‘เยาวราช’ ถนนแห่งความอร่อยที่ไม่เคยเงียบเหงา และเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของวิถีชีวิตชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน โดยร้าน JAO.UN - 早安 คาเฟ่และบาร์แห่งใหม่ในตรอกเจริญชัย 2 นี้ ก็เป็นอีกพิกัดที่จะพาเราย้อนเวลาไปดื่มด่ำกับเครื่องดื่มรสชาติดี ท่ามกลางบรรยากาศสุดคลาสสิกแบบจีนยุคเก่า ร้าน JAO.UN - 早安  ปรับปรุงมาจากโกดังเก็บของในตึกแถวเก่าอายุกว่าร้อยปี ภายในอบอวลไปด้วยความอบอุ่น แฝงกลิ่นอายความเป็นบ้านจีนโบราณจากประตูโทนสีแดง และวงกบหน้าต่างไม้ที่ใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา บวกกับผนังเดิมๆ ของบ้านที่ยังคงทิ้งร่องรอยในอดีตเอาไว้ให้เราได้เห็น ยิ่งช่วยเสริมความดิบเท่ และความคลาสสิกให้ที่นี่ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว โดยทางร้านเน้นเสิร์ฟเป็นเมนูขนม เครื่องดื่มรสละมุนในเวลากลางวัน ก่อนจะเปลี่ยนมู้ดเป็นบาร์ชิลๆ ในยามค่ำคืน เริ่มด้วย Middle Child (120.-) เครื่องดื่ม Non-Coffee สุดนุ่มนวลจากนมสดเย็นท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลา โรยผงโกโก้ หอมมันกินง่าย หรือจะลองเป็น Ice "Cha Manao Dong" (80.-) ชาดำจากน่านผสานมากับน้ำมะนาวสด และไซรัปมะนาวดอง รสชาติเปรี้ยวหวาน ปนเค็มเล็กน้อย ดื่มแล้วสดชื่น ในส่วนของเมนูขนมแนะนำ Bacon Strawberry Mantou (90.-) หมั่นโถวอบร้อน สอดไส้เบคอนย่างกรอบนิดๆ เสริมความหวานด้วยแยมสตรอวเบอร์รีโฮมเมด รสชาติกลมกล่อมเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ อีกตัวที่อร่อยไม่แพ้กัน Banoffee (95.-) ฐานล่างเป็นแครกเกอร์กรุบกรอบฉ่ำเนย เข้ากับวิปครีม และกล้วยหอมสดคุณภาพดี ราดด้วยซอล์ทเท็ด คาราเมลโฮมเมด หวานเค็มมันกินเพลินสุดๆ

สัมผัสความชิลฟีลยุโรปที่ W8 Space คาเฟ่สวยหรูสีขาวครีมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านในเขตเคนซิงตัน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยนอกจากจะสามารถแวะมาผ่อนคลาย จิบกาแฟแก้วโปรด และอร่อยกับขนมรสละมุนในช่วงกลางวัน ยามค่ำคืนที่นี่ยังถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่แฮงก์เอาต์ของเหล่าไวน์เลิฟเวอร์อีกด้วย ภายในเลือกใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์หลากสีดีไซน์ร่วมสมัย ซึ่งตัดกับโทนสีของร้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตกแต่งด้วยขวดไวน์ที่นำมาทำเป็นแจกันใส่ดอกไม้วางไว้ตามมุมต่างๆ ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับร้านได้เป็นอย่างดี เริ่มด้วย Bread Custard Pudding (120.-) บริยอชเนื้อนุ่มฉ่ำเนย มาพร้อมครีมคัสตาร์ดที่มีส่วนผสมของฝักวานิลลาแท้หวานหอม ท็อปด้วยครัมเบิลกรุบกรอบ และลูกเกดที่ช่วยเสริมรสชาติให้จานนี้อร่อยกินเพลินยิ่งขึ้น ต่อด้วยเมนูอาหารเช้าสไตล์อังกฤษ Egg & Soldiers (180.-) โดยการนำขนมปังปิ้งที่หั่นเป็นแท่งเรียวยาวไปจุ่มลงบนไข่ลวก กินพร้อมอะโวคาโดสไลซ์ และเบคอนสไตล์อิตาเลียน ในส่วนของเครื่องดื่มต้องลอง Honey Nut Latte (155.-) รสเข้มข้นของเอสเปรสโซช็อตจากเมล็ดกาแฟคั่วกลาง ถูกตัดด้วยความนุ่มนวลจากนมโอ๊ตที่ผสานมากับน้ำผึ้ง หอมหวานกลมกล่อม ถ้าหากอยากเติมความสดชื่นแนะนำ Orange Americano (145.-) กาแฟส้มเมนูสุดโปรดของสาวๆ หลายคน ที่เสริมความซ่าเล็กน้อยด้วยโซดา ดื่มแล้วชื่นใจ

ไตรมาสสุดท้ายของปีคือช่วงเวลาดีๆ แห่งการสังสรรค์ แนะนำ Matchibako หรือกล่องไม้ขีดไฟ ร้านแฮงก์เอาท์เปิดใหม่ย่านทองหล่อที่เหมาะกับการดื่มกิน ความแปลกใหม่ของร้านคือตกแต่งฉีกลุคอิซากายะ หรือร้านเหล้าญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่หลายคนคุ้นเคยมาในสไตล์บิสโทร คุมโทนด้วยสีแดงส้ม ตั้งแต่ผนังอิฐ เสากลมกลางร้าน พื้น และเฟอร์นิเจอร์ สีส้มยังสื่อถึงรสชาติและช่วยกระตุ้นให้เราเจริญอาหารอีกด้วย อาหารของร้านนำเสนอสไตล์อิตาเลียนและยุโรป ปรุงจากวัตถุดิบอิมพอร์ตจากญี่ปุ่น เน้นพอชชั่นไม่ใหญ่มาก เหมาะกินเป็นกับแกล้มเบาๆ แบบร้านอิซากายะ อาทิ Brie บรีชีสเสิร์ฟพร้อมสาหร่ายอบแห้ง โชยุ แผ่นเกี๊ยวซ่ากรอบ และวาซาบิ เป็นเมนูที่เข้าคู่ได้กับไวน์ทุกแก้ว Chicken Liver Pâté ตับไก่เนื้อเนียน อบอวลด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรและได้รสหวานกลมกล่อมจากหอมใหญ่ผัด เวลากินตักปาดบนขนมปังฟอร์กาเซียหนึบๆ เหนียวๆ เคี้ยวเพลิน Sakana Tartare ทาร์ทาร์ปลาดิบ 3 ชนิด ได้แก่ ฮามาจิ แซลมอน และทูน่า ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำมันมะกอก พริกไทย น้ำมะนาว เสิร์ฟกับอะโวคาโด คาเวียร์ และขนมปังฟอร์กาเซีย เป็นเมนูที่กินแล้วสดชื่น ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา หลังเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน เช่นเดียวกับ Burrata Salad บูราต้าชีสเสิร์ฟกับซัลซ่าผลไม้ ฟักทอง มะเขือเทศพิวเร่ และบัลซามิก อิ่ม อร่อย สบายท้อง Tsukune Aioli เนื้อไก่บดผสมเนื้อหมูกับกระดูกอ่อนปั้นเป็นลูกกลมพอดีคำ  กินกับซอสกระเทียมแบบอิตาเลียน   หากเริ่มหิวและมองหาจานหลักหนักท้องสั่ง New York Strip สเต๊กเนื้อแองกัสขนาด 300 กรัม เสิร์ฟกับซอสสไตล์ญี่ปุ่นกลิ่นหอมอ่อนๆ เค็มปลายลิ้นเล็กน้อย กินกับสลัดผักสดและผักย่าง ถ้าชอบเมนูเส้นแนะนำ Pappardelle with Pork Cheek Ragu Burrata เส้นปัปปาร์เดลเลเหนียวนุ่ม ท็อปด้วยรากูแก้มหมูที่ตุ๋นนาน 4 ชั่วโมง รสชาติกลมกล่อมแทบละลายในปาก ปิดท้ายด้วยของหวานโฮมเมด Panna Cotta หรือ Lisbon Chocolate Cake เป็นร้านที่เปิดตัวได้ไม่นาน ก็เป็นที่รวมของคนรักการดื่มกินไปแล้ว!

