ชายจุกได้รับการอบรมอย่างดีในฐานะลูกหลานจีนว่า วันไหว้ก็ต้องไหว้บรรพบุรุษ วันเที่ยวก็ห้ามทำงาน เพราะถ้าทำงานในวันนี้จะต้องทำงานหนักกันยาวตลอดปี ชายก็ไม่เคยขัดขืนเลยสักปี ปีนี้ก็เช่นกัน หลังจากกินข้าวกับที่บ้าน แจกจ่ายแต๊ะเอียเรียบร้อย (ส่วนมากชายจ่ายออก น้ำตาจะไหล) ชายวางแผนไว้คร่าวๆ ว่าจะเที่ยวยาวๆ ชายเลือกแล้วว่า Dim Dim ช่างเป็นปลายทางที่ดีงามในวันเที่ยวแบบนี้ ไม่ให้ดีงามได้ยังไงก็ที่นี่กลิ่นอายไชนิสนิวเยียร์มาเต็ม               พิกัดร้านอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง ใครเป็นแฟนร้าน Bao & Bun รับรองว่าไปถูกเพราะที่นี่คือที่ตั้งเก่าของ Bao & Bun (เดือนมีนาคมนี้จะเปิดตัวอีกครั้งที่ชั้น 6 Central Embassy) ชายเจอตัวน้องเอเชีย สาวสวยเจ้าของร้านที่ไปชักชวนจอห์น (ร้านบ้านหญิง) เติร์ก (Sugar Ray) และหุ้นส่วนร้านเสี่ยวชือ แต่ที่เซอร์ไพรส์สุดคือพี่วูดดี้ โคเรียนคิวส์ พูดง่ายๆ ว่าสายอาหารกับสายบาร์มาเจอกัน มันส์ทีนี้   Dim Dim มาในแนวไชนิสสปีคอีซี่ที่ไม่ได้ซ่อนตัวลึกลับหาตัวจับยาก แต่รายละเอียดเดคคอร์คือเลิศ กระป๋องใส่หมูแผ่นที่ใช้แทนถังน้ำแข็ง ชั้นวางของที่เรียงรายด้วยชาสามม้า เซียงจา (บ๊วยแผ่น) และกล่องพุทราจีน ที่สำคัญคือการตีความอินกรีเดียนที่ใช้ใน Bao & Bun แปรรูปเป็นค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่เริ่มต้นเพียง 5 ตัว แต่หลังตรุษจีนคงมีอีกไม่น้อย ส่วนใหญ่ก็เอาอินกรีเดียนไปอินฟิวส์กับสปิริต อาทิ ชาอูหลง กระเจี๊ยบ พริกไทยเสฉวน พูดง่ายๆ ว่าเป็นโอเรียนทอลอินฟิวส์ ไม่ได้จีนจ๋า     ชายได้น้องตี้ ตี๋หนวดช่วยปรนนิบัติพัดวี เอ้ย! ไม่ใช่ละ ผสมค็อกเทลให้ต่างหาก ตี้มาในชุดที่ดูเหมือนหมอตี๋ตามร้านขายยาจีนโบราณ (แว่วว่าอาจจะมีเจ๊กไนท์ที่รวมบาร์เทนเดอร์หน้าตี๋ 555) ว่าไปชายคิดว่าค็อกเทลที่นี่มาแนวคลาสสิกทวิสต์ อย่างแก้วแรก Oolong & Orange Sour ฟีลคล้ายวิสกี้ซาวร์ แต่ใช้เบอร์เบินอินฟิวส์กับใบชาอูหลงและเปลือกส้ม ผสมกับน้ำเลมอน ไข่ขาว ไซรัป และโรยหน้าด้วยงาดำ กินแกล้มกับมะนาวเค็ม     แก้วต่อมาเป็นความกล้าบ้าในการนำเอาหมูหวานมาชนกับค็อกเทลโอลด์แฟชั่น Bakkwa Old Fashioned เบอร์เบินอินฟิวส์กับโรสแมรี่ ผสมไซรัปชิลลี่ซินนามอนโฮมเมด บิตเตอร์ส้มและแองกัสทูร่า ผิวส้ม และโรสแมรี่เผาไฟ วางด้วยหมูทุบบีเชียงเฮียงที่หยดน้ำมันพริกแห้ง จิบไปเคี้ยวหมูไป ตี๋อินเตอร์มาก และเซอร์ไพรส์สุดคือน้ำจับเลี้ยงที่แปรเปลี่ยนมาเป็นค็อกเทล Za Liang Spritzer ที่เปรียบได้กับตี๋ลูกครึ่งมักกะโรนี ไวน์ขาวผสมจับเลี้ยง แอปเพอโร ไซรัปโฮมเมดลิ้นจี่ขิง ฉีดน้ำดอกมะลิมาหอมๆ แก้วนี้รีเฟรชชิ่งดีๆ นึกว่ายืนจิบน้ำจับเลี้ยงอยู่ในเยาวราช       เมาได้ที่ลูกจีนก็หิว แม้ว่าจะรู้ตัวล่วงหน้าว่าต้องกินไก่ต้มอีกเป็นเดือนจากของไหว้ แต่สายของชายบอกว่าให้ลองชิม Skinny Chicken ไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มไม่เลี่ยนมัน จิ้มกับน้ำจิ้มเหมือนของแม่ชายเลย รสต่างกันหน่อยถือซะว่าวอร์มอัพก่อนต้องกินไก่กันยาวๆ แต่ที่ช่วยให้สร่างก่อนกลับน่าจะเป็น HK Porridge โจ๊กร้อนๆ เนื้อเนียน รสชาติดี อิ่มหลับสบายเลยทีนี้      

