เชื่อว่าคนรักเหล้าบ๊วยหรืออูเมะชู (Umeshu) คงต้องเคยได้ยินชื่อของ PrumPlum Umeshu Bar บาร์ไซส์มินิที่เพิ่งฉลองครบรอบสองขวบปีไปหมาดๆ กันอย่างแน่นอน และถึงแม้จะมีขนาดพื้นที่ไม่มาก แต่คุณภาพกลับคับแก้วด้วยเครื่องดื่มที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะเหล้าบ๊วยที่มีให้เลือกชิมกว่า 100 ชนิด ร่วมด้วยเหล้าผลไม้ที่หมุนเวียนมาให้ลองกัน ตั้งแต่เหล้าส้มยูซุรสเปรี้ยวหอมไปจนถึงเหล้าพีชรสนุ่ม       นอกจากความพิเศษของเครื่องดื่มที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายแล้ว ความรู้ก่อนจิบก็ไม่ได้ขาด เพราะเราสามารถพูดคุยปรึกษาตามหารสชาติ (และเหล้า) ที่ชอบกันได้ แต่สำหรับนักดื่มมือใหม่อาจจะสั่งเป็นเซ็ตเพื่อทดลองกันก่อน อย่างครั้งนี้เราได้ลอง Nakano Set เซ็ตเหล้าบ๊วย 3 สี 3 รสที่เกิดจากการเพิ่มส่วนผสมลงไประหว่างการทำเหล้าบ๊วย ได้แก่ สีเหลืองทองที่ได้จากน้ำผึ้งเด่นที่รสหวานหอมนุ่ม สีแดงได้จากใบชิโสะแดงให้รสหวานกลมกล่อม และสีเขียวจากชาเขียวที่ให้กลิ่นหอมและรสเฝื่อนๆ ปิดท้าย       หลังจากลองเหล้าบ๊วยกันแล้วก็อย่าลืมสั่งอาหารจานเล็กราคาน่ารักมากินแกล้ม ไม่ว่าจะเป็น Tako Wasabi (100 บาท) ปลาหมึกดองวาซาบิเคี้ยวหนึบรสเปรี้ยวเผ็ดจมูก Tataki Kyuuri (80 บาท) สลัดแตงกวาในน้ำมันงาและมิโสะ Edamame (60 บาท) ถั่วแระญี่ปุ่นเคี้ยวเพลิน     แต่ถ้าอิ่มแบบหนักๆ ก็อาจจะเริ่มด้วย Tori Kara-age (120 บาท) ไก่ทอดคาระเกะชิ้นพอดีคำเคี้ยวกรุบกรอบ เติมความจี๊ดจ๊าดด้วยมะนาว ก่อนจะจิ้มกับทาร์ทาร์ซอส ตามด้วย PrumPlum Skewer Set (180 บาท) ที่รวมของเสียบไม้ย่างสุดอร่อยแบบไม่ต้องเลือกให้เสียเวลา เพราะมาทั้งไก่ย่างมิโสะเนื้อนุ่ม ไก่ย่างเทอริยากิหอมกรุ่น หมูสามชั้นย่างเกลือเค็มๆ มันๆ เห็ดชิตาเกะย่าง และกระเจี๊ยบย่าง       แล้วอย่าลืมสั่ง Yakisoba Bacon (160 บาท) ยากิโซบะผัดกับเบคอนเด่นที่ความหอมของกระทะติดจมูก และเมนูล่าสุดอย่าง Oden ลูกชิ้นรวมเสิร์ฟร้อนๆ ในชามใบเล็กปิดฝา แล้วพลางจิบ House Blend Umeshu เหล้าบ๊วยสูตรพิเศษของทางร้านที่เพียงได้ลองก็ปิดมื้อนี้อย่างมีความสุขแล้ว    

หลังจากปิดร้านไปพักใหญ่พร้อมเสียงบ่นเสียดายของบรรดาแฟนประจำ เด็กหนุ่มที่สลัดความเยาว์วัยเพื่อเป็นชายหนุ่มเต็มตัวคนนี้กลับมาอีกครั้งด้วยภาพลักษณ์ใหม่ที่เราลงความเห็นว่ายังคงความเท่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความนิ่งและสุขุมแบบผู้ใหญ่ซึ่งถ่ายทอดผ่านบรรยากาศร้านที่กว้างขวางนั่งสบายไปจนถึงเมนูอาหารใหม่ๆ ที่คัดสรรมาแล้วว่ากินคู่กับเบียร์ได้อย่างลงตัว         ที่สำคัญจำนวนคราฟต์เบียร์ซิกเนเจอร์ที่เพิ่มมากขึ้นถึง 12 ชนิด ก็ยิ่งทำให้ “Let The Boy Die” กลายเป็นสวรรค์ของเหล่าคนรักคราฟต์เบียร์ทั้งหลาย โดยเบียร์เด่นๆ ของที่นี่หนีไม่พ้น Happy Stout เบียร์ดำรสนุ่มที่มีรสสัมผัสของช็อกโกแลต วานิลลา และเกาลัด รวมทั้ง Peach Red Ale และ Passion Fruit Weizen เหมาะกับคนชอบกลิ่นหอมของผลไม้รสเปรี้ยว         เมื่อเลือกเบียร์กันได้แล้วก็ถึงเวลาสั่งเมนูเด็ดมาเพิ่มความ(อิ่ม)อร่อย เราแนะนำให้เริ่มด้วย German Sausage ไส้กรอก 3 สหายที่มีทั้งไส้กรอกเยอรมัน ไส้กรอกเนื้อลูกวัว และไส้กรอกพริกไทยดำ กินกับซาวต์เคราช์สูตรเฉพาะ Grill Pork’s Neck คอหมูย่างแบบไทยๆ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มรสแซ่บจัดจ้าน Buffalo Wings ไก่ทอดกรอบนอกนุ่มใน รสเผ็ดนิดๆ กินเพลิน และ Pork Knuckle ขาหมูเยอรมันหนังกรอบเนื้อนุ่มที่ต้องบอกว่าเข้ากับเบียร์สุดๆ           แต่ถ้ายังไม่อิ่มลองสั่ง Dead Boy Burger ขนมปังชาร์โคลประกบเนื้อโคขุนโพนยางคำส่วนสันนอกติดมันบดพิเศษ เบคอน ชีส และแตงกวาดอง เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดมากินอีกจานเป็นอันฟิน  

เมื่อก้าวเข้ามาบนชั้น 56 ของวอลดอร์ฟ แอสโทเรียโรงแรมใหม่สุดหรูบนถนนราชดำริ ก็รู้สึกตื่นตะลึงกับวิวเมืองหลวงอันงดงาม รวมทั้งบรรยากาศของบาร์ตกแต่งสไตล์อาร์ตนูโวสวยงาม มีโต๊ะทำงานเปื้อนสี ภู่กัน หลอดสีและจานสี เหมือนห้องทำงานของศิลปิน         “เดอะลอฟท์” ได้แนวคิดจากวอลดอร์ฟบาร์ในนิวยอร์ค เครื่องดื่มได้แรงบันดาลใจจาก “วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย บาร์บุ๊ค” สมุดบันทึกค็อกเทลยอดนิยมของบาร์มาตั้งแต่ปี 2478 ที่นี่จึงมีทั้งซิกเนอเจอร์ค็อกเทลที่ห้ามพลาด และคลาสสิคค็อกเทลซึ่งเติมความทันสมัยให้รสชาติด้วยการใช้ส่วนผสมโฮมเมด โดยหัวหน้าบาร์เทนเดอร์รูปหล่อฝีมือดี “มิเคอเล มอนทัวติ”       สำหรับคอค็อกเทลต้องลอง Waldorf ซิกเนเจอร์ค็อกเทลสูตรจากนิวยอร์ค ใช้เหล้าหลายชนิดทั้งเบอร์เบิร์น สวีทเวอร์มุท และวิสกี้อินฟิวส์กับเบซิล ใส่เมเปิ้ลไซรัป และช็อกโกแลตให้กลิ่นหอมน่าดื่ม หากชอบจิบแบบสดชื่นให้สั่ง Whiskey Smash ที่ใช้วิสกี้กับใบมิ้นท์ หอมกลิ่นส้มแทงเจอรีน และมะนาว       หากชอบกลิ่นสดชื่นของสับปะรดต้องสั่ง Waldorf Claret Cup ที่มีทั้งคอนยัค ไวน์ และน้ำมะนาวสดชื่น และอีกแก้วคือ Mamie Taylor ที่มีส่วนผสมของสก็อตวิสกี้ เวอร์มุท บิทเทอร์ จิงเจอร์เอลและไข่ขาวเป็นโฟมนุ่มๆ       ส่วนอาหารเน้นที่กินง่ายเหมาะกับเครื่องดื่ม อย่างเช่น Charcuterie โคลคัทคุณภาพดีจัดเรียงสวยงามเสิร์ฟมาบนถาด มีเป็ดตุ๋นจนนุ่มฉีกเป็นเส้น และฟัวกราส์ปาเต้เนื้อเนียน รสเข้มข้นเข้าคู่กับเครื่องดื่มได้ดี     Beef Tartar ทาร์ทาร์เนื้อสับปรุงรสอร่อย ท๊อปด้วยไข่แดงนกกระทาเพิ่มความมัน และตัดรสด้วยเคเปอร์ ส่วนสาวๆ ควรสั่ง Tiger Prawn Cocktail ใช้กุ้งไซส์จัมโบ้ตัวใหญ่เนื้อหวานเด้ง เสิร์ฟในแก้วทรงสูงกับอโวคาโดและผักสลัด ราดซอสค็อกเทลรสเปรี้ยวอมหวาน       สุดท้ายคือ Jumbo Crab Cake แครปเค้กเนื้อปูก้อนใหญ่ ทอดมาได้กรอบนอกนุ่มใน ปรุงรสกำลังดี ได้กลิ่นหอมและรสหวานของเนื้อปูเต็มๆ คำ     จิบเครื่องดื่มแกล้มกับอาหารและบรรยากาศดีๆ เห็นทีวันศุกร์นี้ต้องฉลอง