Sola Luna ห้องอาหารรูฟท็อปแห่งใหม่บนชั้น 32 ของโรงแรมแกรนด์เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา โรงแรมธีมอวกาศแห่งแรกในไทยที่ออกแบบล้อไปกับคอนเซ็ปต์ของโรงแรม ไฮไลต์อยู่ที่วิวโค้งหาดพัทยาแบบ 360 องศา ในช่วงกลางวันที่นี่จะสว่างด้วยแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่าน ส่วนยามค่ำคืนจะให้อารมณ์โรแมนติกจากแสงไฟสีชมพู เมนูของ Sola Luna ผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นและอิตาเลียนไว้ด้วยกัน แบ่งเป็นเมนูฝั่ง Sola กินแล้วสดชื่น ไม่หนักท้องจนเกินไป ในขณะที่เมนูฝั่ง Luna จะให้อารมณ์จริงจังขึ้นอีกนิด เริ่มมื้อนี้ด้วย Nicoise Salad with Seared Tuna สลัดนิซัวส์ที่มาพร้อมผักหลากชนิด ไข่ต้ม และทูน่าย่างที่น่าจะถูกใจสายเฮลท์ตี้เป็นพิเศษ ส่วนใครเป็นแฟนโคลด์คัตทางร้านมีให้เลือกชิมค่อนข้างหลากหลาย เราแนะนำ Melon & Prosciutto แฮมโพรชูโตจากอิตาลีรสเค็มอ่อนๆ สไลซ์เป็นแผ่นบางจับคู่เมลอนญี่ปุ่นหอมหวาน เข้าสู่จานหลัก Miso-glazed Sea Bass with Asparagus and Potato Mousse สเต๊กปลากะพงขาว ส่วนหนังกรอบ เนื้อนุ่มหวานไปด้วยกันได้ดีกับซอสมิโซะเสิร์ฟพร้อมหน่อไม้ฝรั่งและมันบด ปิดท้ายด้วยของหวานชวนหลงรัก Sakura Jello ชีสเค้กเนื้อแน่นด้านบนเป็นเจลลี่สีชมพูที่เชฟใส่กลีบดอกซากุระลงไปด้วย ข้างๆ กันเป็นต้นซากุระที่ทำจากช็อกโกแลต ส่วนดอกซากุระที่เบ่งบานฟูฟ่องทำจากสายไหม เหมาะสำหรับสั่งเซอร์ไพรส์คนพิเศษ

Joe’s Whisper บาร์เปิดใหม่ในคอนเซ็ปต์โอลด์สคูลที่นำเราเดินทางย้อนเวลาสู่ยุค 80-90 ตกแต่งดึงดูดสายตาตั้งแต่ทางเข้าร้านที่คุมโทนด้วยสีเข้มขรึม โครงสร้างร้านและเฟอร์นิเจอร์เน้นทำจากไม้ รวมทั้งไอเทมของสะสมที่ล้วนให้กลิ่นอายของวันวาน ในขณะเดียวกันก็ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและอยากนั่งชิลนานๆ    ทีเด็ดของร้านจึงผสมผสานไว้ทั้ง อาหาร เครื่องดื่ม และบรรยากาศ ที่ขาดไม่ได้คือมิตรภาพของคนแปลกหน้าที่มาอยู่รวมกัน แม้ไม่ได้พูดคุยแต่เพียงรอยยิ้มเล็กๆ ยามสบตาก็ทำให้รู้สึกว่าดีต่อใจแล้ว      อาหารของที่นี่เน้นปรุงแต่งน้อยเพราะตั้งใจชูรสชาติของวัตถุดิบจากธรรมชาติให้มากที่สุด โดยเฉพาะซีฟู้ดที่อบอวลด้วยกลิ่นไอความสดชื่นเหมือนเพิ่งยกขึ้นจากทะเล เมื่อจับคู่กับค็อกเทลคราฟท์ก็ยิ่งชูรสชาติของอาหารให้มีมิติซับซ้อนและน่าสนใจยิ่งขึ้น แนะนำเริ่มที่เมนูเรียกน้ำย่อย Tuna Tarta ทูน่าหั่นชิ้นเล็กคลุกเคล้ากับเครื่องเครา ปรุงรสเปรี้ยวนำช่วยปลุกความสดชื่นหลังอ่อนล้ามาทั้งวัน  ต่อด้วย Scallop Capacio หอยเชลล์คาปาชิโอ เนื้อแน่นเคี้ยวเต็มคำ ราดด้วยซอสโชยุ เสิร์ฟกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเปรี้ยวแซ่บ  Australian Wagyu Beef Grilled with Chimichuri เนื้อพิคานย่าย่างระดับมีเดียมแรร์ ราดด้วยซอสชิมิชูริสูตรเฉพาะของร้าน รสเปรี้ยวนำเค็มตามผสานความชุ่มฉ่ำของเนื้อวากิวได้อย่างไร้ที่ติ  Pan Seared Salmon Steak แซลมอนกริลล์ให้ผิวเกรียมนิดๆ แต่เนื้อในนุ่มนวลไม่แห้งกระด้าง ราดด้วยซอสคาเวียร์เข้มข้น ละมุนลิ้น  จานสุดท้ายที่ไม่อยากให้พลาด ข้าวมันเนื้อ เชฟเจียวมันเนื้อให้เหลืองหอม แล้วนำน้ำมันมาผัดกับข้าว ท็อปด้วยเนื้อแดดเดียวทอดรสเค็มนิดๆ ยกนิ้วให้ในความกลมกล่อมทุกองค์ประกอบ   ค็อกเทลคราฟท์ยังเป็นไฮไลท์ที่ห้ามพลาด แนะนำ Joe’s Magic ที่มีส่วนผสมของลิ้นจี่ พุทราจีน กระเจี๊ยบ อินฟิวส์กับลิเคียว มาร์ตินี และเบอร์เบิ้ล หอมหวาน ดื่มง่าย อีกเมนูคือ Pink on Ice ผสานความลงตัวของลิ้นจี่ ราสเบอร์รี่ และบัตเตอร์ชีส ท็อปด้วยโฟมไข่ขาว รสชาติออกโทนฟรุ้ตตี้     กินดื่มครบรส จนอยากกลับมาซ้ำอีกหลายครั้ง!

