้น       Grilled miso marinated silver cod fish ปลาค้อดย่างซอสมิโซะ จานนี้ประทับใจมาก ด้วยความที่เนื้อปลามีความมันแทรกอยู่ค่อนข้างมาก จึงเคียงด้วยมะเขือเทศเชอร์รี่รสเปรี้ยวหวาน ซึ่งเชฟปลอกเปลือกแล้วหมักด้วยไวน์ขาว จากนั้นสไลซ์ผิวเลมอนลงไปเพิ่มกลิ่นหอม จบแล้วต่อด้วย Snow crab and Naruto seaweed salad. Tosazu vinegar sauce สลัดปูและสาหร่ายนารุโตะ เบาและสดชื่น เพื่อเตรียมลิ้นให้พร้อมสำหรับจานต่อไปอย่าง A5 Miyasaki Rib Eye Beef stone grill with miso sauce เนื้อวากิวเอ 5 ส่งตรงจากมิยาซากิเสิร์ฟบนหินร้อนฉู่ฉ่า ด้านบนท็อปด้วยซอสมิโซะแบบเข้มข้นเข้ากับเนื้อนุ่มๆ กินคู่พริกเขียวญี่ปุ่นย่างและต้นหอมซอยทอดกรอบ ต่อด้วย Fresh eel grilled kabayaki เชฟทาเคดะโตมากับการทำปลาไหล เมนูนี้จึงบอกถึงตัวตนของเชฟได้ชัดเจนที่สุด เนื้อของปลาไหลมีความฟูและนุ่ม ไม่แฉะ ย่างแบบคาบายากิคือการย่างแบบทาซอสซึ่งบางเคลือบมาได้พอดี เชฟเคี่ยวจากหัวและก้างของปลาไหล วางบนข้าวญี่ปุ่น เสิร์ฟคู่ซุปมิโสะอุ่นๆ 1 ถ้วย           ปิดท้ายด้วยขนมหวาน  Yomogi oyaki โมจิไส้ถั่วแดงจี่บนกระทะร้อน ชิ้นเล็กแต่อร่อยมาก ได้ทั้งความหนึบหนับและความกรอบนิดๆ ของแป้งด้านนอก เป็นความอร่อยที่ไม่ต้องพึ่งพาการตกแต่งแต่อย่างใด  

แม้จะมีเชฟชาวญี่ปุ่นมาประจำการความอร่อย แต่ที่นี่ก็ขอเอาใจคนรักเส้นชาวไทยด้วยการนำรสชาติไทยและสไตล์ญี่ปุ่นมารวมกัน ก่อนเติมความร่วมสมัยตามแบบตะวันตก ซึ่งสะท้อนผ่านการตกแต่งด้วยโครงสร้างไม้ที่ดูเรียบง่าย เช่นเดียวกับเมนูที่มีให้เลือกตามชอบ อย่างในช่วงมื้อกลางวันก็มีเซ็ตราเมง ข้าว และสลัด ในราคาน่ารัก ส่วนช่วงเย็นหลังบ่าย 3 โมงเป็นต้นไปก็มียากิโทริหรือเมนูเสียบไม้ย่างมาให้กินคู่กับเครื่องดื่มหลังเลิกงานกันเพลินๆ อีกด้วย     เมนูแนะนำ Signature Ramen Bangkok ราเมงเส้นหนาสูตรซิกเนเจอร์ที่นำความจัดจ้านของต้มยำแบบไทยๆ (มีมะนาวเพิ่มให้) มาผสานความเข้มข้นกับซุปมิโซะ   Tori Shoyu Ramen ราเมงเส้นบางในน้ำซุปโชยุรสละมุน มาพร้อมกับหมูชาชูชิ้นโตเนื้อนิ่ม หรือจะสั่งไข่มาเพิ่มก็ยิ่งเต็มคำ   Chahan ข้าวผัดหมูชาชูหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าและนารูโตะ ผัดจนหอมกลิ่นกระทะ ยิ่งกินยิ่งติดใจ   Yaki Tori เต็มอิ่มกับเมนูเสียบไม้ย่างร้อนๆ ไม่ว่าจะเป็นสะโพกไก่ย่าง  คอไก่ย่าง หมูสามชั้นย่าง และเห็ดย่าง