คนรักเบียร์ (อย่างเรา) ได้เฮกันอีกแล้วเพราะมีร้านน้องใหม่มาเปิดใจกลางเมืองแบบสบายๆ เดินทางด้วยรถไฟฟ้ามาจิบเบียร์แล้วกลับบ้านได้อย่างสะดวก     Beer Republic เบียร์รีพับบลิคกรุงเทพฯ ร้านเท่ๆ ตกแต่งสไตล์ยุโรปที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากโรงงานในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม บรรยากาศเป็นกันเองเหมาะนัดแฮงค์เอาท์กับกลุ่มเพื่อนมากที่สุด     ที่นี่มีเบียร์จากทั่วทุกมุมโลกและยังมีเบียร์ค็อกเทลให้ลิ้มลองอีกด้วย หากใครยังเลือกไม่ถูกว่าจะดื่มอะไรสามารถลองเทสเบียร์ที่หน้าเคาท์เตอร์บาร์ก่อนได้ เพราะมีเบียร์สดหมุนเวียนสับเปลี่ยนมาให้ลิ้มลองถึง 30 แท๊ป ทั้งเพลเอล พิลส์เนอร์ ไอพีเอ ฯลฯ หรือจะมองหา แดเนียล ทอมส์ ผู้จัดการร้านชาวอังกฤษ ที่มีความรู้เรื่องเบียร์เป็นอย่างดีสามารถแนะนำเบียร์ที่ถูกใจให้กับคุณได้       เราได้ลอง Lervig Perler for Svin IPA, 6.3% จากประเทศนอร์เวย์ สีเหลืองขุ่น ฟองละเอียด กลิ่นซีตรัสสดชื่นและขมตามสไตล์ไอพีเอ Bootleg Brothers Mr Galactic Porter, 6.0% จากประเทศไทย พอร์เตอร์เบียร์สีดำ หอมกลิ่นกาแฟและช็อกโกแลต และ Stone Scorpion Bowl IPA, 7.6% จากประเทศสหรัฐอเมริกา หอมกลิ่นทรอปิคอลฟรุ๊ตและซิตรัส         อาหารของที่นี่ก็น่าลองไม่แพ้กัน เราเริ่มต้นด้วย Nachos นัตโช่กรอบๆ ราดด้วยชีส ใส่ซาวครีม พริกจาลาเปนโย ซัลซ่าและกัวกาโมเล่ครบเครื่องสไตล์เม็กซิกัน เป็นจานกับแกล้มชั้นดีคู่กับเบียร์ Belgian Style Mussels หอยแมลงภู่อบสไตล์เบลเยี่ยม มีให้เลือกทั้งแบบคลาสสิคอบกับไวน์ขาว สไตล์ไทยๆ รสต้มยำ หรือจะอบกับมะเขือเทศในสไตล์ฝรั่งเศสก็มีให้ลอง       ใครหิวลองสั่งจานหนักๆ อย่าง Roasted Chicken ที่พิเศษคืออบกับลาเกอร์เบียร์ ทำให้ไก่เนื้อนุ่มหอม และหวานฉ่ำ ส่วนสายเนื้อต้องห้ามพลาด Slow Cooked BBQ Ribs มีให้เลือกทั้งซี่โครงหมูและวัว เราลองซี่โครงเนื้อวัวย่าง ที่เนื้อนุ่มจนใช้ส้อมเขี่ยเบาๆ ก็หลุดออกจากกระดูกแล้ว ที่สำคัญซอสบาบีคิวยังซึมผ่านเนื้อได้อย่างชุ่มฉ่ำและเข้มข้น กินพร้อมกับเบียร์แสนจะเข้ากันได้อย่างดี       หากใครชอบขาหมูเยอรมันต้องลองสั่ง Beer Republic Crispy Pock Knuckle ขาหมูทอดกรอบ เนื้อในนุ่ม มาพร้อมกับเครื่องเคียงอย่างซาวเคราท์ และผักดอง     จัดเต็มสมใจคอเบียร์จริงๆ  

หลังจากได้เปิดประสบการณ์ให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับคราฟต์เบียร์หลากรสหลายสัญชาติด้วยการแฝงตัวอยู่ใน Oneday at a Time คาเฟ่และโฮสเทลในซอยสุขุมวิท 26 กันมาแล้ว มาตอนนี้สาขาล่าสุดของ Taproom ก็ยังคงไม่ทิ้งคอนเซปต์เดิมด้วยการเข้ามาอิงแอบอยู่ร่วมชายคาเดียวกับกับคาเฟ่ชื่อดัง Casa Lapin ในอารีย์พหลโยธินซอย 7       สำหรับ Taproom สาขาสองคงต้องบอกว่าขนาดจะเล็กลงจากสาขาแรกอยู่สักหน่อย ด้วยการยึดพื้นที่ประจำการอยู่ที่บาร์ด้านในสุดของร้านพร้อมกับเบียร์ที่มีให้เลือกถึง 14 แท็ป แม้จำนวนแท็ปจะน้อยลงตามขนาดของสถานที่ (จากที่เดิมที่มี 26 แท็ป) แต่ความหลากหลายไม่ได้น้อยลงเลย เพราะที่นี่ยังคงสลับสับเปลี่ยนคราฟเบียร์จากแหล่งต่างๆ มาให้ลองจิบกันอย่างฉ่ำใจ แถมแต่ละตัวยังไม่มาครั้งละไม่มาก ทำให้ในแต่ละวันเบียร์ก็จะเปลี่ยนไปด้วย รสชาติจึงไม่ซ้ำกันอย่างแน่นอน ใครอยากลองชิมตัวไหน สามารถสอบถามตามหาเบียร์ลิสต์ที่ร้านกับน้องๆ กันได้     แต่ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้อย่างแก้มแดง ขอแนะนำให้ลองเริ่มด้วย Beer Flight เบียร์เซ็ตเล็ก 6 แก้วขนาดกำลังน่ารักที่พร้อมรอให้เราจิบอย่างทั่วถึง แถมยังไล่ระดับรสชาติจากอ่อนไปแก่เอาไว้ให้อีกด้วย พ่วงด้วยการ์ดใบเล็กๆ ที่ให้ให้ข้อมูลตั้งแต่ที่มา ชื่อโรงกลั่น ประเภท รสชาติ และปริมาณแอลกอฮอล์อย่างเสร็จสรรพให้เราศึกษาทำความรู้จักกันก่อนจิบ แต่ถ้าใครอยากชี้เลือกตามใจชอบงานนี้ก็ไม่ผิดกติกา     อย่างครั้งนี้ตัวที่ถูกใจแก้มแดงก็มี Wet Dream จากโรงกลั่น Evil Twin สหรัฐอเมริกา เป็นเอลสีน้ำตาลเข้มสวยให้แฝงความสดชื่นและมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว ส่วนอีกตัวมีชื่อว่า Conquista จากโรงกลั่น Coronado สหรัฐอเมริกาเช่นกัน เป็นเบียร์ IPA สีเหลืองใสรสอ่อนละมุนหอมกลิ่นทรอปิคอลฟรุ๊ต ดื่มง่ายเชียว แต่ก็ยังไม่วายแอบมีรสขมๆ ตามมาปิดท้าย สำหรับสาวๆ ยังไม่ถนัดจะดื่มเบียร์ ที่นี่ก็มีไซเดอร์รสหอมหวานดีงามไว้ให้ลองกันด้วย     ส่วนสายกินสายกับแกล้มที่นี่ก็อย่าลืมลองเมนูอร่อยอย่าง Grilled Mixed Sausage ที่รวมสามความอร่อยของไส้กรอกพริกชูบริค (Schublig Sausage) สไตล์สวิสเนื้อเด้งรสเผ็ดปลายลิ้นเห็นเปลือกพริกชัดเจน ไส้กรอกโชริโซสเปนรสออกเปรี้ยว และไส้กรอกหมูรมควันเนื้อแน่น อร่อยนัวสุด     หรือจะมาอร่อยเต็มคำกับ Red Italian พิซซ่าโฮมเมดเนื้อแป้งบางหน้ามะเขือเทศและผักโขมโรยด้วยพาร์เมซานชีสก็อร่อยถูกใจใช่เล่น   