ณ ชั้น 6 ของห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักษ์อย่าง ICONSIAM มีร้านที่ชื่อว่า “HOBS” เป็นบาร์วิวดี ที่มีโลเคชั่นติดอยู่กับร้าน Fallabella River Front ให้คุณได้สัมผัสลมเย็นๆ ที่มากระทบใบหน้า ช่วยผ่อนคลายความร้อนและความอบอ้าว มองไปเบื้องหน้าจะเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาผืนกว้าง ตึกสูงน้อยใหญ่ที่ทำให้เมืองกรุงฯ กลายเป็นป่าคอนกรีต ถึงแม้ว่าจะดูวุ่นวายแต่ก็งดงามอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน       นอกจากจะตกแต่งสถานที่ให้คุณดื่มด่ำกับวิวสวยๆ แล้ว ฮอบส์ยังให้คุณผ่อนคลายไปกับดนตรีสดแสนไพเราะ เคล้าอาหารโฮมเมดนานาชาติอันหลากหลาย ให้เหล่าฟู้ดดี้ได้ลิ้มลองและสร้างความประทับใจ โดยเฉพาะสายดื่มที่เพลินไปกับการจิบค็อกเทลรสเลิศ หรือเบียร์ประเภทต่างๆ ซึ่งขอบอกเลยว่ามีให้คุณเลือกได้อย่างละลานตา ใครกำลังมองหาที่แฮงเอาท์ก็เตรียมปักหมุดแล้วหาวันหยุดมานั่งสังสรรค์ที่นี่ได้เลย       เรียกน้ำย่อยด้วยอาหารเม็กซิกันอย่าง  Beef Nachos​ แผ่นข้าวโพดทอดกรุบกรอบ รสเค็มกลมกล่อม ด้านบนมีซอสเนื้อและชีสมอซซาเรลลาเยิ้มๆ จิ้มกับซอสซัลซ่ามะเขือเทศรสเปรี้ยวสดชื่น และซาวครีมหอมมัน     ตามด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Truffle Cheese Bomb เบอร์เกอร์ชิ้นบิ๊กเบิ้ม ขนมปังบันนุ่มๆ ประกบเนื้อทอดหอมฟุ้งสีเหลืองทองน่ากิน ที่ด้านในซ่อนชีสครีมมีเยิ้มๆ เอาไว้ กัดกินพร้อมกันสร้างความเซอร์ไพรส์ให้เราไม่น้อยเลย เสิร์ฟคู่กับมันฝรั่งทอด ข้าวโพดย่าง และมันบดเนื้อเนียน     Pork​ Knuckle หรืออีกชื่อที่คนไทยคุ้นหูกันว่า “ขาหมูเยอรมัน” ชิ้นโตๆ ทอดจนหอมกรุ่น หนังกร๊อบกรอบ เนื้อนุ่ม ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเปรี้ยวนิดเผ็ดหน่อย ตัดเลี่ยนด้วยผักดอง     ยังมี Sausage Platter ไส้กรอกเยอรมันสูตรลับฉบับของทางร้าน มีมาให้คุณได้เลือกอร่อยถึง 4 แบบ อาทิ ไส้กรอกเนื้อวัวผสมเนื้อหมู ไส้กรอกเนื้อหมูผสมไก่ ไส้กรอกเนื้อหมูล้วน และไส้กรอกเนื้อหมูผสมชีส กินพร้อมกับมันบดราดน้ำเกรวีรสเค็มละมุน สุดเข้ากัน     มาถึงจานขายดีอย่าง Mussels​ Leffe หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวอ้วน คลุกเคล้าไปกับซอสสูตรโฮมเมดที่ทำมาจากเบียร์ ให้กลิ่นหอมๆ และรสเปรี้ยวอมหวาน     จิบคู่กับม็อกเทลแก้วเด็ดดวงอย่าง Lost in the Forest รสชาติเปรี้ยวแกมหวานนี้ได้มาจากการผสมผสานระหว่างซอสสตรอว์เบอร์รี ซอสราสป์เบอร์รี น้ำแครนเบอร์รี และตะไคร้     Hidden Gem in the Garden จิบแล้วชื่นใจดี เสาวรส ชาหญ้าหวาน น้ำผึ้ง และใบเบซิล รวมกันเป็นรสชาติที่ลงตัว     ปีใหม่ใครยังไม่มีที่เค้าท์ดาวน์เราแนะนำที่นี่เลย

วิวสวยสุดใจ  ABar Rooftop รูฟท็อปบาร์ที่ฮอตที่สุด ณ ขณะนี้ ของโรงแรมแบ็งคอก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ที่ขอขีดเส้นใต้เอาไว้ตรงนี้ว่าสายปาร์ตี้ห้ามพลาด เพราะที่นี่มีไฮไลต์เป็นวิวของกรุงเทพฯ ที่มองเห็นได้กว้างสุดสายตา โดยเฉพาะช่วงโพล้เพล้ที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม ยิ่งทำให้ที่นี่สวยเป็นพิเศษ           ที่นี่รวมรวม Gin มาไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เครื่องดื่มของเอบาร์จึงดีไซน์แต่ละแก้วออกมาได้อย่างน่าสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นเมนูม็อกเทลก็เก๋ไม่แพ้กัน เริ่มด้วยม็อกเทล Butterfly Effect แยกชั้นด้านล่างเป็นน้ำเชื่อมลิ้นจี่หอมหวาน ส่วนชั้นบนเป็นน้ำอัญชัญ แล้วเพิ่มรสชาติด้วย Spicy Plum     ตามมาด้วยแก้วที่ 2 Rose Tea ชากุหลาบที่สดชื่นทุกครั้งที่ยกขึ้นจิบ มีผลสตรอว์เบอร์รี่สดให้เคี้ยวได้เพลินๆ หอมหวานจากน้ำผลไม้และสดชื่นจากใบสะระแหน่ แก้วถัดมาให้อารมณ์เข้มและเท่ Coffee Tonic ที่ความขมของเอสเพรซโซมาเจอกับกลิ่นหอมของน้ำมะพร้าวและโทนิคเพิ่มความซ่า       ส่วนเมนูอาหารก็กินเพลินและจับคู่กับเครื่องดื่มได้ดี โดยเฉพาะ Spicy Tuna Taco ทาโก้ที่ใช้แป้งเกี๊ยวทอดจนกรอบสอดไส้สลัดทูน่าที่ปรุงรสได้จี๊ดจ๊าดดี     หรือจะลอง Spicy Chicken Popcorn ไก่ทอดคาราอาเกะชิ้นอวบ กรอบนอกเนื้อในยังชุ่มฉ่ำ รสชาติเผ็ดนิดเค็มหน่อย และ  เฟรนช์ฟรายทอดราดน้ำมันทรัฟเฟิลกลิ่นหอมกินเพลินแบบหยุดไม่ได้       กระซิบเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าที่นี่รับวอล์กอินเท่านั้น อยากได้ที่นั่งดีๆ ต้องรีบมา