น้อยครั้งที่ชายจุกจะได้แวะไปแชมเปญบาร์ อาจจะด้วยราคาต่อแก้วสูงกว่าเครื่องดื่มอย่างอื่น แต่ที่ CRU Champagne Bar at Red Sky Bar ชายไม่อยากพลาดเพราะแค่วิวมุมสูงแบบ 360 องศา ก็คุ้มค่าแล้ว ยิ่งได้ยินว่ามีแชมเปญลับที่ดื่มได้ที่นี่ที่เดียวใยชายจะไม่มาก สายดื่มต้องมา     มาที่นี่ไม่ต้องคิดมาก สั่งแชมเปญบายเดอะกลาสได้เลย โดยเฉพาะแชมเปญลับ MUMM No. 1 Pink Champagne แชมเปญสีชมพูที่พรายฟองยังเป็นสีชมพู ดื่มแล้วโลกเป็นสีชมพูไหมนั้นชายตอบไม่ได้     ไม่เฉพาะแชมเปญลับที่นี่ยังเด่นเรื่องค๊อกเทลที่ใช้แชมเปญเป็นส่วนผสม อาทิ Bangkok Bellini แชมเปญผสมวอดก้าส้มแมนดาริน มะม่วงสุกบด ไซรัปวานิลลา และขิงสไลซ์ หรือ La Vie En Rose ค็อกเทลดีไอวาย แชมเปญหนึ่งแก้ว น้ำสตรอว์เบอร์รีสด วอดก้าราสป์เบอร์รี และเนื้อสตรอว์เบอรี ผสมตามชอบใจว่าอย่างจะกรึ่มแค่ไหน       นอกจากแชมเปญแล้วอาหารก็มีให้เลือกมากมายฉีกแนวแชมเปญบาร์ที่มีเพียงเครื่องดื่ม Assorted Spanish “Joselito” Cured Meats โคลด์คัตหลากหลายชนิด Foie Gras and Chicken Yakitori Skewers ยากิโทริไก่กับฟัวกราส์มาบนเตาย่าง Chicken Tsukune ?eatball เนื้อไก่บดย่าง และ French Fries Truffle Sea Salt มันฝรั่งทอดโรยเกลือเห็ดทรัฟเฟิล                         ชายบอกเลยว่าให้รีบไปตั้งแต่บาร์เปิดนั่งชมฟ้าเปลี่ยนสีแล้วจิบแชมเปญลับให้ฉ่ำใจ

นี่มันบาร์แห่งความหลังสุดนอร์สทาเจียหรือยังไง เห็นแล้วอดีตเกมเมอร์ (ใช่เหรอ) อย่างชายจุกแทบวิ่งเข้าใส่ Hopeland : Arcade Bar with Tiki Drinks & Korean Dishes ชายใช้ชีวิตนักเรียนขาสั้นครึ่งหนึ่งหมดไปกับเกมอาเขต เครื่องเกมนีโอจีโอ เกมสตรีทไฟเตอร์ หรือแพคแมนล้วนผ่านมือชายมาหมดแล้ว ยิ่งโตแล้วก็โหยหาแหละ แว่วว่าที่นี่เล่นฟรีตลอดคืน โอ้ยไม่ไปได้ไงแค่แวะไปดื่มทิกิดริงค์กินอาหารเกาหลีก็ฟินกับเกมได้ยาวๆ     ก่อนมาใจชายยังเสียดายร้านเดิมก่อนหน้านี้ แต่พอได้มาเอาจริงๆ โฮปแลนด์ก็ดีไม่แพ้ร้านเดิมนะ แถมยังนำเอาคัลเจอร์ของนีออนไลท์และกราฟิกตี้จากศิลปินที่สื่อถึงเกมเมอร์มาตกแต่งร้านได้ถึงงานดีไซน์ ภายในร้านมีเกมอาเขต 2 เครื่อง และโต๊ะอาเขตแมชชีน 6 เครื่อง มีเกมให้เลือกเล่นมากกว่า 600 เกม กินไปดื่มไปเล่นไปสนุกเลยทีนี้     ความดีงามคือ Tiki Drinks Culture เครื่องดื่มที่มีเหล้ารัมเป็นเบส ผสมผลไม้สดและเครื่องเทศ มาในแก้วรูปเทพโพลินีเชียน ซึ่งว่ากันว่าดั้งเดิมเสิร์ฟในผลมะพร้าวและสับปะรด ดื่มในงานปาร์ตี้คู่กับหมูหัน แก้วแรกตลกดี สงสัยบาร์เทนเดอร์มีอารมณ์ขัน The Dolphin Next Door (340 บาท) ปลาโลมาใต้ร่มทำจากกล้วยและองุ่น แก้วนี้ทวิสต์จากพีนาโคลาดา ไวท์รัม เบอร์เบิ้น ลิเคียวร์กล้วย ไซรัปแมคคาเดเมีย และกะทิ กลิ่นกล้วยและครีมกะทิมาเต็ม     East