ใครเป็นแฟนบาร์เทนเดอร์สุดหล่อ มิคเคลเล มอนตาอูติ (Michele Montauti) โปรดทราบว่าเขามาเปิดบาร์ของตัวเองแล้วที่ Mikys Cocktail Bar by OPUS บนถนนปั้น หลังจากได้รับคำชวนจากอเล็กซ์ โมราบิโต (Alex Morabito) เจ้าของร้านโอพุส     มิคเคลเลบอกว่าชื่อบาร์มาจากชื่อเดิมของตัวเอง แต่คุณแม่มาเปลี่ยนเป็นมิคเคลเลในภายหลัง เขาเล่าติดตลกว่าคนไทยเรียกชื่อของเขายาก บางคนก็เลยเรียกว่ามิคกี้ เขาเคยทำงานกับโจเซฟ โบโรสกี้ บาร์เทนเดอร์ชื่อดังก่อนที่จะมาร่วมงานกับ W Bangkok ซึ่งเขาบอกว่าสไตล์ค็อกเทลของเขามีจุดเด่นที่การใช้วัตถุดิบสดใหม่ และการอินฟิวชันรสชาติ     ซิกเนเจอร์ค็อกเทลของร้านมีเพียง 5 แก้ว เลือกใช้สปิริตที่หลากหลาย วอดก้า จิน วิสกี้ เตกีล่า และรัม แก้วแรก Meticulous ทวิสต์จากวิสกี้ซาวร์แต่ไม่ใช้ไข่ขาว วิสกี้ผสมน้ำแตงโม ไซรัปซินนามอนโฮมเมด น้ำมะนาว และบิตเตอร์ช็อกโกแลต กินกับมาร์ชแมลโลว์ย่าง รสชาติไม่แตงโมมากยังมีกลิ่นรสของวิสกี้     แก้วต่อมามิคกี้ทำให้กับภรรยาของอเล็กซ์เลยตั้งชื่อตามเธอว่า Julie จินผสมเวอร์มุธ ชาเอิร์ลเกรย์ ไซรัปมะลิโฮมเมด น้ำมะนาว และไข่ขาว กลิ่นหอมหวานของมะลิและไทม์ที่เผามา     และค็อกเทลที่ใช้เตกีล่าเป็นเบส In Pan Road เตกีล่าผสมลิเคียวร์ดอกเอลเดอร์ น้ำทับทิม ไซรัปโรสแมรี่โฮมเมด น้ำมะนาว และบิตเตอร์ขึ้นฉ่าย เรารู้สึกเหมือนดื่มบลัดดี้แมรี่ เมื่อมีกลิ่นรสของขึ้นฉ่าย รวมถึงสีสันของค็อกเทล แถมมีบัลซามิกคาเวียร์มาเพิ่มรส     ส่วนอาหารต่างจากเมนูของโอพุส คำเล็กกินเข้ากับค็อกเทล อย่าง Raw Bites พอดีคำ Tuna Sashimi ทูน่ากับเฟนเนลสด ผิวส้ม ผักชีลาว กัวกาโมเล     และเลมอนเดรสซิง Salmon Cubes แซลมอนมาริเนตกับวินิการ์และสมุนไพร กินกับหัวหอมรสเปรี้ยวหวาน ส้ม สตรอว์เบอร์รี     และบัลซามิกคาเวียร์ ส่วน Hot Bites เป็น Beef Fajitas เนื้อสันในสไลซ์เซียร์ด้านนอกก่อนนำไปอบ กินกับฮันนี่มัสตาร์ดรสหวานหอม และพริกสามสีมาในกระทะร้อน และ Quesadillas Vegetarian แป้งตอร์ติญาไส้ผักโขมและชีสริคอตตา กินกับกัวกาโมเลและซัลซา      แว่วว่าโปรโมชันของร้านแรงมาก โดยเฉพาะ Lady Night แนะนำให้เข้าไปดูที่ FB : MIKYSCOCKTAILBAR

Bronx Liquid Parlour เป็นการร่วมหุ้นกันของมาซาชิ โยเนซาวา (Masashi Yonezawa) อดีตลูกค้าขาประจำ และฮิเดยูกิ ไซโตะ (Hideyuki Saito) บาร์เทนเดอร์คู่ใจ ทั้งคู่รู้จักกันที่บาร์ Diez ในกรุงโตเกียว ญี่ปุ่น มาซาชิซังแวะไปดื่มเป็นประจำจนคุ้นเคยกัน ก่อนที่ฮิเดะซังจะเดินทางไปทำค็อกเทลในมุมต่างๆ ของโลก และกลับมาพบกันอีกครั้งที่ Vouge Lounge     ฮิเดะซังวางคอนเซ็ปต์ให้เป็นบาร์ค็อกเทลที่นำเอาวัตถุดิบจากญี่ปุ่นมาใช้เป็นหลัก อาทิ มัตฉะ อูเมะชู ลิเคียวร์แบรนด์ญี่ปุ่น โยคัง หรือแม้แต่แก้วเซรามิกญี่ปุ่น คลาสสิกค็อกเทลก็ยังคงมีให้เห็นแต่ทวิสต์ให้ต่างจากเดิม ฮิเดะยังนำอาหารญี่ปุ่นมาเสริมไว้ด้วย เพราะบาร์ในญี่ปุ่นแต่ละร้านจะมีจานเด็ดของตัวเอง บางร้านเป็นข้าวแกงกะหรี่ บางร้านเป็นคาราเกะ แต่ที่นี่เสิร์ฟเกี๊ยวซ่าและอุด้ง ซุปอุ่นๆ ปิดท้ายหลังดื่มเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ชอบ     เริ่มที่ค็อกเทลคลาสสิกทวิสต์ Scotsman’s Egg คาวาดอสผสมพอร์ตไวน์ ขิง น้ำมะนาว น้ำตาล ไข่นกกระทา และสเปรย์กลิ่นช็อกโกแลต แก้วนี้ดีไม่คาวไข่และนัวดี ให้กลิ่นรสของคาวาดอสและพอร์ตไวน์เด่น     หรือ The Other Coco ทวิสต์จากพีนาโคลาด้า บรั่นดีบ๊วยผสมรัม น้ำมะพร้าว น้ำมะนาว ไซรัป ดื่มกับสับปะรดอบแห้ง     มาที่แก้วที่เราชอบมา Sei หน้าตาอาจจะคล้ายกับค็อกเทลมัตฉะที่เคยดื่มของชินโกะ โกคัง บาร์เทนเดอร์ชาวญี่ปุ่นอีกคนที่ใช้ค็อกเทลมัตฉะอีกสูตรในการแข่งขันระดับโลกและได้แชมป์มาครอง ส่วนสูตรของฮิเดะซังใช้ดาร์กรัมผสมอูเมะชู ลิเคียวร์คาเคา พอร์ตไวน์ โมราเสส และผงมัตฉะ ซึ่งคนญี่ปุ่นทุกคนคุ้นเคยกับรสชาติของมัตฉะดี เสิร์ฟพร้อมกับโยคังกลิ่นรัมผสมถั่วแดง มัตฉะไม่ขมมากแทรกด้วยรสอมเปรี้ยว ตัดด้วยรสหวานของโยคัง เรียกว่ารสชาติตรงข้ามกับของชินโกะ     ที่เราอดใจรอไปดื่มครั้งหน้าคือ Omakase ซึ่งฮิเดะซังจะจัดให้เองตามฤดูกาลของผลไม้ โดยช่วงนี้เป็นส้มยูซุ ส่วนจะเป็นค็อกเทลอะไรนั้น เขาบอกให้ไปลองด้วยตัวเอง  

