ชวนนักชิมทั้งหลายมาเช็คอิน “Level 50 by SEE FAH” รูฟท็อฟสุดปังบนชั้น 50 ของโรงแรมใหม่แกะกล่อง Grande Centre Point Lumphini ที่เรียกว่าเป็นสวรรค์ของฟู้ดดี้ย่านลุมพินีโดยแท้ เพราะนำทีมความอร่อยโดย ‘สีฟ้า’ แบรนด์อาหารไทยรสชาติดีที่อยู่คู่มานานกว่า 89 ปี พร้อมเสิร์ฟอาหารคอมฟอร์ดฟู้ดนานาชาติ ที่มีทั้งอาหารไทยรสจัดจ้านพอเหมาะตำรับสีฟ้า และจานอร่อยอิตาเลียนอย่าง พาสต้าเส้นสดที่ใครกินต่างก็ติดใจ เคล้าไปกับบรรยากาศแสนสบายด้วยตัวร้านที่กว้างขวาง ผสมผสานกับการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นปะปนไปกับความอบอุ่น ทั้งกระเบื้องหินอ่อนสีขาวและดำ โซฟาสีครีมหนานุ่มนั่งสบาย บวกกับผนังกระจกใสแผ่นใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่สาดส่องแสงธรรมชาติและโชว์วิวเมืองอลังการ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเลือกนั่งโซนภายในร้าน หรือบริเวณเทอร์เรซก็เห็นขอบฟ้าตรึงใจได้เช่นกัน  จานแรกเราขอลอง เบอร์เกอร์เลเวลฟิฟตี้ หนึ่งจานอร่อยซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหาร ขนมปังบันโฮมเมดนุ่มฟู สอดไส้เนื้อวากิวชิ้นใหญ่ฉ่ำๆ ไข่ดาว เบคอน เพิ่มความชีสครีมมีด้วยชีสเบิร์นไฟ เสิร์ฟเคียงมันฝรั่งเนื้อแน่น และสลัดผักกรุบกรอบ คนรักเส้นเลิฟ ปัปปาร์เดลเลซอสเนื้อรากู ปัปปาร์เดลเลโฮมเมดเส้นนุ่มพอเหมาะ คลุกเคล้ากับซอสเนื้อรากูรสเข้มข้นที่ทำจากเนื้อวากิวอย่างดี ตุ๋นพร้อมไวน์แดงและเครื่องเทศนานาพันธุ์ หันไปเอาใจคนรักอาหารไทยกันบ้างขอเริ่มด้วย ข้าวหน้าไก่ ที่ได้รสกลมกล่อมจากซอสสูตรลับรสหวานพอเหมาะ เพิ่มความอิ่มเอมอีกแรงด้วยไข่ดาวเยิ้มๆ อีกหนึ่งจานที่ขายดีต้องยกให้ ข้าวผัดปู โดดเด่นด้วปูเนื้อก้อนรสหวานจากดินแดนใต้ มิ๊กซ์กับกลิ่นกระทะเย้ายวนใจ ก่อนกินบีบมะนาวซีและพริกน้ำปลาเล็กน้อย ไม่สั่งไม่ได้จริงๆ กับ แกงเผ็ดเป็ดย่าง เป็ดย่างเนื้อแน่นชิ้นโต หอมกลิ่นเตาถ่านอ่อนๆ อยู่ในน้ำแกงรสเผ็ดร้อนแรง ได้รสหวานละมุนขององุ่นแดง และมะเขือเทศ กุ้งผัดพริกขี้หนู เมนูที่กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเพราะได้สัมผัสเด้งๆ จากกุ้งชั้นดี ผัดพร้อมกระเทียมและพริกขี้หนูสวนสุดแซ่บ เติมข้าวเท่าไหร่ก็ไม่พอ ปิดจบด้วย ข้าวเหนียวมะม่วง ของหวานสไตล์ไทยที่ให้คุณฟินไปกับมะม่วงน้ำดอกไม้รสหวานฉ่ำ เข้าคู่ข้าวเหนียวมูนเนื้อแน่น ตัดด้วยรสเค็มมันจากกะทิ จิบคู่ท็อกเทลสีสสวยอย่าง มะม่วงสมุย รสหอมหวานที่ทำมาจากน้ำมะม่วงสุกและน้ำมะพร้าว หรือใครชอบความซาบซ่าเราชี้เป้า สตรอว์เบอร์รี เวอร์จิ้น โมฮิโตะ รสหวานอมเปรี้ยวสดชื่นถึงใจ วิวดี อาหารก็โดน

เป็นโรงแรมเปิดใหม่ที่เปิดตัวได้อย่างดีงามจริงๆ นี่เรากำลังพูดถึง Grande Centre Point Lumphini โรงแรมสุดหรูหราย่านลุมพินี ที่ครั้งนี้มาเอาใจคนรักของหวานโดยเฉพาะกับ “Bloom and Brew Afternoon Tea” ชุดน้ำชายามบ่ายไซส์มินิน่ารัก ที่พร้อมให้คุณลิ้มลองอาหารคาว – หวานโฮมเมดต่างๆ จิบคู่กับชาดอกไม้ซิกเนเจอร์เข้ากันสุดๆ มีให้เลือกทั้งชุดเล็กสำหรับ 1 คน 450 บาท และชุดใหญ่สำหรับ 2 คน ที่เราเลือก มาในราคา 990 บาท คำแรกเป็น สโมกแซลมอนครีมชีส ได้รสเค็มได้ที่ของแซลมอนรมควัน เข้าคู่กับครีมชีสรสหอมมัน และเปรี้ยวนิดๆ ตามด้วย ทาร์ตราตาตูย สตูว์ผักสไตล์ฝรั่งเศสรสกลมกล่อม กินพร้อมแป้งทาร์ตหอมกรุ่นกลิ่นเนย จากนั้นเริ่มของหวานกันเลย ชีสเค้กมะม่วงเสารส ได้รสเปรี้ยวอมหวานของเสาวรสและมะม่วงสุกฉ่ำๆ ต่อกับ ชีสมูสลำไย รสหวานละมุนของลำไย ไปด้วยกันได้ดีกับชีสมูสเนื้อนุ่ม ชูซ์ครีมกุหลาบลิ้นจี่ แป้งชูซ์โฮมเมดกรอบนอกนุ่มใน ผสานกับเจลลี่ชากุหลาบลิ้นจี่รสหอมหวาน คนรักช็อกโกแลตต้องนี่เลย ช็อกโกแล็ตพาลีน รสเข้มข้นที่ได้จากช็อกโกแลตชั้นดีของประเทศเบลเยี่ยม น่ากินจริงๆ สำหรับ เค้กชาร์ลอตต์สตรอว์เบอร์รี เค้กสไตล์ฝรั่งเศสที่ให้สัมผัสกรุบกรอบของขนมเลดี้ฟิงเกอร์ ซุกซ่อนด้วยเนื้อเค้กนุ่มๆ สลับชั้นกับครีมสดและสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน ขาดไม่ได้กับ สคอน โฮมเมดเนื้อนุ่มแน่น กินคู่แยมเบอร์นี่และคล็อตครีม ส่วนชาเราเลือกเป็น ชาอัญชัน สีสวยดื่มง่าย และชาดอกไม้ ที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นของมะลิและกุหลาบ   ฮีลใจสายหวานได้เป็นอย่างดี

ภายในโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท มีห้องอาหารเลิศรสหลายสัญชาติ ซึ่ง Jaras ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งมีคุณจรัสพิมพ์ ลิปตพัลลภ ผู้เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งชื่อห้องอาหารแห่งนี้ ปัจจุบันอาหารส่วนใหญ่ที่เสิร์ฟผ่านกระบวนการคิดของเชฟอิฐ เชฟผู้ผ่านเส้นทางอาชีพนี้ในร้านอาหารดังๆ มาแล้วหลายแห่ง เขาเลือกนำเสนออาหารไทยชาววังในรูปแบบไฟไดน์นิงเพราะช่วงนี้ถือเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่ ต้องใช้ความสร้างสรรค์เพิ่มให้ทุกคนที่มาจดจำได้ เชฟและทีมงานใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ก็สามารถสร้างสรรค์เมนูที่นำเสนออย่างมีเอกลักษณ์ ส่วนใหญ่เลือกใช้วัตถุดิบที่เลี้ยงและปลูกในไทย อาทิ กุ้งจากหัวหิน ปูจากเขาตะเกียบ น้ำตาลโตนดของประจวบฯ ปูจากเขาตะเกียบ ฯลฯ เริ่มเสิร์ฟด้วย Amuse Bouche รวม 4 ความอร่อยทั้งเมี่ยงคำน้ำตาลโตนด ล่าเตียงปูห่อไข่รูปตาข่าย ไข่ปลาคาเวียร์ซึ่งความพิเศษคือมาจากปลาที่เลี้ยงในหัวหิน (ซึ่งในไทยมีที่เดียวเท่านั้นที่เลี้ยงได้) และทอดมันกุ้งนำเสนอรูปทรงรังนกสวยงาม เมนูต่อมาสะเต๊ะปลาเก๋าหัวหิน คัดสรรปลาเก๋าหนัก 5 กก. เพราะเนื้อแน่นกำลังอร่อย อาจาดใส่สับปะรดประจวบฯ รสหวาน ต้มโคล้งปลาเก๋า นำมารมควันได้กลิ่นหอม รสเปรี้ยวจากน้ำมะขาม ทีเด็ดยกให้ซุปรังนกเนื้อปู กงซอเมเปลือกกั้ง หน้าตาคล้ายกระเพาะปลาแต่ไม่ข้นเท่า พอให้ซดคล่องคอ ต้องบอกว่าบรรยากาศของห้องอาหารจรัสที่ล้อมด้วยกระจกสองมุมทำให้เห็นท้องฟ้าและวิวทะเลหัวหินสุดลูกหูลูกตา ไปในวันฟ้าเปิดยิ่งสวย ประทับใจมาก ถ้ามากินมื้อเย็นก็คงได้เห็นวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยไปอีกแบบ 