  หากอยากได้โมเมนต์หวานๆ กับคนรู้ใจ หรือมุมแฮงก์เอาท์สนุกๆ กับกลุ่มเพื่อน แนะนำที่ Barracuda Rooftop Bar บนชั้น 18 ของโรงแรมอครา ย่านพญาไท รูฟทอปบาร์ที่แวะมาเอ็นจอยได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ แถมยิ่งดึกก็ยิ่งสวยด้วยแสงไฟระยิบระยับจากตึกสูงที่ล้อมรอบและยวดยานบนท้องถนนที่เคลื่อนไหวสลับกับหยุดนิ่งในบางเวลา ภาพของเมืองหลวงที่มีทั้งสีสันและความวุ่นวาย แต่ก็ทำให้เราเพลิดเพลินจนไม่อาจละสายตาเลยล่ะ               ส่วนอาหารนำเสนอสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนและนานาชาติ อาทิ Cold Cut Skewer เมนูเสียบไม้คล้ายบาร์บีคิวเก๋ๆ มีแฮมดองเค็มหลายแบบ สลับกับมะกอกดำ กินแกล้มกับขนมปังอิตาเลียนที่เหนียวนุ่มเป็นเอกลักษณ์       ส่วนเมนูที่จับคู่กินกับเครื่องดื่มแล้วเข้ากันทุกชนิดยกให้ Tuna Tataki ทูน่าจี่กระทะให้สุกแค่ผิวนอก ส่วนด้านในอวดสีชมพูสวยชวนกิน เชฟหั่นชิ้นหนาให้เคี้ยวเต็มปากเต็มคำ ก่อนส่งเข้าปากอย่าลืมแตะซอสพอนสึรสเปรี้ยวจะชูรสชาติความอร่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว       Seafood Mixed Grilled Herb Crusted ยกทะเลขึ้นโต๊ะให้กินแบบจุใจ มีทั้งกุ้งแม่น้ำ หอยเชลล์ฮอกไกโด หอยลาย แซลมอน หมึก ปูนิ่ม ทั้งหมดจี่พอสุก กินกับผักย่างและซอสสูตรลับ บีบเลมอนเพิ่มรสเปรี้ยวอีกนิด กระปรี้กระเปร่าได้ทั้งคืน       ส่วนค็อกเทลร้อนแรงที่ให้คะแนนแทบไม่ทันยกให้ Sri Sangria และ Barracuda Spritzer ทั้งสดชื่นและหอมหวาน หรือจะดื่มม็อกเทลก็มีให้เลือกหลายรสชาติ     เติมสีสันให้ชีวิตได้ทุกวันที่ “บาราคูด้า”

สายดื่มคนไหนกำลังมองหาบาร์ชิคๆ นั่งชิลล่ะก็ เตรียมมาเช็คอินที่ Deco Bar แห่งโรงแรมเดอะสยามได้เลย รื่นเริงไปกับการตกแต่งที่มีชีวิตชีวาสไตล์อาร์ตเดโค ศิลปะที่ผสมผสานอาร์ตหลากหลายแบบในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เพื่อสร้างความงามในรูปแบบใหม่ขึ้นมา ผนังด้านนอกเป็นกระจกสีดำสไตล์โมเดิร์ลที่มีพื้นลายสีขาวดำทันสมัย  ภายในตกแต่งด้วยของเก่าสุดคลาสสิคทั้งเครื่องดนตรีทองเหลือง สมุดเพลง และรูปเขียน       หินอ่อนหรูหราผสานไปกับความโมเดิร์ลของเฟอร์นิเจอร์สีขาวดำเท่ๆ แทรกสีสันสดใสด้วยภาพเขียนติดผนัง ภาพใหญ่อลังการ เดินขึ้นไปชั้นบนนั้นจะไปพบบาร์ขนาดใหญ่สีดำ ที่เชิญชวนให้คุณนั่งจิบค็อกเทลและไวน์ที่คัดสรรมาอย่างดี แถมยังมีสแนคและเมนูอาหารแสนอร่อยทั้งพิซซา พาสตา ซึ่งเป็นสูตรจากร้านอาหารในเมืองนิวยอร์ก ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6  เคยเสด็จไปเยือนเมื่อปี พ.ศ. 2445 อีกด้วยนะ       เมนูแรกเป็น กุ้งห่มผ้า กุ้งเนื้อหวาน ใบชะพลู ถูกห่อด้วยแป้งปอเปี๊ยะอย่างสวยงาม จากนั้นนำไปทอดให้เป็นสีเหลืองทอง หอมกรุ่นน่ากิน เสิร์ฟกับน้ำจิ้มบ๊วยรสหวานละมุนสุดเข้ากัน     ไปต่อกันกับ สะเต๊ะไก่ ไก่เนื้อแน่นเสียบไม้ หมักด้วยขมิ้นจนไร้กลิ่นสาบ และนำไปย่างจนหอมฉุย จิ้มกับซอสไก่สะเต๊ะ ที่ทำจากถั่วรสหวานมัน และน้ำอาจาดรสเปรี้ยวอมหวาน     จิบคู่กับ Ginger Punch ม็อกเทลสีสวยสดใส ที่รวมรสชาติมาจากไซรัปทับทิม น้ำแอปเปิ้ล ขิง โหระพา และโซดา รสเปรี้ยวอมหวานซาบซ่า สดชื่น     ตบท้ายด้วย Kaffir Lime Fizz ค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่เหมาะจิบก่อนอาหารอย่างยิ่ง ประกอบไปด้วยเหล้าจิน น้ำตาลทรายแดง น้ำมะนาว โซดา และใบมะกรูด รสเปรี้ยวเล็กๆ ซ่าหน่อยๆ ชื่นใจดี     มาที่นี่แล้วไลฟ์ลีสุดๆ ไปเลย