Bay Funk Drunk (360 บาท) ล้อกับชื่อท่าสแลมดังค์ในตำนาน ไวท์รัม ดาร์ครัม ลิเคียวร์จากขิงผสมอัลมอนด์และลูกกระวาน เปลือกส้ม น้ำเสาวรส และไซรัปซินนามอน หอมซินนามอนมากหน่อย แต่ถ้าชอบแบบแรงๆ Game Over คือค็อกเทลสุดพีคที่ใช้เหล้า 9 ชนิด ในแก้วเดียว อย่าลืมสังเกตจอ The Bankstock Exchange จอทีวีที่แสดงราคาดริงค์ในราคาพิเศษ เจอราคาไหนถูกใจแนะนำให้สั่งได้เลยได้ราคาดีที่สุดแน่นอน     ส่วนอาหารเป็นอาหารเกาหลีโมเดิร์นที่ชายต้องบอกว่าอร่อย แต่ขอเยอะกว่านี้ได้ไหม 555 Beef Brisket Bao (280 บาท) ไอเดียเดียวกับจินปัง (Jjinppang) ซาลาเปาสไตล์เกาหลี กับเนื้อตุ๋นฝอย กิมจิ และมายองเนส รสดีเลยแหละ     หรือจะลอง Kimchi Jjigae (240 บาท) ซุปกิมจิที่เชฟแอบใส่น้ำส้มสายชูดำของจีนเข้าไปเพิ่มรสชาติ     และ Bulgogi Kimchi Fries (260 บาท) เฟรนช์ฟรายส์ราดกิมจิมาโย ปลาแห้ง และเนื้อย่าง บอกเลยว่าเนื้อย่างคือตัวชูโรง     ระหว่างกินอย่าลืมเล่นเกมนะเพราะเป็นไฮไลท์เลย แพคแมน เตอร์ติส ดองกี้คอง สตรีทไฟเตอร์ เทคเคน และเมทัลสลัค โอ้ยนอร์สทาเจียมาก

ชายจุกเคยแวะเวียนมาที่ Riedel Wine Bar & Cellar ก่อนหน้านี้ ชายปลื้มกับไวน์บายเดอะกลาสจากดิสเพนเซอร์ (ตู้แช่ที่ไม่ให้น้ำไวน์ที่เปิดแล้วทำปฏิกิริยากับอากาศ) ส่วนอาหารคราวก่อน ชายว่าเชฟทำออกมาซับซ้อนเกินไป การได้ตัวเชฟแพทริค มาร์เทนส์ (Patrick Martens) มาแทนจึงเป็นจุดเปลี่ยนของที่นี่       เชฟแพทริค เป็นอดีตเชฟคนแรกของ Zuma กรุงเทพฯ ก่อนไปร่วมงานกับทางสับปะรดกรุ๊ป (Rocket, U.N.C.L.E, Lady Brett) ซึ่งชายว่าครั้งนั้นเชฟก็คือคนเปลี่ยนแปลงสับปะรดเช่นกัน ชายถึงบอกว่ายอมตายถ้าอาหารจะดีขนาดนี้ เชฟแพทริคไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมา เพียงแค่ทำให้มันง่ายขึ้น กินง่ายขึ้น รสชาติดีขึ้น และที่สำคัญไปได้ดีกับไวน์ที่ทางซอมเมลิเย่ ธวัช สารกอง จะคอยช่วยแนะนำ     เชฟแพทริค บอกกับชายว่า อาหารของเขาเป็นสไตล์ยูโรเปี้ยน เน้นวัตถุดิบคุณภาพ อาศัยเทคนิคการย่างและอบเป็นหลัก ให้วัตถุดิบเล่าตัวเอง Roasted Farm Chicken ไก่ที่ย่างมาเนื้อฉ่ำๆ กินกับกระเทียมดำในน้ำมันทรัฟเฟิล แต่ส่วนตัวเฉพาะเนื้อไก่ก็ดีแล้ว จานนี้แนะนำว่าได้ทั้งไวน์ขาวและแดง อย่างชาดอนเน่ที่ฟูลบอดี้หรือคิอันติ     Rainbow Trout, Whole en Papilotte ปลาเทราต์ทั้งตัวอบในกระดาษที่เต็มไปด้วยมะกอก มะนาว ผักชีลาว มะเขือเทศ แค่นี้ก็อร่อยแล้ว เนื้อปลาฉ่ำๆ แกล้มกับมะกอกรสเค็มอ่อนๆ หรือกินกับเกลือจากไอร์แลนด์ที่เป็นไอเท็มหนึ่งที่เชฟแนะนำ แนะนำชาดอนเน่ที่ไม่โอ๊ค หรือซาวิยองบลอง     Polmard Beef Mini Burger เชฟเลือกใช้เนื้อวัวจากบุชเชอร์ในปารีสที่ชื่อว่า Polmard ซึ่งมีฟาร์มเป็นของตัวเอง เรียกว่าทุกขั้นตอนควบคุมมาอย่างดี รวมถึงการเอจจิ้งเนื้อวัว เชฟว่าเนื้อวัวมีกลิ่นรสคล้ายบลูชีสจึงนำมาทำเบอร์เกอร์ใส่บลูชีส แนะนำไวน์หวานที่เข้ากับบลูชีส     และ Stracciatella Bottarga