เมื่อนึกถึงอาหารง่ายๆ ที่เป็นเมนูประจำวันสามารถทำกินอยู่บ้านพร้อมนั่งจิบแก้วโปรดได้อย่างฟินๆ น่าจะเป็นเรื่องที่ดูอบอุ่นใจไม่น้อย แล้วถ้าเกิดอยากเปลี่ยนบรรยากาศกลายเป็นมีคนทำให้กิน รสชาติและหน้าตาอาหารต่างไปจากเดิม แต่ยังคงรู้สึกโฮมมี นั่งยาวๆ พร้อมเม้าท์มอยจิบน้ำเก๊กฮวย ไวน์ หรือเครื่องดื่มมีฟองอื่นๆ ที่เลือกมาให้เข้ากับอาหาร SoupSip เป็นอีกหนึ่งร้านที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานแต่ก็ครบจบทุกฟังก์ชันที่กล่าวมา SoupSip (ซุปซิป) ร้านอาหารไทย-เอเชียนฟิวชันที่ต้องการเสิร์ฟเมนูประจำวันให้เข้าถึงง่ายแต่ใส่ความไม่ธรรมดาเข้าไปโดยใช้เทคนิคการปรุงสมัยใหม่ นำเสนอในสไตล์ไทยประยุกต์เสิร์ฟบนรูฟท็อปบรรยากาศดีของ Kitsch Hotel ไฮไลต์ของร้านจะเป็นอาหารไทยโมเดิร์นที่ยกระดับข้าวต้มกุ๊ยและเมนูกับข้าวยามค่ำคืนให้มีมิติของรสชาติและหน้าตาอาหารต่างไปจากเดิม จากเมนูธรรมดาๆ ให้กลายเป็นจานใหม่ที่น่าลิ้มลอง รังสรรค์โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่ตั้งใจแสวงหาและยึดคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญก่อนนำมาสร้างมูลค่าพร้อมถ่ายทอดรสชาติผ่านจานนั้นๆ หากพูดถึงด้านการตกแต่งทางร้านก็ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะสไตล์ Kitsch ที่หยอกล้อไปกับโรงแรม ดีไซน์ให้ดูสวย ทันสมัย และเข้าถึงง่าย ใส่ความสบายเข้าไปให้ดูน่ามาพักผ่อนหย่อนใจไปกับเสียงเพลง ชมวิวกลางเมือง และลิ้มรสชาติของอาหาร สามารถมาแฮงเอาต์กับเพื่อนและจอยกับครอบครัวได้ในทุกวัน เมนูเด็ดห้ามพลาดเป็น ข้าวต้มเรือโป๊ะ ข้าวต้มแห้งที่สามารถกินได้ทั้งแห้งและน้ำ ให้เครื่องแน่น เสิร์ฟกับน้ำซุปรสกลมกล่อม เสริมรสเครื่องทะเลที่นำไปผัดกับพริกเหลืองและสามเกลอให้หอม ต่อด้วย กุ้งแช่วาซาบิ รสแซ่บถึงใจ ถัดมาคือ ยำปลาหวาน ใช้ปลาข้างหลืองทอดราดน้ำยำรสจัดจ้าน มีเนื้อส้มให้เคี้ยวเพลิน ตามด้วย เป็ดพะโล้ เชฟนำเป็ดไปกงฟีในน้ำมันให้หนังกรอบแต่เนื้อในยังฉ่ำ ราดด้วยซอสพะโล้เข้มข้น ต่อด้วย ต้มจืดผักกาดดองหอยนางรม ได้รสกลมกล่อม หอมกลิ่นผักกาดดอง ซดร้อนๆ คล่องคอดีเชียว ครีบปลากระเบนย่างซอสน้ำพริกเผา ซอสให้รสคล้ายต้มยำน้ำข้นแต่เสิร์ฟแบบแห้ง กินกับครีบปลากระเบนชิ้นใหญ่จากจังหวัดระนอง ต่อด้วย หมูบะเต็ง หมูทอดจนกรอบ โรยด้วยหัวไชเท้าและเปลือกเลมอนขูด ถัดมาคือ หอยตลับผัดพริกเผาเหล่ากันมา ให้รสเผ็ดร้อนยิ่งกินกับข้าวต้มยิ่งฟิน และ ผักบุ้งฝอยผัดกะปิ ได้รสเข้มข้นจัดจ้าน หอมกลิ่นกะปิ จะกินกับข้าวสวยหรือข้าวต้มก็อร่อยไม่แพ้กัน เป็นอีกแลนด์มาร์คที่น่ามาสังสรรค์ยามค่ำคืน

Volti Tuscan Grill & Bar ห้องอาหารของ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ที่รวบรวมความอร่อยของอาหารอิตาเลียนหลายเมืองโดยเชฟบรูโน เฟอร์รารี ผู้จากบ้านมาไกลหลายปี เชฟบอกว่าในแต่ละพื้นที่ของอิตาลีมีวัตถุดิบให้เลือกนำมาประกอบอาหารมากมาย โดยเฉพาะนอกเมืองใหญ่อย่างเมือง Abruzzo ที่เขาจากมา แต่นักท่องเที่ยวมักติดรสชาติอาหารจากในเมืองซึ่งถูกดัดแปลงจากเมื่อก่อน เขาจึงตั้งใจนำตำรับอาหารของอิตาลีมาเผยแพร่ให้คนต่างชาติได้รู้จัก เรียกน้ำย่อยกันก่อนด้วย Carpaccio เนื้อแบล็กแองกัสเทนเดอร์ลอยด์สไลด์บางชิ้นสี่เหลี่ยม ท็อปด้วยมะเขือเทศเชอร์รี ผักร็อกเก็ต เลมอน และขนาบข้างด้วยชีสพาร์มิจาโน เรจจาโน จานนี้รสออกเปรี้ยว Carbonara ใส่กวนชาเล ชีสเปโกริโน และไข่แดง คาโบนาราที่นี่จะไม่ค่อยเหมือนที่อื่น เพราะนอกจากรสจะเข้มข้นกว่าแล้ว เชฟยังใช้เส้นสปเกตตีโฮลวีตยี่ห้อ Mancini Pastificio Agricolo จากฝีมือเกษตรกรชาวอิตาเลียน ซึ่งเนื้อสัมผัสอาจจะแข็ง และไม่นุ่มแบบคาโบนาราทั่วไป แต่เชฟคอนเฟิร์มว่านี่คือรสชาติดั้งเดิมของอิตาลีที่หากินได้ยากแล้วในตอนนี้ นอกจากคุณภาพของวัตถุดิบ รูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจของอาหารแต่ละจานก็เป็นสิ่งที่คำนึงถึงเช่นกันโดยเฉพาะในยุคโซเชียล Porchetta หรือหมูสามชั้นย่าง จึงออกมาสีสันสวยงามที่สุดเพราะเป็นเมนูเด็ดและได้ชื่อว่าเป็น Chef’s Hometown Specialty เนื้อสัมผัสนุ่มคล้ายเยลลี่ สาวกหมูสามชั้นต้องลอง Foie Gras บนขนมปังบริยอช เชอร์รีนำเข้าจากอิตาลี หอมหัวใหญ่ผัดจนเป็นคาราเมล และ Mango Puree ส่วน Tenderloin Black Angus Rossini ชิ้นใหญ่ กรอบนอกฉ่ำใน เสิร์ฟพร้อมฟัวกราส์ ผักโขม และทรัฟเฟิลดำ Pistachio Experience เค้กถั่วลาวาแสนละมุน ใช้พิสตาชิโอนำเข้าจากเมือง Sicily มาพร้อมไอศกรีมพิสตาชิโอ ครัมเบิล และโรยพิสตาชิโอปิดท้าย ส่วนคนที่ชอบความหอมของกาแฟอย่าลืมลอง Tiramisu ที่เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง ส่งกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ มาที่เดียวแต่จะได้ลิ้มรสความอร่อยจากหลายเมืองในอิตาลีที่มาจากวัตถุดิบชั้นเลิศ และฝีมืออันเลื่องลือของเชฟบรูโนและทีมงาน