ไม่มีใครบังคับไว้ว่าสีพาสเทลเป็นสีของคาเฟ่น่ารัก ๆ เท่านั้น ลองขึ้นมาพิสูจน์ที่ Paradise Lost สวรรค์แห่งใหม่สไตล์นีโอ-ทรอปิคัลบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม สยาม แอท สยาม ดีไซน์ กรุงเทพ แล้วจะรู้ว่าสีหวาน ๆ กับการเป็นค็อกเทลบาร์แห่งโลกอนาคตนั้นเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด     ต้องยกความดีงามนี้ให้กับ MASH ทีมนักออกแบบสัญชาติออสเตรเลีย ที่เข้ามาทำให้ดาดฟ้าแห่งนี้กลายเป็นสวรรค์แห่งใหม่ของชาวกรุงเทพฯ และยังเสริมทัพด้วยแนวคิดโลกอนาคตหลังจากวันสิ้นโลกของทีม Proof & Company ผู้อยู่เบื้องหลังบาร์ระดับโลก เช่น ร้าน 28 Hongkong Street ในประเทศสิงคโปร์ เลยทำให้ Paradise Lost โดดเด่นตั้งแต่เปิดตัว       มีเพียงสวรรค์แห่งนี้เท่านั้นเป็นดั่งโอเอซิสของเหล่ามนุษยชาติในวันสิ้นโลก เมนูเครื่องดื่มทั้งหลายที่สร้างสรรค์โดยแกเบรียล โลว์ บาร์เทนเดอร์หนุ่มจากซานฟรานซิสโก จึงมีชื่อเรียกที่ล้อเลียนไปกับเรื่องราวนี้ เช่น Curse of Civilisation เสิร์ฟมาในแก้วรูปคน รสชาติเบา ๆ ดื่มง่าย ด้านบนเป็นเกรปฟรุ๊ตฝานปิดไว้ โรยด้วยเนื้อมะพร้าวคั่ว Static Sunset เป็นอีกหนึ่งแก้วที่ดื่มได้เรื่อย ๆ เพราะมีส่วนผสมของแตงโม น้ำแตงกวา และเพิ่มความสดชื่น       สำหรับม็อกเทลต้องยกให้กับ Thirst-aide Kit ได้ให้รสและกลิ่นของสมุนไพร ตระไคร้ มะกรูด และขิงอย่างชัดเจน ส่วน Fearless Hoopoe จิบแล้วชื่นใจเพราะมีส่วนผสมของชารอยบอส มิ้นต์ เสาวรส และน้ำมะนาว และสังเกตได้ว่าเครื่องดื่มแต่ละตัวล้วนมีส่วนผสมจากท้องถิ่น เพราะหนึ่งในหัวใจหลักของ Paradise Lost คือความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แม้แต่สปิริตก็บรรจุมาในถังใหญ่ 25 ลิตรเพื่อลดการใช้ขวดแก้วแบบที่เรียกว่า ecoSPIRITS       Paradise Lost เหมาะสำหรับการสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน อาหารของที่ร้านจึงเป็นแนว Sharing จากฝีมือการรังสรรค์ของเชฟเทพ-มนต์เทพ กมลศิลป์ ผู้อยู่เบื้องหลังร้านอาหารไทย Taan ในโรงแรมแห่งเดียวกัน โดยเน้นวัตถุดิบที่หาได้ในประเทศไทย     เมนูกินเล่น Mango Wrap X Popped Fish ใช้ปลาเก๋าจากอ่าวไทย คลุกเคล้าด้วยมะพร้าวคั่วเป็นเปลือกกรอบ ๆ ด้านนอก เสียบไม้มาคู่กับมะม่วงห่อใบชะพลูได้รสชาติหวานอมเปรี้ยวแสนเข้ากัน     Cricket X Crab ครอแก็ตเนื้อปูที่พิเศษเพราะสอดไส้จิ้งหรีดทอด เวลากัดจะได้ความนุ่มของเนื้อปูและความกรอบมันของเนื้อจิ้งหรีด     อีกเมนูกินเล่นสุดคลาสสิกคือ Baby Calamari X Cilantro Salad ปลาหมึกชุบแป้งทอดเสิร์ฟพร้อมสลัดผักสดและซอสทาร์ทาร์     ต่อด้วยจานหนักที่มีชื่อว่า Paradise Oyster X Lemongrass Jelly หอยนางรมสดจากสุราษฎร์ธานี มาพร้อมเจลลี่รสตะไคร้ กระเทียมดอง มิ้นต์ และเจลลี่รสพอนสึแผ่นกลม ๆ ผสมผสานรสชาติออกมาได้อย่างลงตัว     อีกหนึ่งซิกเนเจอร์เมนูที่พลาดไม่ได้คือ Duck Leg Confit X Bone Marrow ขาเป็ดกงฟีเนื้อนุ่มลิ้นโรยด้วยงาขี้ม่อนเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบของหนังเป็ด ราดด้วยซอสทรัฟเฟิลรสชาติหวานกลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมกับไขกระดูกผสมมันฝรั่งมูสลินครีม จึงมีเนื้อเนียนนุ่มกินได้เรื่อย ๆ ไม่รู้เบื่อ     มีอาหารและเครื่องดื่มตรงหน้าแล้วอย่าลืมเงยหน้าขึ้นมามองวิวกรุงเทพฯ ยามเย็น ที่งดงามแบบไม่มีอะไรมาบดบังสายตาเลยสักนิดเดียว

หากใครเคยหลงรักสีสันและบรรยากาศของ “ปาเฮ่า” (Ba hao 八號) บาร์สไตล์จีนที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในซอยนานาย่านเยาวราช มาตอนนี้เราคงขอกระซิบดังๆ ว่าที่นี่ได้แปลงร่างเป็น “Ba hao Residence” ที่มีห้องพักให้บริการโดยจองผ่าน AirBNB ไปเป็นที่เรียบร้อย และที่สำคัญในโซนบาร์เขายังเปิดให้บริการในช่วงกลางวันตั้งแต่ 11 อีกด้วย     แน่นอนว่าจุดเด่นที่แสดงความเป็นปาเฮ่าอยู่เสมอมาก็คือ ตึกแถวหลังเก่าที่ยังคงความวินเทจและสง่างามสมกับเป็นบ้านเลขที่ 8 ในย่านนี้ ซึ่งห้องพักที่มีทั้งสองห้องก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ด้วยการผสมผสานศิลปะสไตล์จีนที่มีอยู่เป็นทุนเดิมมาเข้าคู่กับเครื่องเรือนเก่าของตกแต่งแบบไทยๆ อย่างผ้าทอและเครื่องสาน จนได้บรรยากาศเหมือนหอพักสุดเรียบง่ายที่ซ่อนความรู้สึกสบายแบบกึ่งรีสอร์ตด้วยวิวทิวทัศน์ของเยาวราชและความร่มรื่นของไม้ใบที่ปลูกตั้งอยู่รอบๆ     ห้องพักของที่นี่มีทั้งหมด 2 ห้องด้วยกัน โดยตั้งชื่อล้อตามชื่อของถนนข้างเคียง อันได้แก่ ถนนไมตรีจิตต์ มิตรพันธ์ และสันติภาพ เริ่มด้วย “มิตรพันธ์” พื้นที่ส่วนกลางบนชั้น 2 ที่รองรับทั้งผู้เข้าพักและคนที่มารับประทานอาหาร     ก่อนจะไปยังชั้น 3 จะเป็น “ห้องไมตรีจิต” ห้องที่ถูกออกแบบมาให้ดูร่วมสมัยทว่าคลาสสิค แถมยังแอบเซ็กซี่เล็กๆ ด้วยผนังกั้นห้องพักกับห้องน้ำที่เป็นกระจกใส ร่วมด้วยกระจกบานใหญ่ที่ทำให้เห็นความเป็นไปบนถนนเส้นนี้       ขณะที่ชั้น 4 จะเป็นที่ตั้งของ “ห้องสันติภาพ” ห้องใหญ่เนี้ยบเท่จากโทนสีดำตัดกับการโชว์ผนังอิฐเปลือย แสนเก๋ด้วยมุมหน้าต่างบริเวณหัวเตียงที่สามารถมองเห็นเจดีย์สีทองอร่ามของวัดไตรมิตร พร้อมด้วยระเบียงส่วนตัวให้ออกมานั่งเล่นเอนหลังในบรรยากาศเงียบสงบ       พูดถึงห้องพักกันไปแล้ว ถ้าไม่พูดถึงเมนูอาหารจีนสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดสุดอร่อยของที่นี่คงไม่ได้ เพราะเขามีเมนูใหม่อย่าง Sali Salsa สาลี่ซัลซ่าที่นำผลไม้ไทยมาทำเป็นซัลซ่าจนได้ความหวานหอมสดชื่นมาแทนที่ความเปรี้ยวในแบบต้นฉบับมากินคู่กับฟองเต้าหู้ทอดชิ้นใหญ่กรุบกรอบ ก่อนจะมาอิ่มหนักๆ กันด้วย General Tso Chicken with Bokchoy Rice ข้าวไก่ทอดสูตรนายพลฉ่ำด้วยซอสรสเผ็ดปลายลิ้นจากส่วนผสมของพริก ขิง และงา เสิร์ฟพร้อมข้าวอบผักบอกฉ่อยกับเห็ดหอมและกานาฉ่าย จนได้ข้าวที่มีลักษณะเหมือนข้าวมันที่มาพร้อมความหอมน่าลิ้มลอง       ส่วนจานเด็ดขายดีอย่าง Duck Wontons เกี๊ยวแป้งบางสอดไส้เนื้อเป็ดนุ่มๆ หอมน้ำมันงาในซีอิ๊วรสเผ็ด และ Bahao‘s Pudding พุดดิ้งถั่วเหลืองเนื้อเนียนเด้งดึ๋งเย็นฉ่ำราดไซรัปเก๋ากี้รสละมุนก็เป็นเมนูที่ห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด    