ชีสแบบบูราต้าที่อายุน้อยในชื่อ Stracciatella เนื้อฉ่ำๆ นุ่มๆ กับน้ำมันมะกอกรมควันและไข่ปลา ให้รสครีมและเค็มนำ เข้ากับไวน์ชาดอนเน่โอ๊คๆ     แต่ถ้าใครแวะมาเพื่อดื่มไวน์เตรียมซื้อการ์ดเติมเงินมาเสียบเครื่องดิสเพนเซอร์ได้เลย มีไวน์ให้เลือก 40 เลเบล ไวน์ขาว 2 ตู้ 16 เลเบล และไวน์แดง 3 ตู้ 24 เลเบล สลับเปลี่ยนหมุนเวียนเลเบลไปเรื่อยๆ แถมมี 3 ขนาดให้ตัดสินใจ ชิม 30 มิลลิลิตร ประมาณ 1 จิบ ให้พอรู้รส ชอบมากหน่อย 75 มิลลิลิตร แต่ถ้าติดใจตัวนี้แล้ว 150 มิลลิลิตรก็เต็มอิ่มดี 

เหยเอาจิงดิ “บาร์เทนเดอร์หญิงล้วน” บาร์แบบนี้มีอยู่จริงที่ Highball Bangkok ชายจุกขอบอกเลยว่าไม่ใช่บาร์แบบที่คุณคิดอย่างแน่นอน ด้วยความตั้งใจของแบรนด์ Highball Singapore ซึ่งเป็นต้นแบบของที่นี่     “โลกของบาร์มีแต่ผู้ชาย นึกถึงบาร์ก็มีแต่ผู้ช่ายเด่น เราต้องการพื้นที่ให้ผู้หญิงในอุตสาหกรรมบาร์ ได้มีเวทีของตัวเอง ซึ่งเป็นการสร้าง Female Empowerment ขึ้นมาให้วงการบาร์ เราอยากปั้นน้องๆ ให้ทำได้ทุกอย่างในบาร์ เมื่อมีคนอยากได้ตัวไปร่วมงานเราถือว่าประสบความสำเร็จ อยากให้ที่นี่เป็นอะคาเดมี่ ที่นี่ยังสะดวกสำหรับสาวที่ชอบดื่มคนเดียว มาที่นี่ก็เหมือนมาเจอเพื่อนสาว” คุณมด-มินทร์สรา ภูมิจิตร หนึ่งในหุ้นส่วนบอกถึงคอนเซปต์ของไฮญบอล       และก็ดูเหมือนไฮญบอลเริ่มต้นได้ดีด้วยการส่งบาร์เทนเดอร์ 3 จาก 6 คน ของร้านผ่านเข้ารอบการแข่งขันทำค็อกเทลของเปริเอ้ พูดถึงบาร์เทนเดอร์หญิงล้วนแล้วก็คงต้องพูดถึงบาร์เทนเดอร์หลัก 2 คน สายไหม นันทรัตน์ และจิ๊บ-ธนัญญา เสมอมา รุ่นพี่ในวงการบาร์ที่จะคอยดูแลน้องๆ หน้าใหม่ที่เริ่มต้นทำบาร์มาได้ไม่นาน     นอกจากจุดเด่นเรื่องบาร์เทนเดอร์หญิงล้วนแล้ว อีกจุดเด่นคือเครื่องดื่มประเภท Highball เครื่องดื่มยอดนิยมของคนญี่ปุ่นที่นำเอาสปิริตอะไรก็ได้มาผสมกับคาร์บอเนต อาทิ วิสกี้กับโซดา เหล้ารัมกับโค้ก จินกับโทนิค ไม่เพียงจุดเด่นเรื่องนี้ ที่นี่ยังมีเครื่อง Jim Beam Machine เครื่องแรกและเครื่องเดียวในกรุงเทพฯ คล้ายเบียร์แทปแต่เป็นเบอร์เบิ้นและคาร์บอเนตที่ผลิตจากน้ำกรอง (ซึ่งพรายฟองนุ่มละมุนกว่าโซดาทั่วไป) เป็นเครื่องที่ออกแบบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่คำนวณส่วนผสมที่ลงตัวของเบอร์เบิ้นและคาร์บอเนต     ไฮญบอลแนะนำเป็น Yuzu Highball (220 บาท) เบอร์เบิ้นผสมคาร์บอเนตจากแทป และน้ำส้มยูสุกับยูสุพิวเร รสเปรี้ยวหอมของยูสุ ซ่อนด้วยรสของเบอร์เบิ้นและพรายฟองนุ่มๆ     แต่มาที่นี่ก็ต้องลอง #Highballgirls Collection จากบาร์เทนเดอร์สาวตัวหลักอย่าง สายไหม จิ๊บ และคิโน (Kino) หุ้นส่วนชาวสิงคโปร์ของร้านนี้ เธอยังเป็นบาร์เมเนเจอร์ของไฮญบอล สิงคโปร์ ด้วย โดยเธอได้คิด Asoke Highball (250 บาท) ซิกเนเจอร์ของเธอขึ้นมา วอดก้าผสมน้ำบ๊วย น้ำลิ้นจี่ เลมอน ใบมะกรูด และคาร์บอเนต เราแนะนำแก้วนี้ดีงามมาก และอีกแก้ว สายไหมบอกว่าทางร้านคิดขึ้นมาเพื่อลูกค้าประจำสาวคนหนึ่งที่มีคาแรกเตอร์ของตัวเองที่ชัเจน เธอชื่อ Yolanda (250 บาท) ไฮญบอลสีส้มจากเตกีล่าผสมแอปเพอราทีฟ น้ำยูสุ และคาร์บอเนต ชายว่ารสชาติซับซ้อน     อีกข้อแตกต่างของไฮญบอลยังอยู่ที่มีอาหารกินเล่นและกินจริงเรียงรายมาแบบอร่อยไม่แพ้เครื่องดื่ม อาทิ ไฮญบอลเกิร์ลสลัด ไก่ตะไคร้พันเบคอน ชีสสติ๊ก และหอยแมงภู่อบชีส           รีบไปกันนะ ชายบอกได้คำเดียวว่าคิ้วท์มาก