ไม่ได้แวะเวียนมาซะนานเลยอยากชวนนักกินมาอัปเดตความอร่อยที่ Zuma Bangkok ร้านอิซากายะร่วมสมัยสุดปังแห่ง The St. Regis Bangkok ที่ครั้งนี้มาพร้อมกับเซ็ตมื้อกลางวันใหม่เอี่ยมอ่อง “Ebisu Lunch” ประกอบด้วยอาหารเรียกน้ำย่อย 2 เมนู ซุปมิโซะ จานหลัก 1 เมนูในราคา 999++ บาท หากใครเป็นสายหวานจะเพิ่มขนมหวานสุดฟิน (บวกเพิ่ม 200 บาท) ก็ไม่ว่ากัน พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศร้านใหม่ ที่การรีโนเวทได้แรงบันดาลใจมาจากธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ สอดประสานไปกับสุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่นร่วมสมัย ทั้งครัวเปิดกว้างขวาง บาร์ซูชิ ห้องเก็บไวน์ที่รวมรวมไลน์ไวน์ชั้นดีมากกว่า 400 รายการ นอกจากนี้ยังมีห้องไพรเวทสำหรับใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ส่วนพื้นที่เทอเรสแสนสดใสก็ถูกเพิ่มหลังคาผ้าใบเพื่อบดบังสายแสงแดดจ้า และสายฝนพรำ จานเรียกน้ำย่อยเราสั่งเป็น Chicken Yakitori ไก่เนื้อแน่นคลุกเคล้ากับซอสเทริยากิรสหวานละมุน ย่างบนเตาถ่านร้อนฉ่า เติมความเผ็ดเล็กๆ ด้วยพริกป่นญี่ปุ่น ต่อด้วย White Shrimp Tempura กุ้งขาวเทมปุระทอดร้อนจี๋ จิ้มกับมายองเนสโฮมเมดที่เชฟผสมพริกปุ่นลงไปด้วย ก่อนกินบีบมะนาวซีกเล็กน้อย จานหลักเราเลือกเป็น Shogayaki Chicken Donburi ข้าวด้งอิ่มเอมหน้าไก่ย่างหนังกรอบเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เสริมกลิ่นหอมๆ และรสเผ็ดพอเหมาะด้วยต้นหอมและพริกป่นญี่ปุ่น ก่อนราดด้วยซอสเทริยากินรสหวานเข้มข้น ตัดเลี่ยนด้วยซุปมิโซะร้อนๆ ซดคล่องคอ ส่วนของหวานจะเป็น Homemade Mochi โมจิสไตล์โฮมเมดที่มีทั้งรสมัตฉะสุดละมุน และรสสตรอว์เบอร์รีรสหวานอมเปรี้ยว เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมมะม่วงรสหวานฉ่ำ และผลไม้สดตามฤดูกาล ก่อนมาทบทวนความหลังกันด้วยคาราวานเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Avocado Salad สลัดอะโวคาโดขวัญใจสุขภาพ เติมรสเปรี้ยวมอหวานด้วยเดรสซิ่งเลมอนและน้ำผึ้ง โรยหน้าด้วยเกล็ดเทมปุระกรุบกรอบ Sliced Yellowtail ปลาฮามาจิเนื้อสดฉ่ำในซอสพอนสึรสเปรี้ยวกลมกล่อม และน้ำกระเทียมดอง ตามด้วย Wagyu Gyoza เกี๊ยวซ่าแป้งบางกริบ สอดไส้เนื้อวากิวหอมกรุ่น เข้าคู่ซอสทรัฟเฟิลยุซุรสละมุน เลิฟมากกับ Grilled Asparagus หน่อไม้ฝรั่งกรุบกรอบกินง่าย ย่างบนเตาถ่านหอมๆ ราดด้วยซอสวาฟู รสเปรี้ยวละมุน หอมกลิ่นน้ำมันงา จานนี้ก็ขายดี Sweet Corn ข้าวโพดหวานกินง่ายๆ อาบซอสเนยมิโซะรสกลมกล่อม ก่อนนำไปย่างบนเตาถ่านร้อนจี๋ เอาใจคนรักซูชิด้วย Mixed sushi เซ็ตซูชิแบบจัดเต็มที่ให้คุณอร่อยเด็ดกับซาชิมิเนื้อสดเด้งต่างๆ อย่าง แซมมอน มากุโระ โอโทโร่ นอกจากนี้ยังมีข้าวปั้นหน้าปลาหางเหลือง ปลามาได (ปลากะพงญี่ปุ่น) โรลเทมปุระ และโรลสไปซี่ที่หลายคนรัก ยังไม่อิ่มสั่ง Miso Marinated Black Cod ปลาหิมะเนื้อนุ่ม หมักในซอสมิโซะโฮมเมดรสเค็มละมุน ก่อนห่อใบโฮบะแล้วนำไปย่าง ปิดท้ายด้วย Rib Eye Steak สเต็กเนื้อริบอายหั่นเต๋า ความสุกระดับมีเดียมแรร์ชุ่มฉ่ำ มิ๊กซ์กับซอสวาฟูรสเปรี้ยวพอเหมาะ โรยหน้าด้วยกระเทียมกรอบ หนึ่งในร้านอร่อยที่ไม่เสื่อมคลาย

Ojo ร้านอาหารภายในโรงแรม The Standard, Bangkok Mahanakhon บนตึกมหานคร ชั้น 76 ที่มีความหมายงดงามว่า ‘ดวงตา’ ตกแต่งอย่างโมเดิร์นโดยใช้รูปทรงหลากหลาย เน้นสีทองและโรสโกลด์เพื่อความหรูหราและทันสมัย นอกจากบรรยากาศดีมองออกไปเห็นวิวของบ้านเมืองในกรุงเทพฯ แล้ว ทุกจานใน Ojo จะต้องผ่านตาเชฟชาวเม็กซิกัน  Alonso Luna Zarate ซึ่งเรียนรู้การทำอาหารมาตั้งแต่อายุ14 ปี และภูมิใจในความรุ่มรวยของวัตถุดิบในประเทศของตนมาก ทำให้อยากถ่ายทอดความอร่อยจัดจ้านผ่านเมนูดั้งเดิมผนวกกับไอเดียใหม่ๆ ควบคู่การค้นหาวัตถุดิบในไทยมาผสมผสานรวมกันได้อย่างลงตัว เซ็ตอาหารกลางวันและอะลาคาร์ทเริ่มต้นด้วย Lunch Set เสิร์ฟทาโก้ เมนูที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี แม้แต่เชฟอลอนโซก็ยังชอบ แต่เป็นทาโก้ที่สร้างมิติใหม่อย่าง Barbacoa Taco ทาโก้เนื้อแกะปรุงกับซอส XO และ Salsa Verde จัดวางบนใบตองชวนสะดุดตามาเรียกน้ำย่อย ส่วนจานหลักเลือกได้ระหว่าง Pollo Loco ไก่หมักซอส Annatto Adobo (มีน้ำส้มสายชูและซีอิ๊วเป็นส่วนผสมหลัก) และ Salsa Roja เติมความจัดจ้านในจานด้วยพริก Chipotle หรือจะเลือกเมนู Lechon Con Frijoles หมูหันย่างกินคู่ซอสถั่วบดและหัวหอมดอง ของหวานเป็น Chamoy Sorbet ซึ่งเลือกใช้ผลไม้ตามฤดูกาลกับ Mezcal และ Taijin รสเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ แต่สดชื่น เมนูอะลาคาร์ท Ojo ก็มีเหมือนกัน แนะนำทาโก้แป้งกรอบซีฟู้ด หรือ Seafood Tostada ใช้กุ้ง Obsiblue หมึก และปลา Tostada คุณภาพดี สัมผัสความสดใหม่เข้าเนื้อซอส XO Salsa macha ตกแต่งด้วย Salicornia กินเพลินแทบหยุดไม่อยู่ Pescado Zarandeado ปลาย่างซอส Guajillo adobo เสิร์ฟคู่แตงกวา อะโวคาโด มะเขือเทศ และผักเคียงอื่นๆ สุดท้ายอยากให้ลอง Arroz Con Leche ไอศกรีมซินนามอนกับข้าวครีมวานิลลาหอมๆ เวลากินตักพร้อมแป้งไวท์ช็อกโกแลต Sugar brulée และผงนมถั่วเหลืองเพื่อให้รสหวานนวล ฟินมาก ระหว่างเพลิดเพลินกับเมนูมากมาย สามารถสั่งม็อกเทลจิบไปด้วยได้ อาจจะเลือกเป็น Hibiscus & Mint หรือ Tangerine & Yuzu ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ถือเป็นร้านอาหารคุณภาพสูง วิวสวย แต่ราคาไม่ได้ไกลเกินเอื้อม

Grand Hyatt Erawan Bangkok โรงแรม 5 ดาวอยู่คู่ถนนราชดำริมานานกว่า 30 ปี ภายในหรูหราโอ่อ่า พื้นที่ของโรงแรมแบ่งส่วนที่พักและร้านอาหารอย่างชัดเจน มีห้องอาหารทั้งหมด 3 ห้องทั้งอาหารฝรั่งเศส อาหารอิตาเลียน และอาหารไทย ห้องอาหารฝรั่งเศส GASTON บรรยากาศอบอุ่นคล้ายร้านยุค 80 มีเวทีขนาดย่อมอยู่ด้านหน้าสำหรับวงดนตรีสด โซนบาร์และโซนนั่งกินอาหารแยกกันเป็นสัดส่วน เมนูห้ามพลาดคือ La Formule เนื้อออสเตรเลียแบล็กแองกัสริบอาย พร้อมสลัดและเฟรนช์ฟรายส์เคี้ยวเพลิน ถ้าราด Mustard Vinaigrette ด้วยจะได้รสเปรี้ยว Salvia ห้องสีเอิร์ธโทนสไตล์มินิมอล นิยมในหมู่ฟู้ดบล็อกเกอร์และคนชอบอาหารอิตาเลียน แนะนำ Burrata e pomodori สลัดชีสบูราตา เพิ่มคุณประโยชน์ด้วยมะเขือเทศเชอร์รีกรอบๆ เมล็ดสน และ Taggiasche olives ราดน้ำสลัดบัลซามิก Tortelli funghi e tatufo Cappelletti เข้มข้นด้วยครีมชีสพาร์เมซาน ท็อปหน้าด้วย fresh winter truffle ของหวานต้องทีรามิสุ ซึ่งมีส่วนผสมของชีส Mascarpone, Espresso, และ Amaretto เนื้อสัมผัสนุ่มเบา แทรกบิสกิต ladyfingers ให้เคี้ยวเล่น และขอแนะนำ Erawan Tea Room ห้องอาหารไทยที่มีทั้งอาหารคาวและอาหารหวานครบเครื่อง อาทิ เมนูซิกเนอเจอร์ข้าวผัดเอราวัณ สไตล์ข้าวผัดโบราณได้กลิ่นหอมตั้งแต่เสิร์ฟ ท็อปด้วยเนื้อปูชิ้นใหญ่จุใจ ฉู่ฉี่กุ้งย่าง ใช้กุ้งลายเสือย่างกำลังดี เนื้อสดกรอบ ราดซอสฉู่ฉี่รสเข้มข้น ช่อม่วงปูสีฟ้าอมม่วงจับจีบเป็นรูปดอกไม้ ได้รสสัมผัสเนื้อปูอัดแน่น ยิ่งโรยกระเทียมเจียวมาด้วยยิ่งอร่อยขึ้น เพิ่มความสวยงามด้วยการวางดอกกุหลาบสีแดงและดอกอัญชันสีม่วง โดยเวลาเปิด-ปิดของแต่ละห้องจะแตกต่างกัน ห้อง GASTON เปิดมื้อเย็นทุกวันอาทิตย์-จันทร์ 17.30-23.00 น, อังคาร-เสาร์ 17.30-00.00 น. ส่วนมื้อกลางวันเปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ 11.30-14.30 น, ห้อง Salvia เปิด 11.30-14.30 น. และ 17.30-22.00 น. ของทุกวัน และห้อง Erawan Tea Room เปิดทุกวัน 10.00-22.00 น. หากสนใจห้องไหนสามารถจองผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมได้ทันทีที่ www.hyatt.com/grand-hyatt/th-TH/bangh-grand-hyatt-erawan-bangkok/dining