ใครเป็นแฟนคราฟต์เบียร์ห้ามพลาดกับ Taproom บาร์เบียร์ที่รวมเอาคราฟต์เบียร์แบบสดไว้มากถึง 26 แท๊ป เบียร์ทั้งหมดเน้นความหลากหลายด้วยสไตล์และแอลกอฮอล์ที่มีตั้งแต่เบาไปจนถึงหนักหน่วง เพื่อให้ทุกคนสามารถดื่มได้ตามคอนเซ็ปต์ Experience Craft Beer, Craft Beer is for Everyone ให้คราฟต์เบียร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวและดื่มยาก     แท๊ปเบียร์สดทั้ง 26 แท๊ป ควบคุมอุณหภูมิที่ 0 ถึง -1 องศา ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านฟรีซด้านล่างแท๊ปเบียร์จึงคงอุณหภูมิได้ดีกว่าการย้ายไปเก็บในห้องเย็นหลังบาร์ปิด ที่นี่หมุนเวียนคราฟต์เบียร์จากทุกค่ายเข้ามาตลอด และไล่เรียงตามสไตล์เบียร์ แท๊ป 1-10 คราฟต์เบียร์ดื่มง่ายรสชาติเบาๆ แท๊ป 11-18 แอลกอฮอล์กลางๆ แท๊ป 19-24 คราฟต์เบียร์แบบรสหนักหน่อย พวกดับเบิ้ลไอพีเอและอิมพีเรียลเพียวเอล แท๊ป 25-26 เป็นไซเดอร์ สำหรับคนไม่ดื่มเบียร์ก็มีคลาสสิกค็อกเทลและซิงเกิลมอลต์ไว้บริการ     สำหรับคอเบียร์ที่ไม่คุ้นเคยกับคราฟต์เบียร์แนะนำให้ถามคุณโจผู้จัดการร้าน หรือพนักงานทุกคนในร้านได้ว่าเบียร์ตัวไหนต่างกันอย่างไร เพราะทุกคนผ่านการเทรนและชิมเบียร์มาหมดแล้ว ความแตกต่างของที่นี่กับบาร์เบียร์อื่นๆ ก็คือการบริการที่สั่งเบียร์จากโต๊ะได้เลย ดื่มก่อนแล้วจ่ายทีหลัง ที่สำคัญไม่ต้องกินข้าวมาก่อน เพราะที่นี่มีอาหารตั้งแต่อาหารกินเล่นจนถึงกินจริงจัง ซึ่งเป็นอาหารจาก One Day at a Time     เบียร์สดมี 3 ขนาด Small, Large และ Flight (6 และ 10 แก้ว) เราแนะนำแบบ Flight 6 ได้ประสบการณ์การดื่มแบบพอดีๆ ชอบตัวไหนสั่งเพิ่มหลังจากลองทั้ง 6 แก้วก็ยังได้ เริ่มที่เบียร์ไวเซนดื่มง่าย Grosse Bertha ต่อด้วยเบียร์ไซซอง Lomaland ที่ให้กลิ่นผลไม้และซ่าหน่อย    ตามด้วย Prohibition เรดเอลที่เด่นตรงมีสีแดงแทนสีอำพัน หลังจากนี้อีก 3 ตัวจะเริ่มหนักหน่วงขึ้น Racer 5 เบียร์ไอพีเอที่ให้กลิ่นฮอปส์เด่นและติดขม Ruination เบียร์ดับเบิ้ลไอพีเอที่ทวีความขมเข้ม ปิดท้ายด้วย Bigbad Baptist เบียร์อิมพีเรียลสเตราท์ที่หอมกลิ่นรสแบบกาแฟ ซึ่งเราชอบที่สุดและหนักที่สุด     ข้อดีของที่นี่คืออาหารทำให้การดื่ม Flight ไม่หนักเกินไป มีอาหารหลายจานที่เข้ากับเบียร์ได้ดี อย่าง Mac’n Cheese ชีสมากนี่แหละตัดกับเบียร์ได้ดี Taproom Bomb มีตบอลกับชีส BBQ Chicken Wing ก็รสจัดดี         แต่ถ้าไม่หิวมาก Oneday Fried Away เฟรนช์ฟรายส์แบบสเต๊กคัตกับซาวร์ครีมเบคอนและแอนโชวีก็พอแกล้มเบียร์ได้แล้ว

แทบไม่น่าเชื่อว่า โอเรียนเต็ล เรสซิเดนท์ กรุงเทพฯ ไม่มีบาร์ที่เน้นเรื่องค็อกเทลมาก่อน มีเพียงมุมบาร์เล็กๆ ในคาเฟ่แคลร์เท่านั้น เมื่อมีโอกาสเปิดห้องจัดเลี้ยงใหม่จึงปรับพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็น Oriental Bar บาร์ค็อกเทลนี้ไม่ได้เปิดตัวขึ้นมาแบบทำเล่นๆ เนื่องจากค็อกเทลคัลเจอร์ในตอนนี้จริงจังเกินกว่านั้น     บาร์ของที่นี่ไม่ได้ใหญ่มาก มีเพียงเคาน์เตอร์บาร์และโต๊ะประมาณ 5-6 โต๊ะไว้รองรับ เชื่อว่าให้ลูกค้ามาดื่มค็อกเทลก่อนมื้ออาหารแล้วไปต่อมื้อค่ำที่คาเฟ่แคลร์หรือซาลเวนเบิร์กมากกว่า ที่นี่จึงมีเพียงคานาเป้และซิกเนเจอร์ค็อกเทลเพียงไม่กี่ตัว แต่เติมเอาความเอ็กซ์คลูซีฟเข้าไป โดยนำเอาค็อกเทลที่ท่านทูตจากสถานทูตรอบๆ เรสซิเดนท์ชื่นชอบมาใส่เป็น Ambassadors Cocktails ให้ลองดื่ม โดยทางบาร์เลือกใช้สูตรคลาสสิกค็อกเทลที่ท่านทูตชื่นชอบเปลี่ยนมาใช้สปิริตพรีเมียม ในวันเปิดบาร์ท่านทูตก็ได้ลองค็อกเทลประจำตัวของท่านไปแล้ว อาทิ Whiskey Sour ค็อกเทลประจำตัวท่านทูตเนเธอร์แลนด์ Dry Martini ค็อกเทลประจำตัวท่านทูตสวิตเซอร์แลนด์ และ Dirty Martini ค็อกเทลประจำตัวท่านทูตอังกฤษ     ส่วนซิกเนเจอร์ค็อกเทลเป็นสไตล์คลาสสิกทวิสต์ Wild Berry Mojito เพิ่มความสดชื่นด้วยใบมินต์แต่เพิ่มรสเปรี้ยวของเบอร์รีเข้ามา มาพร้อมไอศกรีมหวานเย็นรสเสาวรส แก้วต่อมา Keller Jack ความซ่าของสปาร์กลิงไวน์ผสมไปกับเบอร์เบิน     ตามด้วย Kiwi Wireless จิน น้ำสับปะรด น้ำมะนาว และเนื้อกีวี มีเนื้อกีวีให้เคี้ยวเพิ่มสัมผัสและรสชาติ แต่ถ้าชอบค็อกเทลในแก้วทองแดงเย็นฉ่ำ The Oriental คือค็อกเทลนั้น วอดก้าผสมจิน น้ำมะนาว และไซรัปแบล็กเบอร์รี     ใครชอบค็อกเทลแนวสปิริตฟอร์เวิร์ด Embassy Classic คือแก้วที่ดีที่สุด ด้วยการปรับเอาค็อกเทลแมนฮัตตันเสียใหม่ นำเครื่องเทศสมุนไพรไปอินฟิวด้วย ก่อนเสิร์ฟยังรมควันแก้วด้วยเครื่องเทศสมุนไพร     ทำให้มีกลิ่นสโมกหน่อยๆ และหอมละมุนด้วยเครื่องเทศมุนไพร

The Iron Fairies Dragonfly บาร์ลับที่ซ่อนตัวอยู่หลังห้องสมุดของ Fat Gutz Saloon ซึ่งจะเปิดโลกแห่งเทพนิยายภาคต่อของ The Iron Fairies ซอยทองหล่อ เรียกว่าบรรยากาศกลายเป็นอีกโลกหนึ่งเมื่อก้าวข้ามประตูลับนี้ไปแล้ว     กุญแจแมลงปอทองคำคือสิ่งที่ไขสู่โลกแห่งเทพนิยาย เล่าเรื่องของวิหารและป่าแห่งเวทย์มนตร์ แน่นอนว่ายังมีโครงสร้างของเหล็กที่เป็นงานคราฟต์สลับกับงานไม้ที่เหมือนนั่งอยู่ภายในวิหารร้างซึ่งปกคลุมไปด้วยรากไม้ ใจกลางวิหารออกแบบให้เหมือนเวทีละครขนาดเล็ก จะว่าไปก็เหมือนพวกหนังเทพนิยายแบบนั้นเลย     อาหารและเครื่องดื่มยังคงนำเมนูหลายอย่างที่มีในทองหล่อไว้และเพิ่มเติมซิกเนเจอร์ที่มีเฉพาะที่นี่เข้ามา ค็อกเทลที่นับเป็นจุดเด่นของที่นี่ Smoke in a Bottle No.1 เป็นซิกเนเจอร์เดิม รสเปรี้ยวหวาน หอมกลิ่นควันที่รมควันมาในขวด     แก้วต่อมาหอมกลิ่นดอกมะลิ Jasmine White Lady จินผสมดอกมะลิ มะนาว เหล้าส้ม และไข่ขาว หอมละมุนด้วยกลิ่นมะลิ     และ Fairys Wing Fizz จินผสมน้ำมะนาว ดอกชบา ชาเขียว ไข่ขาว และโซดา รสเปรี้ยวซ่า     ส่วนอาหารยังนำเอาเบอร์เกอร์ชื่อดังของร้านอย่าง Binzys Beef Burger มาให้ชิมกันต่อ เบอร์เกอร์เนื้อกับชีสเชดดาร์ หอมแดง มะเขือเทศ ผักสลัด และซอสมะเขือเทศแบบเผ็ด     ตามด้วยเมนูใหม่อย่าง Hot Pepper E Sarn Steak เนื้อวัวสันคอย่างมาพร้อมผักสด แจ่ว และข้าวเหนียว     ปิดท้ายแรร์ไอเทมที่ไม่มีในเมนู Pork Knuckle ขาหมูทอดที่ทำออกมาแบบไทยๆ กับสมุนไพรทอด อาทิ ตะไคร้ มะกรูด และพริกแห้ง ไม่ต้องจิ้มก็อร่อย มาพร้อมมัสตาร์ด น้ำจิ้มซีฟู้ด และซอสมะเขือเทศ     ส่วนไฮไลต์ที่อาจสงสัยว่ากุญแจแมลงปอทองคำมีไว้สำหรับทำอะไร คำตอบคือสำหรับสมาชิกที่เปิดเมมเบอร์ โดยจะได้เป็นเจ้าของบลูเลเบิ้ลลิมิเต็ด อิดิชัน ที่ออกแบบขวดเป็นลายแมลงปอ (มีเพียง 88 ขวด) ซึ่งต้องใช้กุญแจนี้ไขเปิดกล่องเท่านั้น

