น่ารักมากจนอดใจไม่ไหว! เค้กจากร้าน Bake da Bite ที่มาจุดไฟความอยากเป็นเชฟขนมหวานของเราให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยเค้กแบบ DIY ส่งตรงจากจังหวัดระยองที่มาพร้อมครีมและท้อปปิ้ง ให้เราได้ลงมือแต่งหน้าเค้กแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง     เริ่มด้วยกล่องแรก เค้กกะเพราหมูสับไข่ดาว (250บาท) ทางร้านนำเมนูเด็ดของบ้านเรา (อะไรจะอร่อยกว่าข้าวผัดกะเพราล่ะจริงไหม) มาแปลงโฉมได้อย่างน่ารัก ในเซ็ตมีเค้กแครอตหวานน้อย เคียงคู่มาด้วยครีมชีส ครัมเบิ้ล และใบมินต์       ซึ่งวิธีแต่งหน้าเค้กก็ง่ายมาก แค่เล็งให้พอดีแล้วบีบครีมชีสลงไปด้านบนเค้กให้เป็นวงกลม สมมติว่าเป็นไข่ขาว จากนั้นโปะช็อกโกแลตสีส้มไปตรงกลางก็จะกลายได้ไข่ดาวใบโต แต่กระบวนการความอร่อยยังไม่จบแค่นั้น หยิบครัมเบิ้ลกรุบกรอบมาโรยด้านข้าง (ติ๊ต่างว่าเป็นหมูสับ) แล้วประดับด้วยใบมินต์เล็กน้อย เป็นอันเสร็จพิธี     ส่วนอีกกล่องมาแนวหวานฉ่ำกับเค้กข้าวเหนียวมะม่วง ชิฟฟอนเค้กนุ่มๆ มาพร้อมกับครีมกะทิและช็อกโกแลตกลมสีเหลือง (สำหรับทำเป็นไข่ดาวเหมือนกล่องแรก) แต่กล่องนี้วางเคียงด้วยมะม่วงน้ำดอกไม้สุกหวานหั่นเต๋าที่ทางร้านเลือกใช้จากกลุ่มเกษตรกรชาวระยอง กินเค้ก 1 คำ ตามด้วยมะม่วงอีก 1 คำ เข้ากันดีเชียว         เชฟ(มือสมัครเล่นอย่างเรา)กดหัวใจให้เลย

ภายใต้ตึกซอยทองหล่อ 13  มีบ้านหลังน้อยๆ ห้องกระจกใสโปร่งสบาย หลังคามุงใบจาก ตกแต่งด้วยต้นไม้สีเขียว และเฟอร์นิเจอร์สีสันสดใส มองดูอย่างไรก็ทำให้อดนึกถึงบรรยากาศของทะเลไม่ได้ นี่แหละคือ Summer Bowl คาเฟ่สไตล์ฮาวายเก๋ไก๋       บรรยากาศร้านภายในตกแต่งตามแบบฉบับฮาวาย ผนังสีขาวแซมด้วยใบต้นปาล์มสีชมพู และรูปเพนท์ผู้หญิงกำลังเต้นระบำส่ายสะโพก ซึ่งเข้าธีมกับเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ อาทิ ชิงช้า โซฟา หมอนอิง เมื่อก้าวขาเข้ามาในร้านแล้วรู้สึกได้เลยถึงความสดใสมีชีวิตชีวา ราวกับได้มาอยู่ในบ้านพักตากอากาศบนเกาะสวรรค์ริมทะเลจริงๆ       ทุกเมนูของ Summer Bowl จะมี “อาซาอิ” พืชตระกูลเบอร์รี่ชนิดหนึ่งเป็นตัวชูโรง นิยมกินกันมากในเกาะฮาวายมีคุณประโยชน์โดดเด่นเลยคือ ช่วยควบคุมน้ำหนักและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง       เริ่มต้นความอร่อยด้วยเมนูขายดี Pipeline bowl