ชวนสายชิคไปเก็บคอนเทนต์ ถ่ายรูปเล่นกับวิวเมืองพัทยาแบบพาโนรามาที่ Fundamental Specialty Coffee and Eatery ร้านอาหารและคาเฟ่บนชั้น 23 ภายในโรงแรม Arbour Hotel and Residence Pattaya ที่ล้อมรอบมาด้วยกระจกใส พร้อมเสิร์ฟวิวหลักล้านและเมนูอาหารนานาชาติรวมถึงเมนูท้องถิ่นในรูปแบบ All Day Dining ซึ่งสามารถแวะมาคลายหิว นั่งชิลได้ตลอดวัน ไฮไลต์ยกให้มุมกาแฟ Slow Bar ที่มีแบล็คกราวน์เป็นวิวเมืองพัทยา ท้องฟ้าและน้ำทะเล ซึ่งเน้นคัดสรรเมล็ดกาแฟชั้นดีหลากหลายสายพันธุ์มาตอบโจทย์คอกาแฟทุกสไตล์ เริ่มด้วยเมนูกินเล่นอย่าง POPCORN DYNAMITE PRAWS กุ้งชุบแป้งทอดสีเหลืองสวยงาม ราดด้วยซอสสไปซี่มาโย และ BUFFALO WINGS ปีกไก่ทอดฉ่ำซอสรสเผ็ดนิดเค็มหน่อยสูตรลับของห้องอาหาร เสิร์ฟพร้อมดิปบลูชีสหอมมันนัว กินได้เพลินๆ แถมไม่เลี่ยน อิ่มท้องกับ KAPRAO PREMIUM RIBEYE กะเพราเนื้อริบอายเสิร์ฟจานยักษ์ ที่นำซอสกะเพราไปผัดคลุกเคล้ากับข้าวหอมมะลิ กินคู่กับเนื้อริบอายความสุกระดับมีเดียมแรร์ชุ่มฉ่ำ รสชาติจัดจ้านเข้มข้น หอมกลิ่นเครื่องเทศ RIGATONI PESTO WITH VEGETABLE เส้นพาสต้าริกาโตนีสัมผัสหนึบๆ คลุกเคล้ามากับซอสเพสโต้รสมันนัวกลมกล่อม อร่อยแบบต้นตำรับ ปิดท้ายด้วยของหวาน FUNDAMENTAL PANNA COTTA พานาคอตต้าเนื้อเนียนละมุนราดด้วยซอสเบอร์รีเปรี้ยวอมหวาน กินพร้อมผลไม้สด ปลุกความสดชื่น หรือจะเลือกเป็น Ice Latte เย็นๆ สักแก้วตบท้ายก็ชื่นใจไม่แพ้กัน

สร้างความประทับใจให้แก่คนชิมไม่หยุดหย่อนจริงๆ สำหรับ “etcha” ห้องอาหารยุโรปร่วมสมัยเปิดใหม่ป้ายแดงแห่ง Chatrium Grand Bangkok ที่จะพาคุณไปดื่มด่ำมื้ออร่อยไร้พรมแดนในคอนเซ็ปต์ ‘Borderless Dining’ กับเทคนิคการทำอาหารจากยุโรปเข้ากับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมทั่วโลกของเชฟจาโคโม พริมันเต้ (Chef Giacomo Primante) เชฟใหญ่ชาวอิตาเลียนผู้นำความอร่อย ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์จากร้านดังและโรงแรมชั้นนำแห่งประเทศฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ โดยคอร์สแรกที่เชฟจาโคโมนำเสนอคือ Etcha 360° คอร์สอาหารยุโรปสไตล์โมเดิร์น 10 จาน ที่ครีเอทจากวัตถุดิบพื้นบ้านจากทั่วทุกมุมโลก (โดยเฉพาะของดีในเมืองไทย) อาทิ ผัก-ผลไม้ ซีฟู้ดจากแดนใต้ น้ำแร่จากอุทยานไทรโยคที่กรองโดยหินปูน แพร์ริ่งกับไวน์นำเข้าชั้นดี นอกจากจะได้เปิดประสบการณ์การกินแล้วเอ๊ดช่ายังมอบไวบ์ดีๆด้วยบรรยากาศอบอุ่นเป็นส่วนตัว และอิงถึงความเป็นธรรมชาติด้วยการตกแต่งสีเอิร์ธโทน อย่าง ผ้าม่านพริ้วไหวสีเบจ เฟอร์นิเจอร์สีดินเผาและสีเขียวเข้ม แถมยังมีงานอาร์ตของศิลปินไทยมาให้เป็นอาหารตาอีกด้วย เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับ Small Delicacies ประกอบด้วย มังคุด มังคุดสดรสเปรี้ยวอมหวาน ราดน้ำยำรสกลมกล่อม เติมความหอมด้วยกระเทียมเจียวและใบมะกรูด ต่อด้วย ทาร์ตปลาฮามาจิ ปลาฮามาจิที่เรารัก สอดไส้ซอสครีมรสหอมมัน เกี๊ยวมะลากอ มะละกอกวนเนื้อหนึบรสหวาน กินพร้อมล็อบสเตอร์เนื้อเด้งจากเกาะภูเก็ต ปลาซาดีน หัวปลาซาดีนอบกรอบ รสเค็มเล็กๆ จิบคู่ เหล้าสาโท โฮมเมดที่เชฟเลือกใช้เมล็ดคาเคาจากเมืองเชียงใหม่ สกัดออกมาเป็นเหล้ารสร้อนแรงแต่เต็มไปด้วยมิติแห่งความกลมกล่อม หลายคนชอบ กรานิต้าทับทิม กรานิต้าทับทิมสีแดงแรงฤทธิ์รสเปรี้ยวปนหวาน หอมกลิ่นใบมินต์ฟุ้ง เข้ากันดีกับปลาเต๋าเต้ยจากทะเลไทยดรายเอจ 2 วัน จนได้เนื้อที่นุ่มเด้งและรสชาติเข้มข้น พาสต้าปลาหมึก เปลี่ยนจากเส้นพาสต้าเหนียวนุ่ม มาเป็นปลาหมึกเนื้อสดจากเกาะภูเก็ต ราดซอสเพสโต้รสนุ่มนวลที่ทำจากใบกะเพราของเมืองไทยและใบเบซิลอิตาเลียน ผสมกับคาเวียร์เลอค่าจากทะเลสาบแคสเบียน   ซีฟู้ดเลิฟเวอร์ถูกใจ ล็อบสเตอร์ซอสและซอสแกงกะหรี่ ล็อบสเตอร์จากเกาะภูเก็ต ย่างเตาถ่านหอมๆ จนได้เนื้อเด้งชุ่มฉ่ำ กินกับซอสแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นรสกลมกล่อม เสิร์ฟคู่ซุปล็อบสเตอร์ ที่ทำจากกระดูกล็อบสเตอร์ผสานกับแตงกวาเย็นๆ ชื่นใจ แปลกใหม่ไม่เหมือนใครขอยกให้ ทาร์ตมะม่วงถั่วลันเตา ถั่วลันเตาหวานกินเพลิน ล้อมรอบด้วยมะม่วงสุกสายพันธุ์น้ำดอกไม้ ตัดด้วยรสเปรี้ยวละมุนของโฟมแอปเปิ้ล จานต่อไปคือ ราวิโอลี่ดอกไม้ ราวิโอลี่โฮมเมดรูปดอกไม้คิวต์ๆ ภายในสอดไส้ชีสหอมมันจากเมืองเชียงใหม่ เข้ากันดีกับซอสต้มข่าไก่รสเผ็ดและเปรี้ยวพอเหมาะ ยังมี ปลาอังโกะและดอกซูกินี ปลาอังโกะเนื้อแน่นจากท้องทะเลลึกแห่งประเทศญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมดอกซูกินีสอดไส้ปลาอังโกะเนื้อหวานอีกที เข้ากันกับซอสเสาวรสรสเปรี้ยวสดชื่น เสริมความกลมกล่อมด้วยมูสกาแฟเนื้อปุกปุยละมุน เข้าคู่ ขนมปังบริยอชโฮมเมด เนื้อนิ่มฟู จิ้มเนยมัตฉะ ที่ทำจากนมวัวฟาร์มคุณภาพของจังหวัดราชบุรี หรือจะเป็น ครีมชีสสูตรเฉพาะ ที่เชฟเสิร์ฟมาพร้อมน้ำมันมะกอกชั้นดีกับน้ำส้มสายชูสไตล์อิตาเลียน สเต็กเป็ด เป็ดเนื้อแน่นจากเขาใหญ่ หนังเกรียมๆ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ กินคู่แครอต ซอสมันหวาน และซอสไวน์แดงรสเลิศ ก่อนไปพบกับขบวนขนมหวานแสนอร่อยอย่าง ไอศกรีมมะม่วงหาว มะนาวโห่ รสเปรี้ยวละมุน กินคู่มูสมะพร้ามเนื้อนุ่มรสหอมมัน มูสดอกบัว มูสวานิลลาเนื้อนิ่ม หอมกลิ่นดอกบัวอ่อนๆ ไปด้วยกันได้ดีกับมูสช็อกโกแลตรสเข้มข้น ไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด และคริสปี้กรุบกรอบ เติมความฟินด้วยซอสวานิลลาอีกที ปิดท้ายกันแบบจัดเต็ม (เอาใจสายหวาน) ด้วย คัสตาร์ดฟักทอง ตัวทาร์ตฐานล่างทำมาจากงาดำหอมมัน สอดไส้เยลลี่มะตูม มูสไวท์ช็อกโกแลต และมังคุด ท็อปด้วยฟักทองเชื่อมแกะสลัก อร่อยอย่าบอกใคร บีตรูต รสหวานนี้เป็นการรวมตัวกันของบีตรูต มูสโยเกิร์ต ลูกพลับ และคาเวียร์ N25 Oscietra ยังมี บาบา ขนมฝรั่งเศสที่มีมากว่าร้อยปีผิวกรอบนอกนุ่มใน สอดสั้งมูสลำไย แก้วมังกรและลูกหยี เติมความร้อนแรงด้วยเหล้ารัม ก่อนส่งท้ายด้วย กานาชช็อกโกแลตนม ได้รสหวานหอมของมิลก์ช็อกโกแลต ตัดกับรสเปรี้ยวสดชื่นของซอสส้ม พริกไทย และเหล้าฝรั่งเศส (Grand Marnier) ไวต์ช็อกโกแลตมะกรูด รสหวานละมุนของไวต์ช็อกโกแลต มิ๊กซ์กับกลิ่นหอมฟุ้งของใบมะกรูดและซิตรัส อร่อยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ใครได้ไปเยือนเกาะสมุยในช่วงนี้ แนะนำไม่ให้พลาดกับ ชิโอะ ซูชิบาร์ แห่งคิมป์ตัน คีตาเล สมุย ที่หลังจากได้กระแสตอบรับที่ดีเกินคาด กับการเปิดตัวครั้งแรกในเดือนตุลาคมปี 2567 ตอนนี้ทางร้านได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง เพื่อเสิร์ฟเมนูอาหารญี่ปุ่นและซูชิระดับพรีเมียม ทางร้านยังคงคอนเซ็ปต์รังสรรค์ทุกเมนูด้วยวัตถุดิบสดใหม่จากญี่ปุ่น โดยเชฟวัชรัญ อินมารามศักดิ์ (เชฟรัน) ที่โด่งดังเรื่องการปรุงอาหารญี่ปุ่นสมัยใหม่ กลับมาครั้งนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง โดยมาพร้อมเมนูสุดพิเศษอย่าง Kampachi Yuzu ปลาเนื้อขาวสัมผัสเด้งกรึบ รสหวานติดปลายลิ้น มาพร้อมซอสมัสตาร์ดและยูซุโคโช กินแล้วสดชื่น Wave Rider โรลที่อัดแน่นด้วย ปลาไหลย่าง กุ้งเทมปุระ และเอบิโกะ ห่อด้วยอะโวคาโดสไลซ์ เนื้อแน่นเต็มปากเต็มคำ ต่อที่ Scallop Shore โรลหอยเชลล์ แตงกวาและเอบิโกะ ที่เสริมความจัดจ้านด้วยซอสสไปซี่มาโยด้านบน กินอร่อยไม่รู้สึกเลี่ยน ปิดท้ายด้วยเมนูคลาสสิก Nigiri Set เซ็ตซูชิ คัมปาจิ ฮามาจิ แซลมอน อากะมิ ชูโทโร อิคุระ และอากะมิโรล เนื้อปลาสดเด้งเจอกับความนุ่มของข้าวญี่ปุ่นประทับใจทุกคำ