ใครกำลังมองหาที่นั่งชิลฟังเพลงแจ๊ซ Evil Man Blues น่าจะเป็นจุดหมายที่ดีของค่ำคืนนี้ ด้วยดีไซน์ร้านขนาดกะทัดรัดให้คนที่ไม่รู้จักกันได้พบปะพูดคุยกัน โดยมีกลิ่นอายแบบอเมริกันไดเนอร์ผสมด้วยความสลัวที่แต่งแต้มด้วยแสงนีออนสีม่วงตัดกับสีทองของเฟอร์นิเจอร์ที่ดูเซ็กซี่      ที่นี่มีวงดนตรีแจ๊ซและดีเจมาเล่นทุกวันพุธถึงวันเสาร์ ส่วนใหญ่เป็นแนวเพลง Experimental Jazz และ Jazz Touch มีทั้งวงดนตรีแจ๊ซมาบรรเลงเพลงล้วนๆ จอยกับนักร้อง หรือดีเจประชันกับเครื่องเป่า หมุนเวียนไปในแต่ละวัน เรียกว่าเป็นแจ๊ซคลับขนาดย่อม     นอกจากจุดเด่นเรื่องดนตรีก็มีบาร์ค็อกเทลที่เป็นหัวใจหลักของร้าน แม้จะออกตัวว่าเป็นค็อกเทลสไตล์คลาสสิกทวิสต์ แต่เมื่อลงไปในรายละเอียดแล้วต้องบอกว่าใช้เทคนิคสุดล้ำมาช่วยสร้างกลิ่นรสของค็อกเทล ไม่เพียงเท่านั้นการเลือกใช้สปิริตและลิเคียวร์หายากยังทำให้ค็อกเทลแปลกและน่าสนใจ อาทิ ซูสวิดสปิริตกับผักผลไม้ ใช้น้ำมันมะกอกเพิ่มกลิ่น หรือการใช้เวอร์มุธหายาก     Self(ie)-Adored ซิกเนเจอร์ค็อกเทลซึ่งเก๋ตรงที่บาร์เทนเดอร์จะถ่ายรูปโพลารอยด์ของคนดื่มติดไว้บนแก้วด้วย แต่นั่นคือเปลือกนอก เนื้อในคือ Bison Grass เป็นการนำเอาหญ้าที่ควายไบซันกินมาผลิตวอดก้า ผสมกับลิเคียวร์ดอกเอลเดอร์ ใบชิโซะบด และน้ำกุหลาบ ให้รสชาติของชิโซะนำ ตามด้วยกลิ่นของดอกไม้     อีกแก้วเป็น Salad Days จินซูสวิดกับมะเขือเทศเหลืองนาน 4 ชั่วโมง ให้กลิ่นรสของมะเขือเทศผสมกับ Suze Vermouth หยดด้วยน้ำมันมะกอกรมควัน     ส่วนอาหารเป็นอาหารสไตล์อเมริกันไดเนอร์ที่ให้ความเป็นคอมฟอร์ตฟู้ดหนักๆ อย่าง Mac n Cheese Balls ชีสฉ่ำๆ ถ้าไม่พอจิ้มชีสได้อีก     Hot Wings ปีกไก่กรอบที่ได้รสเผ็ดเปรี้ยวจากซอสโฮมเมด และ Royale Grilled Cheese แซนด์วิชเนื้ออบกับชีสกรูแยร์    

Beer Belly เชื่อว่าไลฟ์สไตล์การดื่มของคนอเมริกันถูกผูกไว้กับเกมการละเล่นในอารมณ์ของสปอร์ตบาร์ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยกิจกรรมสนุกสนาน อาทิ เบียร์ปอง บิลเลียด ตีปิงปอง ปาลูกดอก เกมกระดาน รวมถึงถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬานัดสำคัญ นอกจากนั้นยังตกแต่งภายในให้เป็นห้องโถงกว้างที่เรียกว่าเบียร์ฮอลล์ ซึ่งมีโต๊ะยาววางเรียงรายเหมือนอย่างในเทศกาลออคโทเบอร์เฟส แต่สำหรับคอเบียร์ตัวจริงที่ไม่ใส่ใจเรื่องอื่นนอกจากเบียร์เราแนะนำให้นั่งบาร์แล้วเลือกเบียร์สดที่มีมากถึง 20 แท๊ป     ไม่เพียงชื่อพุงเบียร์ที่ดูขำขัน ทางร้านยังได้ Cathlove ศิลปินชาวฮ่องกงมาช่วยเพิ่มลวดลายสนุกๆ ผ่านภาพวาดบนผนังและไฟนีออนรูปหมูที่เปรียบได้กับมาสคอตของร้าน แถมยังทำล้อเลียนเป็นหมูที่ไว้ผมทรงเดียวกับโดนัลด์ ทรัมป์ อีก ฮ่าๆ     ที่นี่ไม่ได้เจาะจงเฉพาะคราฟต์เบียร์เหมือนที่นิยมกัน แต่มีทั้งเบียร์ตลาดและคราฟต์เบียร์ผสมกันในเบียร์สด 20 แท๊ป โดยเปลี่ยนเบียร์ตามฤดูกาลที่มีเบียร์พิเศษผลิตออกมา ส่วนเบียร์ขวดที่นี่ไม่เน้นเท่าไร เบียร์ของทางร้านแนะนำ Chouffe Soleil Summer Time เบียร์ฤดูร้อนที่คล้ายลาเกอร์เบียร์มีกลิ่นรสของฮอปส์มากหน่อย     แต่ถ้าชอบเบียร์สายโบสถ์แนะนำ La Trappe Witte Trappiste ไวเซนเบียร์ที่ผลิตโดยบาทหลวงตัวแรกและตัวเดียวในโลก แต่ที่ไม่ควรพลาดเป็นเบียร์ที่กำลังมาแรงและได้คะแนนจากการวิจารณ์สูงมาก     เบียร์สด Moderntimes Blazing World สีออกน้ำตาลแดง ขมสไตล์ IPA และฮอปส์แรงๆ ส่วนกระป๋องเป็น Moderntimes Fortunate Island ไวเซนเบียร์ที่มีกลิ่นฮอปส์แรงหน่อยแต่มีกลิ่นรสผลไม้มาเสริม     สำหรับอาหารสตรีทฟู้ดแบบอเมริกัน อาทิ BBQ Ribs และ Mini Wings ก็นับว่าถูกปาก ทางร้านยังเตรียมเพิ่มตัวเลือกให้หลากหลายขึ้นด้วยการชักชวนร้านอาหารมาร่วมขายแบบป๊อปอัปสโตร์    