“ชื่อร้านไม่มี และนิยามตัวเองเป็นบาร์ลับ” ข้อมูลเรามีแค่นี้จริงๆ อ้อมีอีกคำใบ้มาเป็นแฮชแทค #FindTheLockerRoom แหม่มาถึงโครงการ Arena 10 ขึ้นชื่อว่าสนามฟุตบอลต้องมีล็อคเกอร์ชัวร์ ใครไปไม่ถูกก็บ้าแล้ว แต่เอาเข้าจริงอยู่ตรงไหนล่ะ เราแอบติดสติ๊กเกอร์ของ Gourmet & Cuisine ไว้เป็นจุดสังเกตแล้วแหละไปมองหาได้เลยล็อคเกอร์ไหนมีก็คือใช่ ทางบาร์ฝากบอกว่าถ้าเจอล็อคเกอร์แล้วก็ทะนุถนอมมันหน่อยเดี๋ยวทางเข้าลับจะพังไปเสียก่อน สารภาพว่าถ้าวันนั้นไม่เจอหนึ่ง-รณภร คณิวิชาภรณ์ แชมป์บาร์เทนเดอร์เวิล์ดคลาสปีล่าสุดและหุ้นส่วนร้าน ชายจุกก็ยังหาไม่เจอ     หนึ่งเล่าให้ฟังว่า ทุกอย่างที่เห็นตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้ จินตนาการก่อนหน้านี้ล้ำมากเท่าที่ชายฟังมา กะว่าจะให้ลูกค้าผ่านเข้ามาในร้านอาหารผ่านครัวเข้ามาก่อนแล้วบาร์ลับก็ซ่อนอยู่ในครัวอีกชั้น แต่คิดว่าคงวุ่นวายน่าดู ไหนจะต้องผ่านเชฟที่กำลังปรุงอาหาร ไหนจะเด็กเสิร์ฟ เละแน่นอน ก็เลยดูผังของร้านมันก็ซ่อนตัวอยู่หน่อยๆ แล้วเลือกว่าจะใช้ตรงไหนเป็นทางเข้า บังเอิญว่าตรงนี้เป็นล็อคเกอร์เก็บของอยู่แล้ว จากล็อคเกอร์จึงกลายเป็นทางเข้าไปโดยปริยาย ก็เลยเล่นกับการมองหาล็อคเกอร์ ใครจะมาดื่มก็หาล็อคเกอร์ละกัน       ใครเป็นแฟนค็อกเทลห้ามพลาดที่นี่ เพราะเป็นการรวมตัวของเทพด้านค็อกเทล นอกจากหนึ่ง แชมป์เวิล์ดคลาสปีล่าสุดแล้ว ยังมีหุ้นส่วนระดับตำนาน ฮิเดสึกุ อูเอโนะ (Hidetsugu Ueno) จาก Bar High Five โตเกียว โคลิน เชีย (Colin Chia) จาก Nutmeg & Clove สิงคโปร์ และ นิค วู (Nick Wu) จาก East End ไทเป และที่เก๋คือทุกคนช่วยกันคิดค็อกเทลร่วมกัน หนึ่งบอกว่าอูเอโนะคือเทพของคลาสลิกค็อกเทล สูตรคลาสลิกค็อกเทลทั้งหมดจึงตั้งต้นจากอูเอโนะ ส่วนโคลินและนิคช่วยกันปรับสูตรที่ดีที่สุดของอูเอโนะให้เป็นคลาสลิกทวิสต์ สปิริตหลักยังคงเหมือนกันแต่ปรับนั่นนี่อีกหน่อย ส่วนของหนึ่งจะเป็นโมเดิร์นทวิสต์ ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้สปิริตตั้งต้นเหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ ว่าตามใจหนึ่ง แต่ตอนนี้ค็อกเทลของหนึ่งเสร็จและมีให้ดื่มเพียง 2 ตัว ด้วยภารกิจตัวแทนประเทศไทยไปแข่งเวิล์ดคลาสที่เม็กซิโกซิตี้     Bloody Mary (360 บาท) ของอูเอโนะซังคือที่สุด ชายไม่เคยชอบก็ยังปลื้ม แถมนวัตกรรมกระบอกเชคพลาสติกและเทคนิคเชคอันนุ่มนวลก็ทำให้ค็อกเทลออกมาดี     ส่วนเวอร์ชั่นของนิค วู The Harakiri  (390 บาท) ใช้วอดก้าแต่ทำให้ดื่มง่ายขึ้นด้วยเหล้าบ๊วย ชาเขียว เกลือ และน้ำตาลบ๊วย ชายชอบที่สุด     ปิดท้ายที่ Bloodless Maria (390 บาท) บอกว่าสีเลือดหายไปก็ได้ กลายเป็นบลัดดี้แมรี่ในเวอร์ชั่นขาวใส ใช้เตกีล่าเป็นหลักกับมะเขือเทศตากแห้งที่นำไปซูวีกับเวอร์มุท ทาขอบแก้วด้วยมิโซะและชิโสะแห้ง เพิ่มความอุมามิ     ค็อกเทลคลาสลิกต่อมาเป็น French Connection (360 บาท)ค็อกเทลที่ดื่มหลังมื้ออาหาร มีเพียงคอนยัคและลิเคียวร์อัลมอนด์ ซึ่งชายได้ชิมฝีมืออูเอโนะ ดีแบบรอให้คุณลุงกลับมาชงอีกรอบ     ส่วนคลาสลิกทวิสต์เป็น Smoking Connection (390 บาท) ยืนพื้นเหมือนกันแต่เติมเหล้าเฮเซลนัท ไซรัปชาเอิร์ลเกรย์ รมควันด้วยใบชาเอิร์ลเกรย์     และที่ล้ำสุดก็ต้องของหนึ่ง Nuts Over Michelin (390 บาท) พลิกโฉมสปิริตฟอร์เวิร์ดที่ดื่มยากให้ดื่มง่าย เมื่อพูดถึงฝรั่งเศส หนึ่งบอกว่านึกถึงอาหารจึงนำเอาฟัวการ์มาใช้ด้วยเทคนิค Fat Wash กับคอนยัค ไซรัปอัลมอนด์งาดำ ไข่ขาว และน้ำเลมอน   และค็อกเทลอีกตัวที่ชายทราบมาว่าอูเอโนะทำได้ดีคือ White Lady ค็อกเทลนี้มี 2 สูตร ใช้และไม่ใช้ไข่ขาว สูตรอูเอโนะไม่ใช้ มีเพียงจิน เหล้าส้ม และน้ำเลมอน ส่วนนิคเป็น The Lady’s Martini เหมือนอูเอโนะแต่เพิ่มเวอร์มุทอินฟิวกับเก็กฮวยและเปลือกเลมอนเข้ามา ส่วนของหนึ่ง She Was Ice Cold  ยังไม่สมบูรณ์แต่แย้มมาว่าต้องกินคู่ไอศกรีม รอหลังเดือนสิงหาคม เช่นเดียวกับค็อกเทลอื่นๆ ของหนึ่ง

ชายจุกคิดว่าวัตถุดิบท้องถิ่นกำลังได้รับความนิยมจากทั้งเชฟไทยและเชฟชาวต่างชาติ แต่ความน่าสนใจไม่ได้มีเพียงเท่านั้นกลับอยู่ที่วิธีคิดของเชฟมากกว่าว่าจะนำไปปรุงอาหารอะไรออกมา ซึ่ง Canvas ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น     แคนวาส เป็นร้านอาหารและบาร์ในเครือเดียวกันกับ Rabbit Hole ภายใต้คนที่ชายคุ้นเคยกันดี มีเพียงเชฟไรลีย์ แซนเดอร์ส (Riley Sanders) เท่านั้นที่ชายได้เจอครั้งแรก หลังจากพูดคุย ชายว่าเชฟไรลีย์ค่อนข้างเก่งทีเดียว มีแพชชั่นและไอเดียที่แปลกแหวกแนวในการทำอาหาร อาจด้วยประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวจากในครัวมาอย่างยาวนาน ทำให้เขาฉายแววเด่นทั้งที่วัยยังไม่ถึง 30 ดีด้วยซ้ำ เขาผ่านประสบการณ์ในร้านอาหารมานับไม่ถ้วน รวมถึงการหาความรู้เพิ่มเติม จนเขาเริ่มรู้สึกว่าครัวคือสนามเด็กเล่นเรื่องวัตถุดิบ และเช่นเดียวกับที่แคนวาสที่ไรลีย์ตั้งต้นไอเดียทั้งหมดจากวัตถุดิบ และเขากล้าการันตีว่าใช้วัตถุดิบท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 90%      จุดเด่นของแคนวาสอยู่ที่ครัวเปิดที่ล้อมรอบด้วยเคานเตอร์สำหรับลูกค้าที่จะได้เห็นทุกการทำงานของเชฟ รวมถึงค็อกเทลบาร์บริเวณชั้น 2 ที่ได้คุณยอด-ณภัทร ณัฐชาชล หนึ่งในทีมบาร์จาก Rabbit Hole มาช่วยดูแลค็อกเทลของที่นี่ ซึ่งคุณยอดออกแบบรสชาติให้มีสมดุลกับอาหาร Canvas Martini มีเบสมาตินี่อย่างจิน เวอร์มุท แต่ล้ำด้วยวินิการ์ว่านหางจรเข้ มาคู่กับมะกอกดองน้ำมะขามและน้ำผึ้ง Gin Tonic นำเอาความเด่นของผลไม้ไทยอย่างมังคุดไปทำชรับป์ ผสมกับจินและโทนิค Soothe my soul คอนยัคอินฟิวกับใบเนียม ผสมสวีทเวอร์มุท กาแฟ รมควันด้วยโปยกั๊ก และ Why by the glass ชีราส เวอร์มุท และเชอรี่ ผสมกับจินอินฟิวจำปี   Canvas Martini   Gin Tonic   Soothe my soul   Why by the glass   มาที่อาหารของไรลีย์ Tomatoes & Trout Roe ไอเดียมาจากส้มตำแต่มีเต้าหู้หลากหลายเนื้อสัมผัสเป็นจุดเด่น ฟองเต้าหู้ ผงถั่วเหลือง และเต้าหู้ทอด     Charred Sweet Corn, Crushed & Thicked with its milk ไอเดียมาจากอาหารเม็กซิกัน ข้าวโพดย่างกับชีส มะนาว และพริก แต่จานนี้ล้ำกว่าด้วยข้าวโพดท้องถิ่นที่ทำออกมา 7 สัมผัส กับชีสจากเชียงราย พริก น้ำปลา และไข่แดง     Mud Crab & Lotus รากบัวสด รากบัวทอด เนื้อปู และซอสสาหร่ายแม่น้ำ ให้กลิ่นรสของทะเลที่ดี     Meklong Catfish, Caramelized with Tamarind มองผิวเผินนึกว่าปลาไหลญี่ปุ่น ยิ่งได้กินยิ่งเชื่อว่าเป็นปลาไหลญี่ปุ่น แต่ที่ไหนได้ปลาดุกแม่น้ำแม่กลองนี่เองที่เชฟปรุงออกมาให้เนื้อสัมผัสที่ดีมากเคลือบผิวด้วยน้ำมะขามย่างเตาถ่าน มาพร้อมโฟมมะพร้าว มะอึกย่าง มะอึกดอง องุ่น และใบชิโสะไทยพิวเร     Pigeon & Roasted Watermelon จานนี้ก็แปลกเก๋ เนื้อนกพิราบปรุง 2 แบบ กงฟีและนาบกระทะ กินกับแตงโมห่อใบเมี่ยง ราดด้วยซอสน้ำนกพิราบผสมขิง หอมแดง ข่า และน้ำแตงโม     และห้ามพลาด Lamb Neck & Blood Clam ถ้าให้คิดตามเราจะนึกถึงร้านส้มตำ แต่ถอดรื้อออกมาได้แหวกแนวมาก สันคอแกะ หอยแครง และสะตอ ที่ให้วัตถุดิบหลักสามตัวแข่งขันกันเรื่องกลิ่นรส เชื่อว่าใครชอบชอบเลยจานนี้      เร็วๆ นี้แคนวาสเตรียมออกเทสติ้งเมนู 10-15 คอร์ส ที่ไม่เหมือนเมนูปกติของร้าน ราคาอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท 

Bangkok Heightz Restaurant & Bar น่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งร้านที่ชายจุกการันตีว่าดังแน่นๆ เฉพาะที่ตั้งบนชั้นสูงสุดกลางย่านอโศกก็เรียกร้องความสนใจได้ไม่น้อยแล้ว  ที่นี่รวมเอาความเป็นไทยตั้งแต่อาหารข้างทางและค็อกเทลไทยๆ เอาไว้ด้วยกัน แถมดีไซน์ก็สวยเก๋และสะท้อนความเป็นท้องถนนของเมืองกรุง สายไฟระโยงระยางเหนือเพดาน ภาพกรุงเทพฯในอดีต และหาบเร่ใต้ต้นไม้ ที่ล้วนบอกความเป็นกรุงเทพฯ แถมยังมีมุมนั่งดูพระอาทิตย์ตกที่มองเห็นถนนสุขุมวิทสุดลูกหูลูกตา  Bangkok Heightz มาถูกจังหวะในช่วงเวลาที่สตรีทฟู๊ดของไทยได้รับความนิยมไปทั่วโลก แถมแบรนด์สปิริตไทยไม่น้อยก็ได้รับการยอมรับจากบาร์เทนเดอร์ ทำให้คิดค๊อกเทลที่มีความเป็นไทยออกมาได้ดีงามกว่าสมัยก่อน ค๊อกเทลของที่นี่ตั้งตามชื่อของถนนและสื่อความเป็นไทย Mai Ya Rap วิสกี้ไทยผสมด้วยเหล้าส้ม น้ำมะนาว น้ำลิ้นจี่ และผิวมะกรูด เขย่ารวมกัน ก่อนเพิ่มกลิ่นหอมด้วยผิวมะกรูดขูด Rama9 แก้วสแตนเลสห่อด้วยใบตอง ใช้เหล้ารัมไทยผสมเหล้าสมุนไพรที่กินแล้วช่วยย่อย เหล้าบ๊วย ไซรัปมะขามโฮมเมด และน้ำมะนาว และแก้วสุดท้าย Muay Thai Mule ถ้วยเงินบุลายมาพร้อมพวงกุญแจรูปนวม สั่งปุ๊บได้นวมกลับบ้านปั๊บ เป็นจินอินฟิวกับพริก น้ำมะนาว จิงเจอร์เบียร์ และขิงบด อาหารที่กินเข้ากับค๊อกเทลเป็น เนื้อย่างจิ้มแจ่ว เนื้อวัวออสเตรเลียนนุ่มๆ ย่างจนหอม กินกับแจ่วผสมน้ำมะขาม หรือลอง ผัดไท สตรีทฟู๊ดยอดนิยม ปลาหิมะราดพริก และแกงเผ็ดเป็ดย่าง 