เป็นขวัญใจของคนรักบุฟเฟต์อยู่แล้วสำหรับ Espresso ห้องอาหารบุฟเฟต์นานาชาติแห่ง InterContinental Bangkok ที่ครั้งนี้กลับมาเติมความปลื้มปลิ่มให้นักชิมด้วย Premium Seafood Dinner Buffet โปรโมชั่นบุฟเฟต์ซีฟู้ดที่ราวกับขนทะเลขึ้นบก มาพร้อมกับขบวนจานอร่อยซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหารฯ พร้อมเสิร์ฟทุกค่ำคืนวันศุกร์ – เสาร์ ให้สายฟู้ดเอ็นจอยกันถ้วนหน้า ขอเริ่มที่ ซาซิมิ คาราวานปลาดิบเนื้อสด ที่ประกอบด้วย แซลมอน มากุโระ นอกจากนี้ยังมี ซูชิ ไว้เอาใจคนรักอาหารญี่ปุ่น ได้แก่ ซูชิแซลมอน ซูชิทูน่า ซูชิปลาหมึกยักษ์ และโรลไข่กุ้งกรุบๆ ตามด้วยอาหารจีนน่าอร่อยอย่าง เป็ดปักกิ่ง เนื้อแน่นรสหวาน หมูกรอบ ชิ้นอวบกรอบนอกนุ่มใน ต่อด้วย ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว ปลาหิมะเนื้อสด ราดซอสสูตรเด็ดรสเค็มกลมกล่อม หรือใครชอบจานอร่อยนานาชาติ เราแนะนำ หมูอบ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ มีตเลิฟเวอร์ต้องนี่เลย เนื้ออบซอสไวน์แดง เนื้อสัญชาติออสเตรเลียชั้นดี เคล้าซอสไวน์แดงรสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมมันบดเนื้อเนียน ล็อบสเตอร์เทอร์มิดอร์ ก็น่าสนใจ ราชาแห่งกุ้งเนื้อหวานให้สัมผัสเด้ง มิ๊กซ์กับซอสสูตรเด็ดรสหอมมัน สเตชั่นสเต็กก็ดีงาม เพราะมีทั้ง เนื้อวากิว เนื้อออสเตรเลีย นุ่มฉ่ำ ขาแกะ ปราศจากกลิ่นคาว ราดซอสพริกไทยดำรสเค็มเผ็ด ซีฟู้ดเลิฟเวอร์ห้ามพลาด ปลาทูน่าเซีย เนื้อนุ่ม หอมกลิ่นเตาถ่าน กุ้งแม่น้ำ ตัวใหญ่เนื้อเด้ง กินคู่น้ำจิ้มซีฟู้ด กั้ง เนื้อแน่นก็เข้าที มาถึงแล้วอย่างไรก็ต้องลอง กุ้งแม่น้ำย่างตะไคร้ หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหารฯ กุ้งแม่น้ำตัวโต ย่างบนเตาถ่านจนส่งกลิ่นหอม ยัดไส้ด้วยเครื่องแกงสูตรเด็ดที่เต็มไปด้วยกลิ่นละมุนของตะไคร้ คนรักอาหารไทยถูกใจมากมาย ในที่สุดก็มาถึงคิว ซีฟู้ดออนไอซ์สักที งานนี้สายฟู้ดเต็มเหนี่ยวไปเลยเพราะ Espresso เขาขนมาทั้งทะเล ไม่ว่าจะเป็น ขาปูยักษ์สีทอง เนื้อหวานอย่าบอกใคร กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเผ็ดเปรี้ยว แคนาเดียนล็อบสเตอร์ เนื้อแน่นเด้ง กุ้งแม่น้ำและกุ้งขาวลวก ถูกใจสาวกซีฟู้ดมากมาย หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ ตัวใหญ่บิ๊กเบิ้ม และปูม้านึ่ง ของโปรดใครหลายคน นอกจากนี้ยังมีไข่ปลาต่างๆ ให้คุณได้ลิ้มลอง ทั้ง คาเวียร์ อาวูรูกา คาเวียร์สีดำ รสเค็มพอเหมาะ ไข่ปลาแซลมอน ที่เราคุ้นเคย ไข่ปลาลัมพิชสีดำ และไข่ปลาลัมพิชสีแดง ก่อนจบด้วยขบวนขนมหวานสุดฟินอย่าง สตรอว์เบอร์รีช็อตเค้ก เค้กเนื้อนุ่ม ท็อปด้วยครีมสดหอมมัน และสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน ทาร์ตช็อกโกแลต รสเข้มข้น เครปซูเซ็ตต์ เครปสไตล์ฝรั่งเศสโฮมเมด ที่ชุ่มไปด้วยซอสส้มรสเปรี้ยวสดชื่น หรือจะเป็น ช็อกโกแลตฟองดู จับคู่กับผลไม้ตามฤดูกาล ใครยังไปไปต่อกับข้าวเหนียวมะม่วงได้เลย

นักชิมคนไหนกำลังมองหาร้านอาหารบรรยากาศสวยอลังการ เราแนะนำ “Florae Restaurant” ร้านอาหารนานาชาติแห่งโรงแรมวาลีอา ซอยสุขุมวิท 24 ที่โดดเด่นด้วยการตกแต่งธีมผีเสื้อในสวนงดงาม ที่ใช้สีทองหรูหราเป็นหลัก แกมด้วยสีเขียวสบายตาของต้นไม้น้อยใหญ่ เพิ่มความมีชีวิตชีวาเข้าไปด้วยผีเสื้อสต๊าฟนานาพันธุ์หลากสีสัน พร้อมเอ็นจอยกับอาหารนานาชาติหน้าตาดีที่รังสรรค์โดย Omar El Khatib เชฟใหญ่ประจำโรงแรมกับประสบการณ์ในการทำอาหารมานานกว่า 15 ปี และเคยร่วมงานกับโรงแรมชั้นนำมานักต่อนัก ประเดิมด้วย Nicoise Salad สลัดนิสเลื่องชื่อของประเทศฝรั่งเศส ที่ประกอบด้วยมะเขือเทศ มะกอกดำ ไข่ต้มอิ่มเอม ร็อกเกต ทูน่าเซียอย่างดี ราดน้ำสลัดรสเปรี้ยวสดชื่น ต่อกับ Tiger Prawn Squid Ink Spaghetti สปาเก็ตตี้หมึกดำเหนียวนุ่ม มีความหนึบเล็กๆ ผัดพร้อมซอสสูตรเด็ดรสจัดจ้านพอเหมาะ หอมกลิ่นสมุนไพร เสิร์ฟพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวโตย่างหอมๆ Octopus หนวดหมึกยักษ์ชิ้นใหญ่ ตุ๋นอย่างดีจนได้ที่นุ่มแทบละลายในปาก ไปด้วยกันได้กีกับซอสรสเปรี้ยวสไตล์เลบานอน และมันฝรั่งอบเนื้อแน่น ล้างปากด้วย Mango Cheese Cake ชีสเค้กมะม่วงรสหวานนวล เข้ากันดีกับซอสมะม่วงรสหวานฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมมะม่วงสุกน้ำดอกไม้ ตัดรสด้วยผลไม้ตระกูลเบอร์รี ปิดท้ายกับ Butterfly Fly Sour ค็อกเทลสีฟ้าสวยที่มีส่วนผสมของเหล้าจีน ไวรัปดอกไม้ ชาดอกอัญชัน และน้ำเลมอน หรือจะลอง ม็อกเทลแสนสดชื่นอย่าง Shery Temple ที่เป็นการรวมตัวกันของน้ำทับทิม และน้ำเลมอน ปิดจบมื้อนี้ได้อย่างดีงาม