Craft’N Roll เริ่มต้นในฐานะอีเวนต์จัดงานไทยคราฟต์เบียร์และเว็บไซต์ไลฟ์สไตล์มาก่อน ก่อนต่อยอดให้กลายเป็น CraftN Roll Café ชุมชนที่รวมเอาความคราฟท์หลากหลายรูปแบบไว้บริเวณริมน้ำเจ้าพระยาในย่านจรัญสนิทวงศ์ ไม่เพียงเฉพาะคราฟต์เบียร์ แต่ที่นี่ยังรวมงานคราฟต์ทุกรูปแบบไว้ในที่เดียว อาทิ เครื่องหนัง รองเท้า ยีน ซึ่งล้วนมาจากฝีมือของคนไทย นอกจากนี้ยังมีเวิล์กชอปที่เตรียมหมุนเวียนมาจัด ทั้งเวิล์กชอปผ้ามัดย้อมและเวิล์กชอปแพริงเบียร์กับอาหาร     จุดเด่นของที่นี่ก็คือชุมชนไทยคราฟต์เบียร์ ในวันที่เราไปมีแท๊ปเบียร์ที่ว่างเว้นจากเบียร์ที่หมดลง แต่ขณะเดียวกันก็มีคนทำเบียร์ขนเบียร์ที่ตัวเองคราฟต์กับมือมาส่งเพื่อรอเข้าสู่แท๊ปที่ทางร้านเตรียมไว้ 10 แท๊ป พูดง่ายๆ ว่าจะมีคราฟต์เบียร์ถึง 10 แบรนด์ 10 สไตล์เข้ามาให้ได้ชิมกันในทุกๆ วัน โดยมีพี่ที่ทำเบียร์ Sandport ช่วยคัดเลือกไทยคราฟต์เบียร์คุณภาพมาให้ได้ชิม บางเจ้าก็ดึงมาจากงานอีเวนต์ที่จัดขึ้นและเห็นว่าคุณภาพดี หรือบางเจ้าก็วอล์กอินนำเข้ามาให้ชิมที่นี่ แน่นอนว่าคราฟต์แอนด์โรลเลือกที่จะให้เบียร์ทั้ง 10 แท๊ปมีความหลากหลายทั้งสไตล์ของเบียร์และรสชาติ เราจึงพอบอกได้ว่าถ้ามาวันนี้เมื่อกลับมาอีกทีอาจจะไม่มีเบียร์ตัวเดิม แต่ก็จะได้ลองเบียร์ตัวใหม่     อาหารจานเด่นของที่นี่ก็อร่อยดีทีเดียว เพราะได้ร้าน River Duck ในพื้นที่เดียวกันมาปรุง จานเด่นขาแกะตุ๋นเครื่องเทศ เนื้อนุ่มล่อนไม่มีกลิ่นสาบเลย เราแนะนำจานนี้กับเบียร์ Straydog Pog Wheat วีตเบียร์ที่ได้รสเปรี้ยวจากเปลือกส้มโอและมะนาว แอลกอฮอล์ไม่สูงมาก     ส่วนปลาริวกิวทอดกรอบกินได้ทั้งตัวจิ้มทาร์ทาร์ซอส เราให้เบียร์ Sandport Red Ale จากนนทบุรีเป็นตัวเลือก รสเปรี้ยวของกระเจี๊ยบแดง และความขมสไตล์เอลทำให้ตัดเลี่ยนได้ดีเยี่ยม     แน่นอนว่าสายเบียร์กาแฟอย่างเราขอยกให้ Nectar Guatemala Coffee คือดีที่สุด ได้ยินว่าเบียร์ตัวนี้คราฟต์โดยบาริสตา ทำให้ได้รสชาติของกาแฟที่ชัดและแรงในสไตล์ของเบียร์ดำแบบสเตราท์ เข้ากันได้ดีกับไก่ทอดสมุนไพรที่กลิ่นรสสมุนไพรมาเต็ม     นอกจากเบียร์ที่ทางร้านมีในตอนนี้ เร็วๆ นี้ทีมของร้านก็จะตระเวนไปชิมตามงานอีเวนต์คราฟต์เบียร์ไทย ตัวไหนรสชาตินิ่งก็จะเลือกมาให้ชิมกันถึงร้าน 

น่าสนุกดีเมื่อบาร์ในกรุงเทพฯ เริ่มฉีกข้อจำกัดของการผสมค็อกเทล ไม่ว่าจะใช้สปิริตจากทุกค่ายทุกสังกัด หรือแหวกแนวนำวิสกี้และซิงเกิลมอลต์มาผสมเป็นค็อกเทลของ The Owl Society Whisk(e)y Saloon ซึ่งหลายคนมองว่าเสียดายรสชาติของวิสกี้และซิงเกิลมอลต์ที่ดีอยู่แล้ว     คุณฝาเบียร์-สุชาดา โสภาจารี บาร์เทนเดอร์หลักบอกกับเราว่า ที่นี่ต้องการให้คนดื่มได้รู้จักกับวิสกี้และซิงเกิลมอลต์ผ่านค็อกเทล เมื่อเราถามถึงการนำวิสกี้และซิงเกิลมอลต์มาทำเป็นเบสของค็อกเทลโดยไม่ทำลายรสชาติ เธอตอบว่าเธอสามารถใช้วัตถุดิบที่ไม่ทำลายรสชาติของวิสกี้มานำเสนอค็อกเทลจากวิสกี้ได้ทั้งสไตล์สปิริตฟอร์เวิร์ดและสไตล์เปรี้ยวหวาน นอกจากวิสกี้ที่เป็นพระเอก ที่นี่ยังมีจินอีกกว่า 30 ชนิดเนื่องจากเป็นสปิริตในยุคที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งต้องห้ามในยุคเดียวกับวิสกี้     ที่นี่มีค็อกเทลทั้ง 2 สไตล์ สปิริตฟอร์เวิร์ดและเปรี้ยวหวาน ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากภาพนกฮูกที่ใช้ตกแต่ง โดยเฉพาะภาพนกฮูก 3 สายพันธุ์ที่กำลังทำหน้าสงสัย แก้วแรก The Great Grey วิสกี้แบล็กเลเบิลที่มีกลิ่นควันๆ ไปได้ดีกับพอร์ตไวน์ อามาโร่มอนเตเนโกร พาร์ทองกลิ่นกาแฟ รมควันด้วยวู้ดชิป ใส่แอปเปิลอบแห้ง มาในแก้ววิสกี้ให้ฟีลของการดื่มกาแฟหน่อยๆ     แก้วที่ 2 The Horned เบสเป็นเบอร์เบิน เซาเทิร์นคอมฟอร์ต (ลิเคียวร์ที่มีแอปริคอต) ลูกแพร์บด ไซรัปโรสแมรี่ เลมอน เทจินเจอร์เอลด้านบน และใส่โรสแมรี่เผาไฟ มาในแก้วทองแดง รสเปรี้ยวหวานดื่มง่าย     และ The Barn ค็อกเทลที่มาในแก้วฟรุ้งฟริ้ง เบสเป็นวิสกี้โกลด์เลเบิลรีเซิร์ฟ ดีเซิร์ตไวน์อินฟิวใบเสจ เสาวรส ไซรัปน้ำผึ้ง เลมอน และไข่ขาว กลิ่นรสเสาวรสนำแต่ไม่มาก     ฝาเบียร์ฝากบอกมาว่า ที่นี่เราให้ลูกค้าบอกว่าพวกเขาต้องการค็อกเทลแบบไหนในสไตล์ของเทเลอร์เมท แน่นอนว่าซิงเกิลมอลต์ก็นำมาทำค็อกเทลได้เช่นกัน แต่ราคาอาจจะสูงหน่อย

นับเป็นเรื่องน่ายินดีของคอค็อกเทลเมื่อ Backstage Cocktail Bar เปิดตัวขึ้นกลางซอยทองหล่อ โดยตั้งใจให้บาร์แห่งนี้ไม่มีสังกัดไม่มีค่าย ทำให้หุ้นส่วนทั้ง 6 คน หนึ่ง ปาล์ม กอฟ แบงค์ แจน และต้น ซึ่งถือว่าเป็นบาร์เทนเดอร์แถวหน้าของเมืองไทยสร้างสรรค์ค็อกเทลออกมาได้อย่างไม่จำกัด     อย่างที่รู้กันดีว่าบ้านเราบาร์หลายแห่งผูกสปอนเซอร์กับค่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงจำกัดตัวเองกับการใช้สปิริตและลิเคียวร์ที่สนับสนุนบาร์ แต่เมื่อข้อจำกัดนี้ถูกมองข้ามไป ทำให้บาร์เทนเดอร์คิดค้นค็อกเทลได้อย่างไร้ขอบเขตในรูปของคราฟต์ค็อกเทลที่มีอิสระในการเลือกใช้สปิริตชนิดเดียวกัน ซึ่งมีคาแรกเตอร์แตกต่างกันได้ในค็อกเทลแก้วเดียว นอกจากนั้นยังเน้นความเป็นโฮมเมดของไซรัปและสปิริตบางตัวที่ทางบาร์เติมแต่งกลิ่นรสเพิ่มขึ้นมา     วันนี้เรานัดพบกับ 2 ใน 6 หุ้นส่วนร้าน ซึ่งทั้งคู่มีดีกรี 4 คนสุดท้ายของการแข่งขันดิอาจิโอ้ เวิลด์คลาส คุณกอฟ-กิติบดี ช่อทับทิม และคุณหนึ่ง-รณภร คณิวิชาภรณ์ คนแรกอยู่ประจำเป็นตัวหลักของบาร์ ส่วนคนหลังไปมาระหว่างที่นี่กับบาร์ Track 17     คุณกอฟแนะนำ GIN’S PERIAL จินโทนิคแบบแบล็กสเตจ ซึ่งทำ Gin Pimm’s ขึ้นมาเอง โดยนำจินมาสร้างกลิ่นรสที่ใกล้เคียงด้วยน้ำตาล เวอร์มุธ สตรอว์เบอร์รี และสมุนไพร คนผสมกับเบอร์มิสโทนิกของอีสต์อิมพีเรียล โทนิกแบรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง ให้ความเป็นจินโทนิกแบบที่ฉีกจากรสที่คุ้นเคย     Garden Swing เหมาะกับคอค็อกเทลที่ชอบแบบดื่มง่าย จุดเด่นอยู่ที่ไซรัปใบเตยและมะลิโฮมเมดที่ให้กลิ่นหอมหวานแบบไทยๆ กับจิน เวอร์มุธ มะนาว และโซดา     ตัวสุดท้ายคุณกอฟแนะนำ Custom Cocktail ที่เราสั่งได้ตามความชอบ เราไม่ชอบวิสกี้จึงขอให้ผสมค็อกเทลที่มีเบสของวิสกี้ ซึ่งเลือกเอาเบลนด์วิสกี้ที่มีกลิ่นควัน ผสมกับโฮมเมดโค้กไซรัป เลมอน และโป๊ยกั๊กเผา ก็ได้ค็อกเทลวิสกี้ที่หวนถึงสมัยที่ดื่มวิสกี้กับโค้ก     ส่วนคุณหนึ่งจัด Earth Beet ค็อกเทลใหม่ของเขาออกมาให้ดื่ม คล้ายเนโกรนี แต่เปลี่ยนจากเบสของจินเป็นเตกีล่าอินฟิวกับบีตรูต ผสมแมสคาว สวีตเวอร์มุธ และอาร์ติโชกบิตเตอร์ มีความเอิร์ทตี้ กินกับข้าวโพดอบแห้งเผา                 