หรือเรียกสั้นๆ ได้ว่าเมนู เบอร์ 7 สมูทตี้อาซาอิรสเปรี้ยว ใส่ชามไม้แล้ววางเรียงรายด้านบนด้วยกราโนล่ากรุบกรอบ สตรอว์เบอร์รี กล้วย ดาร์คช็อกโกแลตรสเข้ม และเนยถั่วโฮมเมดหวานหอม เติมความสดชื่นให้คุณได้ตลอดวัน     เบอร์ 8 Haleiwa Bowl เมนูซิกเนอเจอร์ที่มีเบสเป็นสมูทตี้อาซาอิเช่นเคย ท็อปด้วยลูกเดือยหนึบหนับ กราโนล่า งาขี้ม่อนเคี้ยวกรุบกรับเคี้ยวเพลินๆ กล้วย บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และมะม่วง รวมเป็นรสชาติเปรี้ยวหวาน และสัมผัสกรุบกรอบที่เข้ากั๊นเข้ากัน    

ใจกลางย่านทองหล่อที่มีทั้งออฟฟิศใหญ่ คอนโดสูง และร้านอาหารฮิปมากมาย แต่การหาอาหารดีๆ กินสักมื้อในเวลาพักเที่ยงที่แสนจะเร่งด่วนหรือในเวลาแบกร่างที่เหนื่อยล้ากลับบ้านหลังเลิกงานบางครั้งก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด คุณตี้ ปฐวี เดชกฤติวัฒน์ ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เคยสัมผัสประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้มาแล้ว เมื่อสบจังหวะเหมาะขณะกำลังมองหาออฟฟิศแห่งใหม่กับพาร์ทเนอร์ คุณเจนนิเฟอร์ อุย จนมาพบโลเคชั่นลงตัวในซอยสุขุมวิท 51 ที่มาพร้อมกับครัวใหญ่ที่มีครบทุกฟังก์ชั่นจนน่าเสียดายหากจะรื้อทิ้ง Pinto Deli ปิ่นโตเดลิเวอรี บริการส่งอาหารจีนสไตล์คอมฟอร์ตจึงถือกำเนิดขึ้น     อาหาร Chinese Comfort ในนิยามของคุณตี้คืออาหารที่เขาคุ้นเคยขณะเติบโตขึ้นมาในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนซึ่งหลายเมนูกลายเป็นว่าหาทานยากมากแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นอาหารที่อร่อยและกินได้ทุกวันอย่างพอร์คชอปสไตล์จีนหรือหมูเหล้าแดง เมนูของร้าน Pinto Deli จึงเริ่มต้นมาจากเมนูในความทรงจำเหล่านั้นและคิดเพิ่มเติมจนมีเมนูตั้งต้น 30 เมนู และล่าสุดในเดือนนี้เปิดตัวเมนูใหม่เพิ่มถึง 88 เมนูให้เลือกได้อย่างจุใจ ตอบโจทย์ลูกค้าประจำจะได้ไม่จำเจ     เมนูตอนนี้มีให้เลือกทั้งออร์เดิร์ฟ จานเดียว และกับข้าว สำหรับออร์เดิร์ฟเราขอแนะนำให้สายเนื้อลอง วากิวแดดเดียว  (198 บาท) ใช้เนื้อวากิวที่มีมันแทรกทำให้เนื้อนุ่ม หั่นชิ้นหนาทำแดดเดียวแล้วนำไปทอด เมนูนี้เกิดจากตอนที่คุณตี้เคยไปทำงานที่นิวยอร์ค คนที่นั่นไม่กินเนื้อส่วนที่ติดกระดูกกันจึงเป็นส่วนที่เหลือทิ้ง