ตึกเก่าแก่ย่านท่าเตียนยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย รวมทั้ง “เมรัย” บาร์ชื่อไทยๆ โดยเชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เจ้าของร้านรางวัล 1 ดาวมิชลิน Le Du และร้าน Baan ยังคุ้นหน้ากันดีในฐานะกรรมการฝีปากแซ่บในรายการแข่งขันเชฟ Top Chef Thailand     ไวน์บาร์ใหม่ของเชฟต้นอยู่ในตึกแถวเล็กๆ เป็นร้านที่ขายเมนูง่ายๆ กินได้ทุกวันอย่างผัดไทย รวมทั้งไวน์ที่เจ้าของร้านคัดสรรมาเองในราคาที่ไม่แพง นับว่าราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับร้านที่ผ่านมาของเชฟต้น     มาถึงแล้วห้ามพลาด ผัดไทยเมรัย ผัดไทยที่เลือกได้ทั้งเส้นจันทน์หรือวุ้นเส้นเหนียวนุ่ม ผัดกับซอสผัดไทยรสหวานเปรี้ยวเค็มกลมกล่อมครบรสพอดีแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม     ผัดไทยคอหมูย่าง เสิร์ฟพร้อมคอหมูย่างเตาถ่าน เนื้อหมูหนานุ่มชุ่มฉ่ำหอมกลิ่นย่างถ่านอ่อนๆ ยังมีผัดไทยกุ้งสดและกุ้งแม่น้ำขนาดจัมโบ้ให้เลือกตามความชอบอีกด้วย   ข้าวซอยเนื้อ ที่ยกระดับน้ำแกงข้าวซอยให้มีรสเข้มข้นขึ้นด้วยการเคี่ยวไขกระดูกและซี่โครงนาน 12 ชั่วโมง วางเนื้อไทยวากิวสไลด์ เสิร์ฟในชามหินที่เก็บความร้อนได้นาน อุ่นท้องให้ร้อนพร้อมรับมือกับค่ำคืนที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ข้าวซอยเป็นเมนูลับที่มีขายวันละ 10 ชามเท่านั้นแนะนำให้โทรไปจอง     ส่วนไวน์ของที่นี่เป็นไวน์ประเภท Natural Wine เป็นไวน์ที่ไม่ใช้สารเคมีในการปลูก เชฟต้นคัดเลือกไวน์ที่เขาชอบและดื่มอร่อยมาจากทั่วโลก ที่เหมาะกินคู่ผัดไทยแนะนำไวน์ขาวชาร์ดอนเน่ย์จากประเทศชิลี ที่ฟรุ๊ตตี้และดราย ช่วยล้างความมันของผัดไทยได้อย่างดี   สุดท้าย ยาดองเมรัย เหล้าขาวพรีเมียมดองกับสมุนไพรจีน เช่น โสม ตังกุย ปวยกั๊ก ฯลฯ ดื่มแล้วได้กลิ่นสมุนไพรกรุ่นในปาก ตามด้วยน้ำใบเตยทำให้รู้สึกมีรสหวาน เลือดลมสูบฉีดสดชื่น     เริ่มต้นด้วยผัดไทยจบด้วยเมรัยก็คงจะดี

บนชั้น 61 ของโรงแรมหรู เลอบัว แอท สเตท ทาวเวอร์ มีแชมเปญบาร์เปิดใหม่ตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทลสุดสวยให้ความรู้สึกผู้หญิงๆ ภายในร้านมีโซฟานุ่มบุกำมะหยี่สีชมพู เพดานสีทองดูหรูหราและผนังฝั่งหนึ่งมีแชมเปญเซลล่าวางโชว์ขวดเรียงรายสวยงาม     พิ้งค์บาร์เรียกได้ว่าเป็นร้านแรกในไทยและร้านเดียวในโลกที่ขาย Rare Millesime 2002, Piper-Heidsieck, Reims แชมเปญพรีเมี่ยมที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแชมเปญแห่งทศวรรษ ที่นี่ขายแบบเป็นแก้วไม่ต้องเหมาทั้งขวดแบบร้านอื่น       นอกจากเสิร์ฟแชมเปญเลื่องชื่อแล้วอาหารของที่นี่ก็ดูแลโดย Vincent Thierry เชฟชาวฝรั่งเศสจากร้านมิชลินสตาร์ Chef’s Table Bangkok ที่อยู่ข้างๆ กันนั่นเอง โดยเสิร์ฟเป็นคานาเป้เหมาะกับกินคู่แชมเปญ เช่น King Crab Waffle วาฟเฟิลแผ่นบางกับเนื้อปูคิงแครป กับผลไม้สดผสมครีมรสเบาๆ สดชื่น     Gamen Oysters หอยนางรมสดจากฝรั่งเศส ตัวเล็กแต่รสเข้มข้นครีมมี่ เสิร์ฟพร้อมน้ำส้มสายชูใส่หอมแดงและขนมปังไรย์ เป็นคู่ที่เข้ากับแชมเปญได้ดีสุดๆ     Fried Chicken ของกินเล่นอย่างไก่คลุกเกล็ดขนมปังทอดชิ้นพอคำ เสิร์ฟพร้อมชิพและซอสทาร์ทาร์แกงเขียวหวาน     Wild Mushroom and Hummus Sandwich แซนวิชเห็ดย่างชิ้นบาง กลิ่นหอม ไส้รสเค็มมัน กับมูสถั่วชิกพีนุ่มๆ ที่นี่ยังมีชีสซีเลคชั่นขาก     Jean Francois Antony Cheese เสิร์ฟบนแพลตเตอร์ได้แก่ Valencay ทำจากชีสนมแพะ Abbaye De Citeaux ชีสนมวัวเนื้อนุ่มจากเบอกันดี Tomme De Chartreuse ชีสนมวัว Comte ชีสนมวัวบ่มนาน 48 เดือนและ Roquefort บูลชีสนมแกะกลิ่นแรง     สุดท้ายของหวานที่กินกับแชมเปญได้อร่อยต้องยกให้ Raspberry Macaron มาการองสีชมพูสอดไส้ครีมชันเทอรี ตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รี่สดสีหวานสวย     นอกจากนี้ยังมีม็อกเทล Top Me Up ที่ทำจากน้ำแครนเบอร์รี่ ยูสุ น้ำเชื่อมลิ้นจี่ และโทนิคพิ้งค์เกรฟฟรุ๊ต รสหวานอมเปรี้ยวกลิ่นหอมสดชื่น ถูกใจสาวๆ     ไม่ว่าจะเป็นวันแห่งความรักหรือวันไหนๆ บาร์สีชมพูแห่งนี้ก็เย้ายวนชวนให้ไปนั่ง