สร้างความแปลกใหม่ให้กับการดื่มไวน์ไม่น้อย เมื่อ About Eatery ประกาศตัวชัดว่าเป็นไวน์บาร์แห่งแรกที่ให้บริการออร์แกนิกไวน์ เนเชอรัลไวน์ และไบโอไดนามิกไวน์ ที่ล้วนมีวิธีการปลูกและผลิตโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของคนดื่มเป็นสำคัญ     คุณจิวลิโอ้ ซาเวลิโน่ (Giulio Saverino) ไวน์ซอมเมอลิเยร์และเจ้าของร้าน แนะนำให้เรารู้ถึงสัญลักษณ์ที่ช่วยเป็นตัวเลือกให้เราดื่มไวน์ได้อย่างที่เราต้องการ อาทิ ปริมาณน้ำตาล ปริมาณสารซัลไฟต์ในออร์แกนิกไวน์ เนเชอรัลไวน์ ไบโอไดนามิกไวน์ ไม่เว้นแม้แต่วีแกนไวน์ ที่นี่มีไวน์ทั้งหมด 45 เลเบล โดยเฉพาะออเรนจ์ไวน์ (Orange Wine) ไวน์ขาวที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบไวน์แดงทำให้ได้สีอมส้ม ซึ่งคุณจิวลิโอ้บอกว่ามีให้ดื่มเฉพาะที่นี่     ที่นี่เสิร์ฟอาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่เข้ากันได้ดีกับไวน์ หากตัดสินใจไม่ถูกสอบถามคุณจิวลิโอ้ หรืออ่านคำแนะนำเรื่องแพริงบนกระดานดำก็ได้ เริ่มที่ Sautéed Spanish Mussels and Vongole หอยแมลงภู่และหอยกาบผัดกับไวน์ขาว ซัฟฟรอน กระเทียม พริกป่น     และแอนโชวี ไปได้ดีกับ Crazy by Nature Cosmo White ไวน์ขาวไบโอไดนามิกที่เบลนด์จากองุ่นในนิวซีแลนด์ ค่อนข้างสไปซ์หน่อย เข้ากับกลิ่นของซัฟฟรอน   จานนี้เด็ดจริง Beetroot Ravioli ราวิโอลีโฮมเมดไส้บีตรูตกับริคอตตาชีส ราดซอสครีมพาร์เมซาน ครีมมี่และออกเปรี้ยว เข้ากับ Clockwork Orange ออเรนจ์ไวน์จากพรีโนกรีผสมชาร์ดอนเนย์ที่ออกเปรี้ยว     ปิดท้ายด้วย Silere Lamb Chop เลือกใช้แกะที่ปล่อยเลี้ยงตามธรรมชาติของนิวซีแลนด์ ย่างกับโรสแมรี่ เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งและกระเทียมอบ บีบมะนาวย่างเพิ่มรส กินกับซอสโยเกิร์ตแตงกวา ตามสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน     เข้ากับ Crofters Syrah ไวน์ชีราซออร์แกนิกที่ถือว่าเป็นการจับคู่ที่สุดคลาสสิก

พูดถึง Riedel ไม่ว่าใครก็คงคุ้นเคยกับแก้วไวน์คุณภาพดี แต่ครั้งนี้พิเศษขึ้นไปอีกเมื่อ Riedel Wine Bar & Cellar เลือกประเทศไทยเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในการเปิดอาติซานไวน์บาร์ของแบรนด์                เมื่อพูดถึงไวน์บาร์ คุณคงสงสัยว่าแล้วแตกต่างจากไวน์บาร์ทั่วไปอย่างไร รีเดลเลือกไวน์คุณภาพกว่า 200 เลเบลเข้ามา โดยเฉพาะอาติซานไวน์ที่มีมากถึง 70% ของไวน์ทั้งหมด ที่สำคัญเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ลองดื่มไวน์ผ่านเทคโนโลยีไวน์ดิสเพนเซอร์ (Wine Dispenser) ตู้ควบคุมอุณหภูมิและคุณภาพของไวน์ ซึ่งมีไวน์ให้เลือกดื่มมากถึง 40 เลเบล ผ่านการใช้การ์ดเติมเงิน มีขนาดลองชิม 30 มิลลิลิตร ก่อนตัดสินใจว่าจะลองดื่มครึ่งแก้ว 75 มิลลิลิตร และเต็มแก้ว 150 มิลลิลิตร แต่ถ้าถูกใจก็สั่งเป็นขวดได้ ไม่เพียงเท่านั้น ไวน์ทั้งหมดในไวน์ดิสเพนเซอร์ยังได้รับการจับคู่กับแก้วไวน์ของรีเดลที่เหมาะกับไวน์แต่ละชนิดให้แล้ว รับรองว่าได้รสชาติที่ดีที่สุดของไวน์แน่นอน     วันนี้เราขอให้คุณคริสเตียน เบพพ์เลอร์ ซอมเมอลิเยร์ของรีเดลช่วยแนะนำไวน์ให้เราได้ชิม เริ่มจากไวน์ขาว คุมอุณหภูมิที่ 8 องศาเซลเซียส Bruno Giacosa Roero ไวน์ขาวจากองุ่น Arneis แคว้นพีมอนต์ อิตาลี คุณคริสเตียนบอกว่าไวน์ตัวนี้ให้ความฟรุตตี้ บอดี้กลางๆ ลูกแพร์ จัสมิน และซิตรัส พูดง่ายๆ ว่าอมเปรี้ยว รสไม่หนักมาก มาที่ไวน์แดง คุมอุณหภูมิที่ 16-18 องศาเซลเซียส     Si Vinters Si Red  ไวน์แดงออร์แกนิกที่เบลนด์ผสมจากองุ่นคาบองเนตซาวิญอง พีทีวีโด และมัลเบค จาก Margaret River ออสเตรเลีย คุณคริสเตียนบอกว่าไวน์ตัวนี้ออกรสพลัมเบาๆ เชอร์รี วานิลลา และอาซิดิตี้ หรืออมเปรี้ยวหน่อย ค่อนข้างมีกลิ่นของผลไม้ ไวน์สองตัวแรกแนะนำให้กินกับชีสและโคลด์คัตส์     ปิดท้ายด้วยไวน์กินกับของหวาน Pegasus Bay Reserve Aria Late Picked เป็นลิสติงจาก Waipara Valley นิวซีแลนด์ รสออกผลไม้พวกเสาวรสและเนกทารีน ซ่อนกลิ่นของน้ำผึ้ง แก้วนี้คุณคริสเตียนโชว์การดีแคนด้วยดีแคนเตอร์รูปงูของรีเดลที่ช่วยให้กลิ่นสีและรสของไวน์เด่นชัดขึ้น     แนะนำกินคู่กับแครมบรูเล หรือซุปเย็นมะม่วงสับปะรดของร้าน