Kisso ห้องอาหารญี่ปุ่นซึ่งอยู่เคียงคู่โรงแรม เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท มาอย่างยาวนาน ตอกย้ำความอร่อยที่เป็นตำนานด้วยจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียว “The Art of Authentic Japanese Cuisine” ทำให้แฟนคลับไม่เคยจางหายตลอดระยะเวลา 30 ปี บรรยากาศอันเรียบง่ายคือเสน่ห์ของห้องอาหารแห่งนี้ มีเคาน์เตอร์ซูชิบาร์เป็นศูนย์กลางของห้องอาหารที่แขกสามารถพูดคุยกับเชฟขณะรอลิ้มรสซูชิคำอร่อยไปด้วย ภายในห้องอาหารรองรับได้ถึง 110 ที่นั่ง มีทั้งโต๊ะไดนิ่งสำหรับกลุ่มลูกค้า 2-3 ท่าน หรือที่นั่งแบบโซฟาสำหรับแขก 4-5 ท่าน และห้อง VIP จำนวน 4 ห้อง สำหรับกรุ๊ป 10-12 ท่านก็รองรับได้สบายๆ  เรื่องความอร่อยเชฟชาตรี แปงศิลป์ หัวหน้าเชฟประจำห้องแนะนำเซ็ตอาหารกลางวันอย่างเช็ตมินิโอมากาเสะ ซึ่งจะเสิร์ฟมาทีละคอร์ส คอร์สแรกเป็นยำปลาไหล ปลาไหลหมักราดซอสน้ำส้มญี่ปุ่นโฮมเมดเสิร์ฟในผลเลมอนที่มีแตงกวาและสาหร่ายอยู่ภายใน ให้กินตัดรสกับเนื้อปลาไหล คอร์สต่อมาเป็นปลาดิบ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน อย่างวันนี้เชฟเสิร์ฟเป็นฮามาจิ เยลโล่ฟินจากสเปน และโกลด์ฮินาเมะหรือปลาตาเดียวสีทอง ลิ้มความสดหวานของเนื้อปลานำเข้ารสชาติดี รับรองถูกใจคอปลาดิบเลิฟเวอร์ คอร์สถัดมาเป็นของย่าง เชฟเสิร์ฟปลาหิมะหมักด้วยมิโสะย่างบนใบโอบะ ได้กลิ่นหอมชวนกิน เนื้อปลาหิมะนุ่มรสชาติกลมกล่อม สำหรับเมนคอร์สเป็นซูชิ 5 คำ ที่เชฟคัดสรรให้ตามแต่ปลาพิเศษที่ได้มา คำแรกเป็นปลาตระกูลซาบะมีความกรอบนุ่ม ออนท็อปด้วยวาซาบิสดดอง คำที่ 2 เป็นชูโทโร่จากสเปน ออนท็อปด้วยอูนิสด ปิดด้วยทองคำ คำที่ 3 เป็นหอยเชลล์ฮอกไกโด ออนท็อปด้วยคาเวียร์ คำที่ 4 เป็นกุ้งโบตั๋นตัวใหญ่ ออนท็อปด้วยไข่อิคุระ และคำที่ 5 เป็นกะพงแดงญี่ปุ่น จี่ไฟให้ได้กลิ่นหอมของหนังปลา ออนท็อปด้วยหัวไชเท้า พริกป่นญี่ปุ่น หมักด้วยซอสพอนสึ  ในชุดยังมีน้ำซุปหอยเป๋าฮื้อที่ปรุงจากเป๋าฮื้อสดจากญี่ปุ่น รสชาติกลมกล่อม เนื้อเป๋าฮื้อชิ้นหนานุ่มเคี้ยวอร่อย หรือใครอยากสั่งเมนูอะลาคาร์ตก็แนะนำ คานิอะโวคาโดสลัด ซึ่งเป็นก้ามปูหิมะเสิร์ฟบนสลัด มีอะโวคาโด มะม่วง และผักสลัด พร้อมด้วยซอส 2 ชนิดเป็นซอสมะเขือเทศและซอสหอมหัว ที่แนะนำให้ราดลงบนผักสลัดช่วยเพิ่มรสชาติให้เข้มข้นกลมกล่อม บีฟเลิฟเวอร์แนะนำ เนื้อญี่ปุ่นย่าง ที่ใช้เนื้อจากเมืองซากะ มาร์เบิ้ลลิ่งสคอร์ระดับ A5 ย่างด้วยถ่านไม้ได้กลิ่นหอมของเนื้อร้อนๆ เสิร์ฟกับซอส 3 ชนิด ได้แก่  ซอสงา ซอสพอนสึ และซอสสึมิบิซึ่งใช้ทาขณะย่างเนื้อด้วย ในจานมีผัดผักและกระเทียมทอดให้กินตัดเลี่ยน เนื้อนุ่มละลาย   ซาชิมิ 7 อย่าง ก็เป็นอีกจานที่น่าลิ้มลอง ได้แก่ แซลมอนจากนอร์เวย์ ทูน่าเยลโลฟินจากสเปน ฮามาจิสดของญี่ปุ่น มาไดสด กุ้งหวาน ปลาหมึกยักษ์ และฮอกไกโดโฮตาเตะ ใครอยากสัมผัสความสดฉ่ำแนะนำให้แวะมาที่คิสโสะในวันอังคารและศุกร์จะได้ลิ้มรสปลาสดจากญี่ปุ่นที่นำเข้ามาใหม่ๆ   ปิดมื้อด้วยเมนูของหวานอย่างเค้กมัตฉะกรีนที ก่อนเสิร์ฟเชฟจะจุดไฟกระดาษที่ครอบตัวเค้กไว้เป็นกิมมิกน่ารักๆ เค้กสีเขียวสวยภายนอกอบให้กรอบส่วนเนื้อในยังคงเป็นลาวาชุ่มฉ่ำ มีซอสเบอร์รี่รสเปรี้ยวหวานให้กินตัดรสชาติของมัตฉะ อร่อยจนไม่อยากวางช้อน   เฟสทีฟนี้เลือก Kisso เป็นสถานที่เฉลิมฉลองสำหรับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงรับรองว่าไม่ผิดหวัง

ห้องอาหารลอร์ด จิมส์ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ สร้างชื่อเสียงมายาวนานจนเป็นที่ยอมรับในการนำเสนออาหารทะเลระดับพรีเมียม เนื้อสเต๊กคุณภาพเยี่ยม และอาหารประเภทย่างนานาชนิด ให้ได้ดื่มด่ำความอร่อยในบรรยากาศหรูหราพร้อมวิวเจ้าพระยางดงาม บวกกับทีมงานที่ให้บริการอย่างมืออาชีพและอบอุ่น เสมือนได้มารับประทานอาหารในบ้านที่คุ้นเคย ภายในห้องอาหารออกแบบให้เสมือนกำลังดื่มด่ำอยู่ในเรือขนาดใหญ่ ภายใต้หลังคาโค้งมน ประดับตกแต่งด้วยรูปใบเรือ เสากระโดง และไม้พายโดยรอบ  และล่าสุด เชฟเดวิด ดาเนค รองหัวหน้าพ่อครัวใหญ่ เปิดตัวเมนูอาหารค่ำใหม่โดยนำเสนอเมนูอาหารที่เน้นการย่างด้วยเตาถ่านรวมทั้งการถนอมเนื้อสัตว์แบบดรายเอจ (Dry Age) การใช้วัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมอย่างอาหารทะเล เนื้อแกะ เนื้อหมู สมุนไพร ธัญพืช และผักตามฤดูกาล ผ่านการผสมผสานความดั้งเดิมร่วมกับความคิดสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถันในทุกเมนู จนสามารถสัมผัสได้ถึงความอร่อยจากใต้ท้องทะเลและท้องทุ่งอันเขียวขจี ไม่ว่าจะเป็นซีฟู้ดทาร์ทาร์ (Seafood Tartare) ที่มีทั้งปลาเรนโบว์เทราต์ ทูน่า กุ้งลายเสือ และไข่แดง ซึ่งผสมผสานกันอย่างลงตัว ถือเป็นจานเด่นที่สะท้อนความเชี่ยวชาญของเชฟเดวิดทั้งการบาลานซ์รสชาติและการจัดจาน หอยเชลล์อาโอโมริย่างถ่าน (Charcoal-Grilled Aomori Scallop) เสิร์ฟพร้อมถั่วแระญี่ปุ่น บัตเตอร์มิลค์ ยี่หร่าฝรั่ง และมะนาว หอยเชลล์ตัวอวบเนื้อหนาหอมกลิ่นย่างถ่าน กินพร้อมซอสครีมเนื้อละมุน ได้รสกลมกล่อมถูกใจ ยังมีไก่หมักกิมจิอบสไตล์ลอร์ดจิมส์ (Lord Jim’s Roasted Kimchi Chicken) เนื้อไก่นุ่ม หอมโกชูจัง สมุนไพรออร์แกนิกและแฟลมเบด้วยโชจูก่อนเสิร์ฟ คนรักซีฟู้ดต้องไม่พลาด ปลากะพงแดงดรายเอจย่างถ่าน เนื้อปลาแน่นนุ่มสดหวานตามธรรมชาติแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม ต่อกันด้วยเมนูของหวานที่น่าประทับใจอย่าง กรองด์ครูช็อกโกแลตโพรฟิตเทอร์โรลส์ (Grand Cru Chocolate Profiterole) ที่ผสานแป้งพัฟชูวส์ครีมสอดไส้ด้วยไอศกรีมจานดูย่า (Gianduja) ครีมชานทิลลี (Chantilly) และพราลีน (Praline) ช่วยปิดมื้ออร่อยได้ดีเลิศ ทางห้องอาหารยังมีไวน์ชั้นเลิศให้เลือกมากมาย พร้อมคำแนะนำจาก Sommelier เพื่ออรรถรสที่ดียิ่งขึ้น   สำรองที่นั่งออนไลน์ : https://bit.ly/res-lordjims