ใครเป็นสายดื่มที่ชอบดนตรีแจ๊สรับรองต้องถูกใจ Crimson Room บาร์หรูเปิดใหม่ในโครงการ Velaa Sindhorn Village แห่งถนนหลังสวน ภายในบาร์เป็นธีมสีดำแดงให้ความรู้สึกคึกคักเหมาะกับบรรยากาศยามค่ำคืน เพดานด้านบนสูงโออ่าไม่อึดอัด โดดเด่นด้วยแชนเดอเลียร์ทองเหลืองห้อยระย้า ที่นั่งเป็นสเตเดียมหันหน้าเข้าเวทีที่ให้แขกได้เพลิดเพลินไปกับดีเจและวงแจ๊สดนตรีสด พร้อมลิ้มรสค็อกเทลและแชมเปญรสเลิศที่ทางร้านบรรจงเลือกสรรมาอย่างดี         เริ่มต้นจิบเบาๆ ด้วย Sparkling Wine ไวน์สุดหรูที่อยู่คู่กับงานปาร์ตี้ น้ำสีเหลืองทองกับฟองซ่าๆ ดื่มแล้วสดชื่นลื่นคอ     ต่อด้วย Bee Pollen ค็อกเทลสีเหลืองนวลเสิร์ฟมาในแก้วนกน้อยน่ารัก ความลงตัวระหว่างซิตรัส ไซรัปคาราเมลหอมหวาน Hendrick’s และ Yellow Chatreuse เปรี้ยวหวานจิบเพลินจนหยดสุดท้าย     Them Apples ค็อกเทลที่ผสมผสานลงตัวระหว่าง วิสกี้ ไซรัปแอปเปิ้ล ซิตรัสและไวน์แดง รสเข้ม เปรี้ยวนิดๆ หอมกลิ่นแอปเปิ้ล ถูกใจนักดื่มตัวจริง       ค็อกเทลสีแดงสดแก้วนี้เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ Lavender Mood เปรี้ยวสดชื่น หอมกลิ่นลาเวนเดอร์ จิบแล้วผ่อนคลาย     ปิดท้ายด้วย Jungle Fever โดดเด่นด้วยสปิริตสัญชาติไทยระดับพรีเมียมอย่าง Lanna หอมละมุน พร้อมด้วยเหล้าส้มจากฝรั่งเศสอย่าง Cointreau บอกเลยแก้วนี้รสเข้มดุเดือดไม่เป็นรองแก้วไหน!       ใครอยากแฮงค์เอ้าท์สัมผัสประสบการณ์สุดหรูเชิญได้ที่ “Crimson Room”

ขอให้คำจำกัดความว่า “เปรี้ยวเข็ดฟัน” ที่สุด ณ ขณะนี้ สำหรับ Flamenco Bangkok สกายบาร์บนชั้น 9 ฝั่ง The Helix ดิ เอ็มควอเทียร์ แหล่งแฮงก์เอาต์ใหม่ที่แค่ก้าวผ่านบานประตูที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ก็เหมือนได้เดินเข้าไปสู่โลกแห่งสีนีออน ดนตรีละติน อาหารสเปน และเครื่องดื่มสุดเก๋     ชื่อร้าน ‘ฟลาเมงโก’ สื่อถึงดนตรี เพลง และการเต้นรำอันพลิ้วไหว ทุกตารางเมตรของที่นี่จึงถูกดีไซน์ออกมาให้สนุกสุดเหวี่ยง ให้ความรู้สึกลึกลับนิดๆ เซ็กซี่หน่อยๆ ตั้งแต่การเลือกใช้สีฉูดฉาดตัดกับเฟอร์นิเจอร์แอนทีค ภาพเพ้นต์บนผนัง โคมไฟแชนเดอเรียคริสตัล (ชุดของพนักงานก็สีสวย กระโปรงพลิ้วมาก) ส่วนพื้นที่ตรงกลางเป็นไสฟ์สเตจเพิ่มดีกรีความสนุกด้วยดนตรีจังหวะละติน รุมบ้า และแซมบ้า มีเลาจน์ชั้นลอยสำหรับใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัว รวมถึงพื้นที่ด้านนอกให้จิบเครื่องดื่มดีๆ พร้อมชมวิวยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ แบบ 180 องศา         อาหารของที่นี่เป็นอาหารสเปนล้อไปกับธีมร้าน อุ่นเครื่องด้วย Jalapeno Poppers หน้าตาเรียบร้อยแต่ข้างในแซ่บนัก พริกจาราปิโน่สอดไส้ด้วยครีมชีส และโชริโซ่ นำไปทอด ส่วนด้านนอกเป็นครัมเบิ้ลกรอบๆ กินแล้วกระตุ้นต่อมรับรสได้ดี หรือจะลอง Tuna Tartare Sopes ทาโก้กรอบๆ ท็อปด้วยอโวคาโดบดและทูน่าหั่นเต๋าคลุกเคล้าซอส เคียงด้วยซาวครีม กัวคาโมเล่ และซัลซ่าแบบเมกซิกันก็เริ่มต้นมื้อได้ดี ส่วนสาวๆ ที่ปลื้มสลัดเป็นพิเศษ แนะนำ Goat Cheese Salad ราดด้วยฮันนีเลมอนเดรซซิง สดชื่นดี         จานไฮไลต์ Seafood Paella ข้าวอบสเปนเสิร์ฟบนกระทะร้อนที่หอมกรุ่นมาแต่ไกล ข้าวปรุงรสด้วยแซฟฟรอนและปาปริก้า ท็อปด้านบนด้วยกุ้ง ปลาหมึก หอยแมลงภู่ และโชริโซรสจัด เราชอบความกรอบเล็กๆ ของข้าวที่ขอบกระทะ ตักเข้าปากแล้วได้รสชาติของซีฟู้ดแบบเต็มคำ     ปิดท้ายด้วยค็อกเทลซิกเนเจอร์ Reposado Fashion และ Stars in my eyes จิบแล้วไปแดนซ์ได้อีกยาวๆ    

ไม่น่าเชื่อว่าย่านสุดฮิปอย่างอารีย์จะมีบาร์ลับๆ ซ่อนอยู่กับเขาด้วย เพราะล่าสุดโครงการ Aqua อารีย์ ได้ต้อนรับบาร์น้องใหม่ที่มาพร้อมคอนเซปต์และบรรยากาศที่ไม่ซ้ำใครในชื่อ Honest Mistake Bar     ถ้าจะแปลความหมายของชื่อร้านก็คงหมายถึง “การกระทำผิดแบบใสซื่อบริสุทธิ์” ซึ่งนั่นได้สะท้อนผ่านการตกแต่งในสไตล์จีนย้อนยุคที่ชวนให้นึกถึงสมัยเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้หรือยิปมันอย่างไรอย่างนั้น กล่าวกันว่าถึงแม้ฉากหน้าจะดูสวยงามมีสีสันและเป็นฝรั่งจ๋า แต่ความเป็นจริงแล้วยุคนี้กลับเป็นยุคมืดของจีน เพราะพวกเขาต้องทนทุกข์จากสภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเลือกที่จะประกอบอาชีพทุจริต ที่นี่จึงได้จำลองบรรยากาศของบ่อนคาสิโนในสมัยก่อนที่ตบตาเราด้วยการตกแต่งเป็นโรงรับจำนำ ดังนั้น วิธีแสดงตัวก่อนเข้าเราเลยต้องแลกชิพกับน้องหน้าโรงรับจำนำประกันไว้ก่อน       เมื่อแลกของเป็นที่เรียบร้อยก็ให้เดินเลียบไปหลังร้าน เพื่อขึ้นบันไดต่อไปยังชั้นสองที่ได้จำลองเป็นห้องควบคุมและสังเกตการณ์ ชั้นนี้จึงเต็มไปด้วยกล้องวีดีโอวงจรปิดที่ทำให้เราได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในบาร์ทั้งหมดผ่านจอทีวีเก่าๆ แถมด้วยโปสเตอร์ลวดลายจีนที่เพิ่มกลิ่นอายความขลังและชสนให้น่าถ่ายรูปเก็บไว้มากขึ้นไปอีก       จากนั้นก็ได้เวลาเดินขึ้นไปยังชั้นสามอันเป็นที่ตั้งของบ่อนและบาร์ที่รอเหล่านักพนัน (อย่างเราๆ) มานั่งจิบเครื่องดื่ม เครื่องดื่มที่เราอยากแนะนำก็มี Hor Nang Lohm หรือ “หอนางโลม” ค็อกเทลที่ผสมผสานความหวานและเปรี้ยวจากส่วนผสมของเหล้ารัม ผสมสีสันของใบเตย รสชาติของมะพร้าว เสิร์ฟในแก้วชาโบราณพร้อมด้วยกลีบดอกบัวเพิ่มความหอม     หรือจะลอง Chicken Dinner ที่ได้แรงบันดาลใจจากวลีติดปากของนักเดิมพันที่มักพูดว่า Winner Winner Chicken Dinner เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของจินและเหล้าบ๊วยที่เติมรสสดชื่นของแตงกวาและน้ำมะนาว แล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วย Peach Don't Bluff วิสกี้ที่เพิ่มรสหอมหวานด้วยเหล้าพีชและกล้วยหอม ตัดรสด้วยมะนาว แถมยังเก๋ไก๋ด้วยการรมควันชาอู่หลงที่ส่งควันฉุยให้กับเราก่อนดื่ม       เอาเป็นว่าอารีย์เขามีบาร์ลับแล้วนะ