พ่อครัวเลยเอาเนื้อตรงนั้นมาทอดแดดเดียวให้ทีมงานในร้านกินซึ่งมันอร่อยมากและติดอยู่ในความทรงจำ จนกลายมาเป็นหนึ่งในเมนูของร้านด้วย ตามด้วยเมนูใหม่ ขนมจีบทอด (138 บาท) ลูกโตจนกินคำเดียวไม่หมด ห่อแป้งบางๆ ไส้แน่นชุ่มฉ่ำ กินเปล่าๆ ก็อร่อยหรือจะจิ้มกับซีอิ๊วหรือน้ำมันพริกเพิ่มรสชาติก็ได้ ส่วนกับข้าวเราลองสั่ง ต้มแซ่บปลาผักกาดดอง (228  บาท)  ซึ่งความเปรี้ยวแซ่บนั้นชวนสะดุ้งในคำแรก แต่กลับซดเพลินมากๆ ในคำต่อๆ มา เนื้อปลาก็ชิ้นใหญ่เต็มชาม สังเกตว่าราคาของทุกเมนูจะลงท้ายด้วยเลข 8 เลขมงคลของจีน สมกับที่เป็นร้านอาหารจีน         นอกจากนี้ยังมีเมนูพิเศษที่ “เอ็กซ์คลูซีฟ” เฉพาะสำหรับลูกค้าที่สั่งผ่าน Line@ Pinto Deli (@pintodeli) เท่านั้นจึงจะสามารถสั่งได้คือ ผัดซีอิ๊วเส้นใหญ่กรอบเนื้อวากิวแดดเดียว (248 บาท) ตัวเส้นกรอบอร่อยเคี้ยวเพลินมากๆ ส่วนเนื้อวากิวมีมันแทรกหน่อยๆ นุ่มเคี้ยวง่ายกินเพลินจนหมดไม่รู้ตัว ตามด้วยเมนู ไข่พระอาทิตย์ + หมูสับซอสเซี่ยงไฮ้ (148 บาท) ตัวข้าวและไข่ทอดมาอย่างนุ่มฟูชวนกิน ยิ่งกินกับหมูสับผัดซอสรสเข้มข้นที่ราดหน้ามาแล้วไม่ต้องปรุงรสเพิ่มใดๆ ก็เอ็นจอยได้ และเมนูสุดท้าย เส้นใหญ่กุ้งสับผัดซอส XO (188 บาท) ซึ่งตัวซอส XO นั้นทางร้านทำขึ้นมาเอง รสชาติเข้มข้นแบบไม่ต้องปรุงเพิ่มอีกเหมือนกัน ถ้าอยากลองทั้ง 3 เมนูพิเศษนี้ ก็แอดไลน์ได้เลย มีแอดมินใจดีคอยต้อนรับแถมมีบริการส่งทุกค่ายให้เลือกสรร         และด้วยความต้องการตอบโจทย์ลูกค้าให้ครบทุกกลุ่ม ทางร้านเลยเริ่มมีเมนูสุขภาพที่กินอร่อยมาเสริมทัพอย่าง อกไก่ผัดต้นหอม (148 บาท) ผัดกับน้ำซุปไก่โดยไม่ใช้น้ำมันเลยแม้แต่น้อย แต่รสชาตินี่อัดแน่นและกลมกล่อมมาก จะสั่งไปกินเปล่าๆ ราดข้าว หรือกินกับข้าวต้มก็เข้าท่า     ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำแค่เดลิเวอรีเท่านั้น แต่พอรู้ว่ามีของอร่อยเพื่อนฝูงของคุณตี้และคุณเจนนิเฟอร์ก็แวะเวียนมากินที่ร้านเป็นประจำ ตอนเที่ยงก็มีลูกค้าที่อยู่ไม่ไกลแวะเวียนมา สุดท้ายเลยต้องตั้งโต๊ะอาหารใหญ่ไว้ 1 ตัวกั้นม่านเป็นสัดส่วนแยกกับส่วนปรุงอาหารเพื่อรองรับแขกที่อยากมากินที่ร้านซะเลย โต๊ะอาหารที่นี่รองรับลูกค้าได้ราว 10 ที่ หากอยากชวนเพื่อนฝูงมานั่งกินชิลๆ เหมือนไปกินข้าวบ้านเพื่อนทางร้านก็ยินดีเปิดรับในช่วงมื้อเย็น เฉพาะแขกที่มีการจองล่วงหน้าเท่านั้นนะ      