Chao Phraya Terrace (เจ้าพระยาเทอเรส) ร้านใหม่ของโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Thai Farm to Table Charcoal Grill เชฟป๊อด เจษฎา เครือพันธุ์ ใช้เวลาหลายเดือนออกตามหาวัตถุดิบชั้นเลิศจากแหล่งเกษตรกรรมที่ยั่งยืนในไทย นำมายกระดับด้วยเทคนิคการย่างด้วยถ่านแบบดั้งเดิมด้วยไม้ลิ้นจี่จากน่าน กลายเป็นอาหารไทยที่กินสนุกและรสชาติดี เชฟป๊อดเล่าว่าแม้จะผ่านประสบการณ์ทำงานในต่างแดนมาแล้วมากมาย แต่ยังคิดถึงเสน่ห์ของอาหารไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การร่วมงานของเชฟป๊อดและโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ครั้งนี้เราจึงได้เมนูจากวัตถุดิบไทยในมุมมองที่แปลกใหม่   เราอาจคุ้นกับการเสิร์ฟขนมปังและเนยระหว่างรอเชฟทำอาหาร แต่ที่นี่เสิร์ฟหลนไข่เค็มรสนุ่มนวลพร้อมผักแนมให้กินเล่นเพลินๆ สลัดของที่นี่น่าสนใจหลายเมนูทั้ง Tubtim Siam Pomelo Salad สลัดส้มโอทับทิมสยามรสเปรี้ยวหวานสดชื่นมาพร้อมกุ้งย่าง Surat Thani Blue Swimmer Crab Salad ปูม้าเป็นจากสุราษฎร์ธานีเนื้อสด มาพร้อมยอดมะพร้าวอ่อนย่าง ผักกูดน้ำ ดอกผักปรัง กินกับเกรโมลาตาที่เสริมรสชาติของปูม้าให้เด่นขึ้น รวมถึง Chargrilled Maha Sarakham Wagyu Beef Salad วากิวจากฟาร์มจังหวัดมหาสารคามส่วนสันคอที่รสเนื้อชัด Signature Fire Skewers ของย่าง 3 ไม้ที่หมักได้รสชาติเข้าเนื้อ ทั้งกุ้งย่าง น่องไก่อินทรีย์จากเขาใหญ่ และคอหมูอินทรีย์จากราชบุรี ส่วนจานหลัก Khao Yai Organic Chicken เนื้อไก่จะนุ่มฉ่ำเพราะใช้ไก่ที่เลี้ยงแบบฟรีเรนจ์ นำไปหมักก่อนย่างด้วยไม้ลิ้นจี่ให้มีความสโมคกี้แซมด้วยกลิ่นหวานๆ Red Grouper in Banana Leaf ปลาเก๋าแดงห่อด้วยใบตองแล้วย่างซึ่งจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและยังคงความฉ่ำให้เนื้อปลา จบมื้อด้วย Grilled Chiang Rai Baby Pineapple สับปะรดภูแลจากเชียงรายนำไปย่างทั้งลูกประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นเคลือบด้วยคาราเมลให้ค่อยๆ ซึมไปในเนื้อสับปะรด กินคู่วานิลลาครีมและเจลาโตกล้วยที่ใส่รัมลงไปด้วย ส่วนใครอยากจิบเครื่องดื่มไปด้วย แนะนำ Thai Bitter Orange สีชมพูสวยเพราะมีส่วนผสมของสกุณาโรเซ่ ใส่ส้มซ่าให้ความเปรี้ยวหวานสดชื่น

ปลายปีมาพร้อมข่าวดี โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เปิดตัวห้องอาหารอิตาเลี่ยนไฟน์ไดนิ่งห้องใหม่ คานนูบี บาย อุมแบร์โต บอมบานา (Cannubi by Umberto Bombana) ที่ได้เชฟระดับตำนานแห่งวงการอาหารอิตาเลียน เชฟอุมแบร์โต บอมบานา เจ้าของฉายา ‘ราชาแห่งไวท์ทรัฟเฟิล’ มาเป็นที่ปรึกษาและดูแลสูตรอาหาร นอกจากเราจะได้ลิ้มลองอาหารอิตาเลียนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องวัตถุดิบเป็นหลักแล้ว เชฟบอมบานายังได้เชฟคู่ใจ เชฟอังเดร ซัสโต (Andrea Susto) ที่ร่วมงานกันมานานจนเข้าใจปรัชญาการทำอาหารแบบเชฟบอมบานาอย่างถ่องแท้ ทั้งที่ห้องอาหาร 8 ½ Otto e Mezzo Bombana ที่ฮ่องกง ซึ่งคว้ารางวัลมิชลินสตาร์ระดับ  3 ดาวติดต่อกันหลายปี และห้องอาหาร Opera Bombana ปักกิ่ง เจ้าของรางวัลมิชลินสตาร์ระดับ 1 ดาว มาเป็นหัวหน้าพ่อครัวใหญ่ของที่นี่ด้วย เมื่อมาถึง ทุกคนจะได้รับเวลคัมดริงก์ที่ชั้น M ให้จิบพร้อมชมวิวน้ำตกสูง 9 ชั้น จากนั้นพนักงานจะพาเดินลงมาที่ห้องอาหารชั้นล่างซึ่งตกแต่งได้อย่างสวยงามคลาสสิก หากเงยหน้ามองบนเพดาน จะเห็นแผ่นไม้สักทองโบราณของเดิมจากห้องอาหารเบญจรงค์ ซึ่งทางโรงแรมยังเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี ฤดูกาลนี้ เชฟอังเดรพาทุกคนไปสำรวจอิตาลีผ่านเมนูหลากหลาย วอร์มท้องด้วย Mushroom Consommé  ซุปใสที่ใช้เวลาต้ม 2 วัน โดยเชฟต้มเห็ด 3 ชั่วโมงก่อนจนน้ำงวดแล้วพักไว้ วันถัดมาจึงเติมน้ำแล้วเคี่ยวต่ออีก 3 ชั่วโมงจนได้ซุปที่ช่วยกระตุ่มต่อมอาหารของเราได้ดี  Langoustine Tartar จานนี้นำสมบัติแสนอร่อยแห่งท้องทะเลไว้ด้วยกัน ทั้งกุ้งแลงกูสทีน ฮอกไกโดอูนิ และคาเวียร์ ราดด้วยซอสพอนสึ และน้ำมันมะกอก กินด้วยกันทั้งคำแล้วได้รสทะเลอวลอยู่ในปาก เราได้ลอง Alba White Truffle Tagliolini ที่คนรักทรัฟเฟิลจะต้องใจละลาย เชฟอังเดรลงมือสไลซ์ไวท์ทรัฟเฟิลแบบไม่ยั้งมือจนคลุมเส้นจนแทบมองไม่เห็นเพื่อให้เราได้สัมผัสกลิ่นรสที่หอมจรุงในทุกคำ อีกเมนูไฮไลต์คือ Spaghetti with Sicilion Prawn ที่ใช้วัตถุดิบชั้นเยี่ยมทั้งกุ้งแดงจากซิซีลี ท็อปด้วยหัวใจปลาทูน่าอบแห้ง นำเสนอวัฒนธรรมอาหารของเมืองชายฝั่งทะเลของอิตาลีได้อย่างชัดเจน M9 Short Rib & Beef Tenderloin สเต็ก 2 แบบคือเนื้อซี่โครง M9 ตุ๋นหลายชั่วโมงจนนุ่มและสเต็กเนื้อสันใน ราดด้วยซอสเนื้อเข้มข้น เคียงด้วยฟักทองอบ และมันบด ต่อด้วย Wagyu Oxtail Ravioli ราลิโอลีไส้หางวัวเสิร์ฟพร้อมเห็ดโคนอบและไวท์ทรัฟเฟิลที่เป็นไฮไลต์ ใครปลื้มจานปลา ที่นี่มี Pan Fried Seabass ปลากะพงย่างบนกระทะจนหนังกรอบ จับคู่ซอสปุตตาเนสกา ซอสดั้งเดิมของอิตาลีที่มีส่วนผสมของแอนโชวี่ มะกอก และเคเปอร์ในซอสมะเขือเทศ รวมถึงมีเนื้อหอยที่เชฟผัดกับไวน์ขาวก่อนนำลงไปเคี่ยวในซอส ปิดท้ายด้วย Hazelnut & Chocolate Cream เชฟใช้เฮเซลนัทจากปีเยมอนเตเพราะเป็นแคว้นที่มีฮาเซลนัทที่คุณภาพดีที่สุดจับคู่เจลาโตรสเฮเซลนัท ราดด้วยซอสวานิลลา นอกจากนี้ที่คานนูบี บาย อุมแบร์โต บอมบานายังมีไวน์เลือกกว่า 300 รายการ ส่วนหนึ่งเป็นไวน์บาโรโลระดับพรีเมียมจากคานนูบี เมืองแห่งไร่องุ่นที่เก่าแก่ที่สุดของอิตาลี และเป็นชื่อของห้องอาหารด้วย ใครอยากลิ้มลองอาหารแบบเชฟบอมบานา ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป ทางห้องอาหารจะเปิดบริการทั้งมื้อกลางค่ำและมื้อค่ำ สำรองที่นั่งล่วงหน้าหรือสอบถามข้อมูล โทร 0 2200 9000