Bronx Liquid Parlour เป็นการร่วมหุ้นกันของมาซาชิ โยเนซาวา (Masashi Yonezawa) อดีตลูกค้าขาประจำ และฮิเดยูกิ ไซโตะ (Hideyuki Saito) บาร์เทนเดอร์คู่ใจ ทั้งคู่รู้จักกันที่บาร์ Diez ในกรุงโตเกียว ญี่ปุ่น มาซาชิซังแวะไปดื่มเป็นประจำจนคุ้นเคยกัน ก่อนที่ฮิเดะซังจะเดินทางไปทำค็อกเทลในมุมต่างๆ ของโลก และกลับมาพบกันอีกครั้งที่ Vouge Lounge     ฮิเดะซังวางคอนเซ็ปต์ให้เป็นบาร์ค็อกเทลที่นำเอาวัตถุดิบจากญี่ปุ่นมาใช้เป็นหลัก อาทิ มัตฉะ อูเมะชู ลิเคียวร์แบรนด์ญี่ปุ่น โยคัง หรือแม้แต่แก้วเซรามิกญี่ปุ่น คลาสสิกค็อกเทลก็ยังคงมีให้เห็นแต่ทวิสต์ให้ต่างจากเดิม ฮิเดะยังนำอาหารญี่ปุ่นมาเสริมไว้ด้วย เพราะบาร์ในญี่ปุ่นแต่ละร้านจะมีจานเด็ดของตัวเอง บางร้านเป็นข้าวแกงกะหรี่ บางร้านเป็นคาราเกะ แต่ที่นี่เสิร์ฟเกี๊ยวซ่าและอุด้ง ซุปอุ่นๆ ปิดท้ายหลังดื่มเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ชอบ     เริ่มที่ค็อกเทลคลาสสิกทวิสต์ Scotsman’s Egg คาวาดอสผสมพอร์ตไวน์ ขิง น้ำมะนาว น้ำตาล ไข่นกกระทา และสเปรย์กลิ่นช็อกโกแลต แก้วนี้ดีไม่คาวไข่และนัวดี ให้กลิ่นรสของคาวาดอสและพอร์ตไวน์เด่น     หรือ The Other Coco ทวิสต์จากพีนาโคลาด้า บรั่นดีบ๊วยผสมรัม น้ำมะพร้าว น้ำมะนาว ไซรัป ดื่มกับสับปะรดอบแห้ง     มาที่แก้วที่เราชอบมา Sei หน้าตาอาจจะคล้ายกับค็อกเทลมัตฉะที่เคยดื่มของชินโกะ โกคัง บาร์เทนเดอร์ชาวญี่ปุ่นอีกคนที่ใช้ค็อกเทลมัตฉะอีกสูตรในการแข่งขันระดับโลกและได้แชมป์มาครอง ส่วนสูตรของฮิเดะซังใช้ดาร์กรัมผสมอูเมะชู ลิเคียวร์คาเคา พอร์ตไวน์ โมราเสส และผงมัตฉะ ซึ่งคนญี่ปุ่นทุกคนคุ้นเคยกับรสชาติของมัตฉะดี เสิร์ฟพร้อมกับโยคังกลิ่นรัมผสมถั่วแดง มัตฉะไม่ขมมากแทรกด้วยรสอมเปรี้ยว ตัดด้วยรสหวานของโยคัง เรียกว่ารสชาติตรงข้ามกับของชินโกะ     ที่เราอดใจรอไปดื่มครั้งหน้าคือ Omakase ซึ่งฮิเดะซังจะจัดให้เองตามฤดูกาลของผลไม้ โดยช่วงนี้เป็นส้มยูซุ ส่วนจะเป็นค็อกเทลอะไรนั้น เขาบอกให้ไปลองด้วยตัวเอง  

ร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่เอาใจเจแปนิสเลิฟเวอร์ย่านทองหล่อ ตกแต่งแบบเซนให้ความรู้สึกผ่อนคลาย พ่วงด้วยรสชาติอาหารและความสดใหม่ของวัตถุดิบที่ส่งตรงมาจากประเทศญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด แถมได้เชฟที่มีประสบการณ์มาช่วยคิดเมนูสไตล์เอโดะและฟิวชัน แนะนำว่าใครที่ชอบซูชิ ซาชิมิอยู่แล้ว อยากให้ลองโอมากาเสะ คอร์ส (ชุดอาหารที่เชฟจัดให้) ดูสักครั้ง เริ่มต้น 7 คำ ราคา 1,500 บาท รับรองว่าติดใจจนอยากกลับมากินบ่อยๆ เลยล่ะ     เมนูแนะนำ อูนางิ เทมปุระโรล โรลสอดไส้กุ้งเทมปุระ ชีส ไข่กุ้ง และอะโวคาโด กินกับปลาไหลย่าง เนื้อนุ่มชุ่มซอสหวานหอม และไข่ปลาแซลมอน   ซูชิเค้ก เมนูพิเศษเพื่อคนพิเศษ รวมวัตถุดิบน่าหม่ำไว้ในซูชิปรุงรสก้อนกลมใหญ่ ทั้งปลาดิบรวม เนื้อนุ่มหวาน ไข่ปลาแซลมอน ไข่กุ้ง ไข่คาเวียร์ และหอยเม่น   ซาชิมิ อูมิบูโดสลัด ทีเด็ดชูโรงอยู่ที่สาหร่ายพวงองุ่นเคี้ยวกรุบ คลุกเคล้ากับปลาดิบรวม ผักสลัด และไข่ปลาแซลมอน ราดน้ำสลัดงาโชยุกลิ่นหอม   ฟัวกราส์ฮอกไกดง เต็มปากเต็มคำกับฟัวกราส์ชิ้นใหญ่ที่ให้มาอย่างจุใจ กินกับเนื้อขาปูทาราบะ ไข่ปลาแซลมอน และขิงดอง วางบนข้าวญี่ปุ่นร้อนๆ อร่อยเข้ากันเชียว