คุณตี้มองแบรนด์ Pinto Deli เป็น Food Delivery Service จึงเน้นเรื่องประสบการณ์ในการกินของลูกค้าเป็นสำคัญ อาหารทุกเมนูใช้เวลาปรุงไม่นานพร้อมส่งได้ในเวลาอันรวดเร็วเพื่อที่อาหารที่ไปส่งจะยังคงความร้อนและความอร่อยอย่างเต็มที่ แยกส่วนข้าวและกับเป็นอย่างดี หากลูกค้าอยู่ในละแวกร้านยังมีบริการส่งฟรีอีกด้วย นอกจากส่งปิ่นโตให้ลูกค้ารายย่อยแล้ว Pinto Deli ยังเพิ่มบริการสำหรับองค์กรเป็นเมนู “Daily Lunch” ข้าวกล่องอาหารกลางวันที่เหมาะสำหรับพนักงานออฟฟิศที่มีเวลาพักเที่ยงสั้นๆ มีเมนูให้เลือก 15 เมนูและจะสับเปลี่ยนไปทุกเดือน ให้บริการในช่วง 11.00 – 14.00น.  ในราคา 55 – 65 บาทเท่านั้น และรองรับออร์เดอร์ได้มากถึง 250 ที่ต่อวันเลยทีเดียว เมนู Daily Lunch ให้บริการผ่าน Line@ เท่านั้นนะ   ใส่ใจลูกค้าแบบเก็บทุกเม็ดแบบนี้ ก็เลยอยากชวนมาผูกปิ่นโตกับ Pinto Deli กันซะเลย

หนึ่งในเมนูทอปลิสต์ของแฟนๆ ซูชิและซาชิมิ พูดเลยว่าต้องมี “อูนิ” หรือ “ไข่หอยเม่น” ที่ถ้าได้กินแบบสดๆ แล้วจะต้องหลงไหลในความหวานนุ่มละมุนลิ้นของอูนิกันทุกราย แต่เวลาไปกินที่ร้านก็มักไม่ค่อยฟิน อยากกินหลายๆ คำ ราคาก็โหดเอาการ G&C เลยมีทางเลือกมาบอกต่อสำหรับการสั่ง “อูนิ เดลิเวอรี” ผ่านโซเชียลมีเดีย ส่งตรงอูนิเกรดพรีเมียมจากญี่ปุ่นแบบเป็นถาดมาล้อมวงกินแบบฟินๆ ล้นๆ กันที่บ้าน เห็นช่องทางอร่อยแบบนี้เราไม่รอช้า รีบสั่งมาลองทันที     เริ่มด้วยเข้าไปที่ไอจี @mr_uni_shop ซึ่งเป็นช่องทางที่ดีที่เราจะได้ดูภาพตัวอย่างสินค้าวิธีการสั่ง และโปรโมชั่น (ช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมามีโปรโมชั่นแรงเชียว แต่เรามาช้าเลยอด เศร้าแป้บ) ตัวสินค้านั้นมีให้เลือก 3 เซ็ต คือ เซ็ต S ขนาด 100 กรัม ราคา 2,999 บาท เซ็ต M ขนาด 150 กรัม ราคา 3,999 บาท และเซ็ต L ขนาด 250 กรัม ราคา 4,999 บาท โดยในเซ็ตจะมีข้าวญี่ปุ่น สาหร่าย วาซาบิ และโชยุให้ 1 ชุด ส่วนวิธีการสั่ง จะมีรอบในการสั่งออเดอร์ทุกวันพุธและศุกร์ ส่วนรอบในการส่งของคือวันอังคารและศุกร์ ลองกะให้ดีว่าอยากกินวันไหน สำหรับอูนิ เราแนะนำว่ากินทันทีจะดีที่สุด แต่หากต้องเก็บไว้ก็ไม่ควรเกิน 3 วัน เพราะความสดจะลดลง ยิ่งข้าวด้วยแล้ว หากเก็บไว้นานก็จะไม่นุ่มอร่อย     ทางร้านให้ช่องทางในการสั่งไว้หลากหลายทาง ทั้งทางไลน์ เฟซบุค โทรศัพท์ และสั่งผ่านไอจีได้เลย ถ้าอยากถามเพิ่มเติมก็ส่งข้อความทักไปได้ จากการสอบถามพบว่าทางร้านมีอูนิจากฮอกไกโดให้เลือก 2 สายพันธุ์คือ “บาฟุน” กับ “มุราซากิ” (ซึ่ง G&C เคยสัมภาษณ์เชฟมาซาโตะไว้ถึงทั้ง 2 สายพันธุ์แล้ว ว่าต่างกันอย่างไร อ่านเพิ่มเติมที่ >> เรื่องโอมากาเสะซูชิไว้ใจเชฟมาซาโตะ ชิมิสุ!) โดยไม่ว่าจะเลือกแบบไหนก็จ่ายราคาเดียวกัน แต่ถ้าลูกค้าไม่ได้เฉพาะเจาะจง ทางร้านก็จะเลือกอูนิที่คุณภาพดีที่สุดในรอบนั้นมาให้ เมื่อเลือกสายพันธุ์และเซ็ตที่ต้องการแล้วก็สั่งออเดอร์ได้เลย G&C ซะอย่าง (ด้วยความหิว) เลยเลือกสั่งเซ็ต L ถาดใหญ่ที่สุด เป็นสายพันธุ์ที่ทางร้านแนะนำคือบาฟุน ส่วนการชำระเงินทำได้ง่ายดายผ่านแอปพลิเคชัน ทันใจวัยรุ่นยุค 5G มากๆ       เมื่อถึงวันส่งทางร้านแจ้งเวลาส่ง 5 โมงเย็น ซึ่งก็มาส่งตรงเวลา อูนิ ข้าวญี่ปุ่น (ไม่ได้ปรุงรสแบบข้าวซูชิ) สาหร่ายปรุงรส 2 ซอง วาซาบิ และโชยุ แพ็คแยกกันมาอย่างดีบรรจุมาในถุงกระดาษ โดยมีไอซ์แพคขนาดใหญ่รองใต้ถาดอูนิมาด้วย แต่ไม่มีตะเกียบมาให้ ซึ่งเราว่าก็ดี ช่วยๆ กันลดขยะ     ส่วนไฮไลท์คืออูนินั้น บอกเลยว่าดีงามไม่ผิดหวัง อูนิชิ้นโตสมราคาเรียงตัวสวยอยู่บนถาดในสภาพสมบูรณ์ ยังคงความเย็นจากไอซ์แพค รสหวานละมุน เนื้อนุ่มแต่ไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย ปริมาณอูนิกับข้าวก็พอเหมาะกันดี ส่วนสาหร่ายอาจจะน้อยไปนิด รสชาติของโชยุและวาซาบิที่ให้มาก็จัดว่าดี ถาดนี้ทางร้านบอกว่ากินได้ 2-3 คน แต่หากมีเมนูอื่นเสริมด้วย เราว่าสามารถแชร์กันได้ถึง 4 – 5 คนเลยแหละ     ถูกใจแบบนี้ เราเลยสอบถามไปทางร้านอีกครั้ง พบว่าก่อตั้งและดำเนินการโดย 2 นักธุรกิจรุ่นใหม่ คุณมิลกี้ รตนพร อมฤตวาริน และคุณเท็น วริทธ์ วีระภุชงค์ ทั้งคู่ยังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย โดยคุณเท็นนั้นศึกษาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และเห็นว่าคนไทยที่ชอบทานอูนิมีเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่ราคาอูนิที่ร้านอาหารในเมืองไทยนั้นสูงกว่าที่ญี่ปุ่นมาก จึงมองเห็นช่องทางธุรกิจขึ้นมา ในอนาคตอันใกล้ หากมีเวลามากขึ้น Mr. Uni อาจพัฒนาเมนูใหม่ๆ สำหรับส่งเดลิเวอรีเพิ่มเติมด้วย อยากกินอูนิอร่อยๆ ที่บ้านและอุดหนุนธุรกิจคนรุ่นใหม่ ก็สั่งเลย ที่ IG : mr_uni_shop หรือ Line : @mr.uni