ใจจริงในฐานะแฟนของ Beer Vault ก็ค่อนข้างเสียดายที่ปิดตัวลงไป ไม่ใช่เพราะขายไม่ดี แต่ทางโรงแรมฯ กลัวว่าแฟนๆ จะเบื่อกัน จึงนำเสนอความใหม่ด้วยไอริชผับ The Drunken Leprechaun Irish Pub ซึ่งเป็นหนึ่งในร้าน Best Brews ของแบรนด์เชอราตัน     ร้านเบียร์นี้มีสัญลักษณ์เป็นดังเคน เรปปิคอน ภูตแห่งความโชคดี ซึ่งเป็นสาขาที่ 2 ต่อจากสาขาแรกที่เปิดตัวไปที่จังหวัดภูเก็ต ดีไซน์ของร้านให้อารมณ์ของบาร์ไม้กับกำแพงอิฐตามสไตล์ของไอริชผับ นอกจากนั้นยังมีมุมเอาต์ดอร์ให้ได้นั่งรับลมเย็นสบายในฤดูหนาว แถมด้วยโปรโมชันแรงอย่าง Happy Hours ทุกวัน เวลา 16.00-20.00 น. อาหารกินเล่นพร้อมเบียร์ราคาพิเศษ หรือ Bros & Beer Night ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00-23.00 น. รับฟรีเบียร์ 1 ทาวเวอร์ โปรฯ นี้สำหรับหนุ่มๆ ที่มา 4 คน     ไม่ต้องคิดมาเมื่อมาถึงแนะนำ Guinness เบียร์ดำสัญชาติไอริช กินกับ The Drunken Leprechaun Bangers & Mash ได้เลย ฟองซ่าๆ กับรสหวานหอมของเบียร์เข้ากันได้ดีกับไส้กรอกราดน้ำเกรวีแน่นอน     แต่ถ้าไม่ชอบเบียร์ดำ ลาเกอร์เบียร์ Carlsburg ก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับฟิชแอนด์ชิปส์ อาหารยอดนิยมของเกาะอังกฤษ ยิ่งได้ The Drunken Leprechaun Fish & Chips แป้งฟูกรอบ บีบเลมอนนิด จิ้มกับทาร์ทาร์ซอสและถั่วลันเตาปรุงรสก็อร่อยดี     อีกจานเป็น Irish Roasted Salmon ปลาแซลมอนอบกับบัตเตอร์เลมอนและเคเปอร์ กินคู่กับมันบดคลุกผสมผักโขม ถั่วลันเตา และมะเขือเทศ จานนี้ก็เข้ากับลาเกอร์เบียร์ไทย     ห้ามพลาดกับพายที่มีให้เลือกเยอะทีเดียว อาทิ พายเนื้อใส่เบียร์ดำ พายแกะ พายเนื้อวัวผสมเครื่องใน โดยเฉพาะ Shepherd’s Pie พายเนื้อวัวผสมชีสและมันบดที่ปรุงรสมาอร่อยดี     กินกับ Hoegaarden Rosee ไวเซนเบียร์ที่ออกเปรี้ยวหวานก็เข้ากันดี

Rabbit Hole Cocktail Bar เป็นความคิดของคุณมีนและคุณบิ้งค์เจ้าของร้านที่อยากให้ที่นี่เปรียบได้กับโพรงกระต่ายที่เมื่อเข้ามาแล้วเหมือนหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ไม่รู้วันเวลา และยากที่จะกลับออกมาไปก่อนเวลาอันเหมาะสม      เนื่องจากตัวร้านติดริมถนนทองหล่อ จึงดีไซน์ร้านไม่ให้แขกถูกรบกวนจากคนที่เดินไปเดินมา ดีไซน์หลักจึงเน้นสร้างความเป็นส่วนตัว ทำให้ที่นี่ตัดขาดจากโลกภายนอก ภายในมีความดิบของปูน แต่ก็เติมความหวานด้วยเก้าอี้สตูลและโซฟาสีเขียวหัวเป็ด มีทั้งหมด 3 ชั้น ถ้าอยากสัมผัสค็อกเทลคัลเจอร์อย่างจริงจังต้องหน้าบาร์ที่ชั้น 1 จากฝืมือของบาร์เทนเดอร์หลักอย่าง คุณชาช่า-สุวิญชา สิงห์สุวรรณ และคุณยอด-ณภัทรณัฐชาชล ส่วนชั้นลอยมีมุมนั่งสบายๆ และชั้นบนสุดเป็นบาร์ที่เหมาะสำหรับจัดไพรเวตปาร์ตี้       ขอบอกไว้ก่อนว่าที่นี่มีขึ้นเพื่อคนบ้าค็อกเทลจึงไม่มีอาหารบริการ ค็อกเทลในร้านบอกตัวตนของบาร์เทนเดอร์ทั้งคู่ คุณชาช่ามาในสไตล์ของสปิริตฟอร์เวิร์ด นำหน้าด้วยรสชาติของสปิริตดรายๆ มากกว่าหอมหวานผลไม้ ส่วนคุณยอดมาในสไตล์หวานๆ รีเฟรชชิง White Truffle Martini แก้วนี้ห้ามพลาด ดื่มแล้วอยากได้สปาเกตตีชีสเยิ้มๆ ที่ขูดเอาทรัฟเฟิลลงไปจนเต็มหน้าสปาเกตตีมากินคู่กัน วิธีทำก็เจ๋งมาก ให้ความร้อนน้ำมันทรัฟเฟิลผสมจินทิ้งให้เย็นแล้วแช่แข็งที่อุณหภูมิ -18°หรือมากกว่านั้น เพื่อแยกไขมันออก แล้วกรองให้เหลือเพียงน้ำใส แช่เย็นทิ้งไว้ ก่อนเสิร์ฟล้างแก้วด้วยเวอร์มุธ มาพร้อมกับมะกอก      ใครชอบสปิริตนำคุณชาช่าแนะนำ Final Renovation เบลนด์วิสกี้ คาวาดอส ฮันนี่ลิเคียวร์ และน้ำเชื่อมใบเตยโฮมเมด คนผสมเข้าด้วยกัน รมควันแก้วด้วยเครื่องเทศสมุนไพรเพื่อสร้างมิติให้ค็อกเทล ให้กลิ่นรสสโมกๆ แต่หวานติดจมูก     ปิดท้ายด้วยค็อกเทลสายเนี้ยบของคุณยอด Queen of Hearts วอดก้าผสมน้ำว่านหางจระเข้ น้ำเชื่อมดอกบัวโฮมเมด และน้ำมะนาว เชกผสมกัน รสหวานนำเปรี้ยวตาม หอมอบอวลด้วยดอกบัว  

ด้วยความไม่รู้ว่าเป็นวันแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของ Bacardi Legacy เราจึงพลาดโอกาสพบกับคุณมิทเชล ไค ลัม (Mitchell Kai Lum) บาร์เทนเดอร์ชาวฮาวายของ Vertigo Too แต่หลังจากชิมเครื่องดื่มของเขาที่บาร์แห่งนี้เรียบร้อยเราก็เดินทางไปเกาะขอบเวทีชมการแข่งขันและร่วมแสดงความยินดีกับเขาในฐานะแชมป์ปีล่าสุด ค็อกเทลที่เขาใช้แข่งขันและชนะเลิศชื่อว่า The Haole จุดเด่นอยู่ที่กลิ่นรสของสับปะรดซึ่งสื่อความเป็นฮาวาย แน่นอนว่าค็อกเทลแก้วนี้กลายเป็นค็อกเทลที่ขายดีที่สุดหลังจากเขาได้แชมป์      เวอร์ทิโก ทู ถือว่าเป็นภาคต่อของเวอร์ทิโกและมูนบาร์บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม ปรับโฉมมาจากห้องอาหารจีนไบยุนให้กลายเป็นบาร์สุดเก๋ในโทนสีทองแดง ดำ เงิน และม่วง ด้านบนเพดานมีแสงไฟระยิบระยับคล้ายดวงดาว รายล้อมด้วยแสงสีและวิวยามค่ำคืนของเมือง      ค็อกเทลที่มิทเชลวางคอนเซ็ปต์ไว้เป็นค็อกเทลที่ใช้สปิริตซึ่งค่อนข้างดีเพื่อให้ได้โชว์รสชาติของสปิริต บางสูตรก็ทวิสต์เอาจากคลาสสิกค็อกเทล The Hitchcock ใช้จินบดผสมกับแตงกวา ใส่เวอร์มุธไซรัปเอลเดอร์ฟาวเวอร์อินฟิวกับน้ำผึ้ง และเลมอนโซดา ใครชอบความสดชื่นแบบแตงกวาน่าจะชอบ     แก้วที่ทวิสต์จากคลาสสิกค็อกเทลอย่างแมนฮัตตันชื่อว่า Final Countdown ใช้เบอร์เบินผสมลิเคียวร์เชอร์รีลิเคียวร์สมุนไพร และแอปเพรีทีฟ เรียกว่าบาลานซ์กันระหว่างสปิริต จึงให้กลิ่นรสที่แรงกว่าค็อกเทลที่ผสมกับไซรัปและน้ำผลไม้     และแก้วสุดท้าย Why So Cereal?!? ได้ไอเดียจากเบียร์มาต่อยอด วิสกี้ข้าวไรย์เบลนด์วิสกี้ ไซรัปเบียร์โฮมเมด และบิตเตอร์ก่อนเสิร์ฟรมควันด้วยกลิ่นแอปเปิล กลิ่นรสที่ได้คล้ายกับค็อกเทลที่มีวิสกี้เป็นตัวหลัก สโมกๆ หวานๆ      ส่วนอาหารก็ออกแบบมาคำเล็กในสไตล์ Cross Cultural Food อาทิ Tom Yum Springs Rolls คล้ายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนแต่เป็นเครื่องต้มยำ รสดีเปรี้ยวเผ็ดอร่อย Salmon Ceviche  แซลมอนสดกับซอสและหอมเจียว ให้กลิ่นรสไทยๆ Fried Squid Legs ปลาหมึกทอดกับผงลาบ กินกับมายองเนสศรีราชา และ Jasmine Tea Smoked Lamb แกะรมควันชามะลิ            สำหรับวันเสาร์และอาทิตย์เวลา 14.00-17.00 น. ที่นี่ยังมี High Tea Set เสิร์ฟกับชารอนนาเฟลแชมเปญ และค็อกเทลชาตามความชอบ