อะไรจะผ่อนคลายกว่าได้เอนจอยมื้อโปรดในห้องสมุดสวยๆ สักแห่ง ห้องอาหาร The Library ยู สาทร กรุงเทพ (U Sathorn Bangkok) โรงแรมสุดหรูย่านสาทรเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ทั้งบรรยากาศ อาหาร รวมถึงชุดน้ำชายามบ่ายที่เต็มไปด้วยขนมคาวหวานแสนอร่อย   เพราะคอนเซ็ปต์ของที่นี่เหมือนห้องสมุดขนาดย่อม เราจึงได้เห็นหนังสือและแมกกาซีนที่หยิบยืมมาอ่านได้จริง พร้อมมุมเงียบสงบด้านใน ส่วนใครชอบไวบ์สบายๆ ก็เลือกด้านนอกที่มองเห็นสระว่ายน้ำของโรงแรมได้เลย เชฟเล่าว่าคอนเซ็ปต์อาหารของที่นี่เป็นคอมฟอร์ตฟู้ด เรียบง่ายไม่ซับซ้อน เริ่มด้วย Candy Tomato Salad สลัดมะเขือเทศแคนดีหลากสี หวานกรอบสดชื่น มาพร้อมพาร์ม่าแฮม ชีสบูร์ราตา ร็อกเก็ต ราดด้วยบัลซามิกเดรซซิง U Club Sandwich คลับแซนวิชแบบยู สาทร เชฟม้วนขนมปังให้เป็นโรล ด้านในสอดไส้อกไก่ เนื้อปู ซอสมายองเนสผงกะหรี่ ด้านบนเป็นไข่นกกระทา จับคู่เฟรนช์ฟรายส์และโคลสลอว์ ใครชอบพาสตา Bucatini Pasta เส้นบูคาตินีผัดกับเนื้อบด ปรุงรสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมเนื้อออสเตรเลียย่างแบบมีเดียมแรร์ อย่าพลาด U Sathorn Fried Rice ข้าวผัดปูที่เชฟใส่พริกเผาลงไปให้มีรสเผ็ดกลมกล่อมกินคู่คอหมูย่างชิ้นโตๆ  จิ้มน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด เข้ากันดีเชียว อิ่มคาวแล้วต่อด้วยของหวาน The Mont Blanc หน้าตาชวนว้าว ด้านในซ่อนอัลมอนด์เมอแรงค์มูสเกาลัดหอมมัน และไอศกรีมวานิลลาเอาไว้  มีแผ่นทองกินได้แปะบนยอดภูเขา Shibuya Honey Toast โทสต์ฉ่ำๆ รายล้อมด้วยสตรอว์เบอร์รี่ กล้วย  กีวี วิปปิงครีม และไอศกรีมวานิลลาก็ชื่นใจ ส่วนใครอยากมาจิบชายามบ่าย ที่นี่มี Seven Wonders 777 Edition ที่มีทั้งมาการอง คาเนเล มาเดอลีน บอร์กโดซ์ สโคน บราวนี่ช็อกโกแลตฟรัดจ์ และคลับแซนด์วิช จิบชาไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย เพลินกว่านี้ไม่มีแล้ว

ฮาชิริ (Hashiri) ห้องอาหารญี่ปุ่นสไตล์โมเดิร์นห้องใหม่บนชั้น 3 ของโรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก​, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล โดย เชฟอัลวิน ชูว์ (Alvin Chew) ที่ผ่านการทำงานร่วมกับเชฟในร้านมิชลินสตาร์มาแล้วมากมาย พร้อมแล้วที่จะพาคนรักอาหารญี่ปุ่นไปลิ้มรสความสดใหม่ของวัตถุดิบ เหมือนกับชื่อห้องอาหารที่หมายถึง ‘การเก็บเกี่ยวครั้งแรก’ หรือ ‘การจับปลาในช่วงแรกของฤดูกาล’ ในบรรยากาศคึกคักสนุกสนาน ไม่ขึงขังจนนั่งเกร็ง เพราะห้องครัวของห้องอาหารเป็นครัวเปิด เราจึงสนุกกับการได้เห็นเชฟจัดเตรียมเมนู ตามมาด้วยการโชว์เทคนิคการทำอาหารแบบเฉพาะตัว เมนูเด่นของที่นี่คือ Beef Cheek & Foie Gras Donabe ข้าวอบโดนาเบะเนื้อแก้มวัวตุ๋นและฟัวส์กราส์ ข้าวอบหม้อดินแบบดั้งเดิม เชฟตุ๋นแก้มวัวในไวน์แดง ผสมซอสถั่วเหลือง และเครื่องเทศนานถึง 36 ชั่วโมงจนนุ่มละลาย มาพร้อมฟัวกราส์ที่นุ่มไม่แพ้กัน ส่วนข้าวใช้ข้าวโคชิฮิคาริ (Koshihikari) ที่มีกลิ่นหอมและความกรุบเบาๆ เราไม่อยากให้พลาด Oyster Donabe ข้าวอบโดนาเบะหอยนางรม นอกจากหอยนางรมจะตัวอวบเต็มคำแล้ว เมื่ออบกับข้าวเราจะได้กลิ่นหอมเฉพาะตัวอยู่ด้วย อีกเมนูที่กินแล้วสนุกมากคือ Ankimo ที่ได้จากตับของปลาอังโกะ เชฟนำมานึ่งและปรุงรส เสิร์ฟเย็นให้กินกับโมนากะ (ขนมกรอบทำจากแป้งโมจิ) ด้านบนเป็นแตงโมหั่นเต๋า ผักดองนาราซึเกะที่เป็นผักดองของเมืองนารา ดอกไม้กินได้ และใบชิโซะ กลายเป็นไอศกรีมอังกิโมะที่เต็มไปด้วยความหอมนุ่ม ละมุน แต่มีรสสดชื่นของแตงโมและผักดองมาตัดกัน นอกจากนี้ยังมี Wagyu A4 Picanha ,Grilled Tako, Wagyu Sukiyaki, Hotate & Crab Maki Roll และ Wagyu & Foie Gras Roll และเมนูอื่นๆ ที่เชฟอัลวินรอให้ทุกคนมาลิ้มลอง

ร้านอาหารจีนบนชั้น 16 และชั้นดาดฟ้าของโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ที่ออกแบบหรูหราราวกับยกคฤหาสน์จีนในยุคก่อนมาไว้ในโรงแรม ที่นี่นำเสนออาหารจีนต้นตำรับที่ชูศิลปะการปรุงและวิธีถนอมอาหารเพื่อให้ได้รสสัมผัสที่หลากหลาย และเพื่อให้ได้กลิ่นอายแบบดั้งเดิมเชฟใหญ่ของห้องอาหารจึงเน้นนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องปรุงหลายชนิดจากประเทศจีน ลูกค้าไม่ต้องบินไปไกลก็ได้ลิ้มรสชาติแบบเดียวกัน นอกจากเมนูสไตล์อะลาคาร์ต ที่นี่ยังมีเซ็ตดินเนอร์ที่ล้อไปกับวัตถุดิบตามฤดูกาล สำหรับฤดูกาลนี้เราเริ่มที่ Poached Chicken with Sichuan Spicy Sauce ไก่ต้มเลาะเอาแต่เนื้อ ระดับความนุ่มฉ่ำเกินร้อย เพราะซึมซับซอสสไตล์เสฉวนที่มีรสเผ็ดซ่าติดปลายลิ้นไว้เต็มพิกัด กินกับข้าวสวยร้อนๆ เป็นใครก็ร้องหอเจี๊ยะ ต่อด้วย Seafood Hot and Sour Soup ซุปร้อนๆ ที่อุดมด้วยซีฟู้ดอัดแน่นเต็มชาม รสเปรี้ยวนิดๆ เค็มอ่อนๆ กลมกล่อมกำลังดี ถัดมาเป็น Wok-Fried String Bean with Duck Claws ขาเป็ดผัดถั่วฝักยาว เป็นเมนูที่ให้คะแนนแทบไม่ทัน เพราะทีเด็ดอยู่ที่ขาเป็ดเปื่อยร่อนเคี้ยวง่าย ถั่วฝักยาวยอดอ่อนที่ทั้งสดและกรอบ ผัดร้อนๆ กลิ่นหอมฟุ้ง ปรุงรสเค็มมัน เจือเผ็ดนิดๆ พอได้ซี๊ดปาก Wok Fried Pork Neck สันคอหมูกระทะร้อน เนื้อหมูหั่นชิ้นหนา ไม่ต้องกลัวเหนียวเพราะเคี้ยวง่ายนำมาผัดกับเห็ด ปรุงรสเค็มอ่อนๆ คลุกเคล้ากับข้าวสวย รสชาติจะกลมกล่อมกำลังดี Sea Bass in Chili Sauce ปลากระพงเนื้อแน่นไม่ยุ่ยเละ นำมาแล่เป็นชิ้นแล้วผัดกับซอสพริกเสฉวน กินเนื้อหมดเหลือน้ำแล้วเสียดาย จะใส่ถุงกลับไปบ้านก็ได้ หากรู้สึกเผ็ดร้อนจนต้องเป่าปากให้เบรกด้วย Kale ผักเคลผัดไข่ที่มีรสชาติกลมกล่อมกำลังดี แล้วค่อยปิดจ๊อบด้วย Chilled Mango Sago  Cream with Pomelo ของหวานที่มีสาคู มะม่วง และส้มโอเป็นองค์ประกอบ อิ่มแล้วอย่าลืมมูฟไปชิลต่อที่ Sky Bar ชมวิวดอยสุเทพและวิวเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ด้วยล่ะ