DUKE Contemporary Art Space อาร์ตสเปซในเครือ Water Library ที่ชายจุกว่ามันดีงาม เออคิดได้อย่างไรแกลเลอรี่กับบาร์ มันดูเก๋ดูเท่ ที่สำคัญชายสืบทราบมาว่าวันเปิดตัวนิทรรศการศิลปะชิ้นใหม่ก็จะขนเอาสปิริต ซิงเกิ้ลมอลต์ และไวน์ ที่หาดื่มยากออกมาให้ได้ชิมเคล้ากับงานศิลปะ สุขกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แรกเริ่มที่ชายมาถึงเป็น Exhibition Hall พื้นที่แสดงนิทรรศการศิลปะที่ปรับเปลี่ยนเป็นประจำทุกเดือน ลึกเข้ามาเป็น Creativity Space ให้คนเสพย์งานศิลป์มาปาร์ตี้กันในวันเปิดตัวงานนิทรรศการชิ้นใหม่ Cigar Lounge ห้องรวมซิการ์และซิงเกิ้ลมอลต์ และ Private Room สำหรับสมาชิก บาร์ของ DUKE Contemporary Art Space รวมเอาไวน์ ซิงเกิ้ลมอลต์ ซิงเกิ้ลเกรน และเบียร์ ในคอลเลคชั่นที่ไม่เหมือนใคร โดยมีซอมเมลิเย่เลือกเอาคอลเลคชั่นพิเศษและมีขายเฉพาะที่นี่มาให้ได้ชิม อาทิ The Journal-Sonoma Coast พีโนนัวร์ที่ผลิตมาให้ทาง Water Library โดยเฉพาะ ความพิเศษอยู่ที่บ่มนาน 3 ปี ในเฟรนซ์โอ๊ค Reference Book Napa Valley 2012 คาบาเน่ซาวิยองจากนาปาวัลเล่ย์ที่กลิ่นรสอยู่ในปากอย่างยาวนาน  ที่นี่ไม่ได้เด่นแค่ไวน์ Calvados Days D’Auge Lecompte ที่กลั่นจากแอปเปิ้ลในเขตคาวาดอส ก็พรีเมี่ยมมาก บ่มนาน 5 ปี ก็รสดี แถมยังมี 12, 18, 25 ปี เป็นทางเลือก แต่ที่ดีที่สุดต้องพรีเมียม 60 ปี ซึ่งหวังว่าน่าจะกำลังพยายามหามาให้ได้ชิมกันในอนาคต และ J.Dupont Grand Champagne 1st Cru De Cognac คอนยัคจากแคว้นแชมเปญที่ดื่มแบบออนเดอะร็อคได้ดีทีเดียว

Vanilla Sky เป็นนิยามสีสันของท้องฟ้าที่ต้องบอกว่าสวยจับใจจนกลายเป็นชื่อของ Vanilla Sky Rooftop Bar ชั้นดาดฟ้าของโรงแรม Compass SkyView Hotel ซึ่งชายจุกเห็นด้วยกับชื่อนี้ เพราะเป็นเช่นนั้นจริงๆ  วานิลลาสกายมีความชิลล์ด้วยบรรยากาศเปิดโล่งแบบรูฟทอปบาร์ ลมเย็นสบาย และท้องฟ้าสีสวยใกล้ช่วงพลบค่ำ ชายว่าโรแมนติกดี ที่นี่ได้คุณรอน รามิเลส บาร์เทนเดอร์ชื่อดังมาช่วยดีไซน์รสชาติของค๊อกเทลให้โดยนำเอาความเป็นเอเชียใส่เข้าไปด้วยการอินฟิวกลิ่นรสของวัตถุดิบเอเชียลงไปในสปิริตต่างๆ  แนะนำให้ลอง Taste of Asia หนึ่งในซิกเนเจอร์มาร์ตินี่ ผสมจากวอดก้า ไซรัปใบมะกรูด น้ำลิ้นจี่ และพริกไทยดำ แต่งด้วยดอกบัว Berry G&T จินกับราส์พเบอร์รี่บด น้ำมะนาว และโทนิค จินโทนิคที่เติ่มกลิ่นรสของเบอร์รี่เปรี้ยวๆ ลงไป Mojjo’Jito โมฮิโต้แนวใหม่ นอกจากรัม น้ำมะนาว และใบมินท์ ยังเพิ่มมิกซ์เบอร์รี่ชุฟ น้ำสตรอว์เบอร์รี่ และโซดาเข้ามาด้วย ให้ความเปรี้ยวซ่าและหอมเบอร์รี่นวลๆ และตัวสุดท้าย Lamborghini ที่อลังการด้วยไฟลุกโชน