แค่ได้ยินชื่อ Rooftop หัวใจก็พองโตไปถึงไหน ยิ่งถ้าเป็นที่บรรยากาศดีๆ ยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากไปมากเท่านั้น วันนี้เราชวนทุกคน มารับลมเย็นๆ สัมผัสวิวพาโรนามาของแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมอิ่มท้องกับอาหารสุดเลิศรส Seen Restaurant & Bar Bangkok Rooftop ย่านพระราม 3 ที่จะทำให้คุณผ่อนคลายและเพลิดเพลินกับบรรยากาศ จนไม่อยากลุกไปไหน     สำหรับ Rooftop แห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 26 มีทั้งโซน indoor และ Outdoor ซึ่งทั้งสองโซนสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้เหมือนกันที่สำคัญยังมีสระว่ายน้ำอยู่ด้วย เรียกว่าได้บรรยากาศดีสุดๆ ไปเลย     อีกหนึ่งอย่างที่เลิศไม่แพ้กันคงจะเป็นเรื่องของรสชาติอาหาร เริ่มต้นด้วย Truffle gunkan hotate ซูชิชิ้นพอดีคำแต่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพจากหอย hotate แถมยังมีไข่นกกะทาวางข้างบนอีก ทำให้จานนี้เข้ากันดีแบบสุดๆ ต่อมาคือ Salmon roll ปลาแซลมอนชิ้นโตๆ พร้อมด้วยไข่กุ้งด้านบน ตัดเลี่ยนด้วยแตงกวา เป็นอีกจานที่อร่อยลงตัวเช่นกัน       เอาใจคนรักล็อบสเตอร์กันด้วย Truffle lobster salad สลัดล็อบเตอร์รสชาติเข้มข้นถึงใจ แถมยังได้ความหอมจากเห็ดทรัฟเฟิลมาช่วยเพิ่มจานนี้ดูน่ากินยิ่งขึ้น แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบไก่ต้องจัดไปเลยกับเมนู Niwatori miso Chicken ไก่ชิ้นโตๆ มาพร้อมซอส 2 สไตล์อย่างเทอริยากิและพริกไทยดำ ไม่ว่าจะจิ้มซอสไหนก็ดูเข้ากันเหลือเกิน         ปิดท้ายด้วยขนมหวานแสนอร่อยอย่าง Chocolate mousse 70% ช็อกโกแลตเนื้อมูสเนียนนุ่ม เข้มข้นถึงใจ มาพร้อมคิทแคทรสชาเขียว เรียกได้ว่าเป็นจานที่ตบท้ายมื้ออาหารได้อย่างสวยงามจริงๆ ค่ะ  

เปลี่ยนบรรยากาศมื้อค่ำที่แสนธรรมดาของคุณด้วยการออกมาดินเนอร์หรูย่านใจกลางสุขุมวิทกับ MOJJO Rooftop Lounge & Bar  ชั้น 32 โรงแรมคอมพาสสกายวิวพร้อมชมวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็นในบรรยากาศโรแมนติก จะมากับเพื่อนหรือควงแขนคนรู้ใจมาก็ดีต่อใจแบบสุดๆ เช่นกัน     Figure 1บรรยากาศภายใน   เมื่อเดินเข้ามาในร้านเราจะสัมผัสถึงบรรยากาศของอเมริกาใต้ร่วมสมัยในสไตล์ลาติน ทำให้เรารู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในสเปน เม็กซิโก หรือประเทศแทบอเมริกาใต้เลยทีเดียว โดยภายในถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนด้วยกัน สำหรับใครอยากนั่งรับลมเย็นๆ สามารถนั่งในโซนOutdoor หรือใครที่ชื่นชอบบรรยากาศสบายๆ ทางร้านก็มีโซนห้องแอร์ด้วยนะ     Figure 2โซนด้านนอก สามารถรับลมเย็นๆ พร้อมดูวิวพระอาทิตย์ตกดิน   เริ่มต้นกันด้วยเมนูสุดคลาสสิกอย่าง Mojjo Wings ปีกไก่ทอดราดด้วยซอสสุดชุ่มฉ่ำที่มาพร้อมกับซอสบลูชีสรสชาติเข้มข้นจะกินคู่กันหรือกินปีกไก่อย่างเดียวก็อร่อยทั้งสองแบบ   Figure 3Mojjo Wings   ถัดมา Mojjo Gourmet Pizza พิซซ่าแป้งบางกรอบกับชีสเยิ้มๆ ท็อปด้วยพาร์มาแฮมหอมๆ เป็นใครก็อดใจไม่ไหว ต่อด้วย Crispy Calamari ปลาหมึกชุบแป้งทอดเพิ่มความกรุบกรอบด้วยเกร็ดขนมปัง กินคู่กับซอสทาทาร์ ยิ่งทำให้เมนูนี้โดนใจสาวกอาหารทะเลไปเต็มๆ   Figure 4Mojjo Gourmet Pizza   Figure 5Crispy Calamari   เอาใจคนที่ชอบกินปลาทูน่าด้วย Classic Tuna Cevicehe คลุกเคล้าด้วยเครื่องเทศของไทย อย่างผักชี หอมแดง ต้นหอม เติมรสชาติด้วยพริกป่น เกลือ และผงมิกซ์ ไม่น่าเชื่อว่าวัตถุดิบที่ค่อนข้างจะแตกต่างกันแต่เมื่อปรุงรสแล้วก็เข้ากันได้ดี   Figure 6Classic Tuna Cevicehe   ตบท้าย Churros ขนมปังทอดกรอบคลุกเคล้าด้วยผงชินนามอนโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง มาพร้อมกับช็อกโกแลตหอมๆ เข้ากันดีแบบสุดๆ เช่นกัน   Figure 7Churros   สำหรับนักดื่มทั้งหลาย MOJJO Rooftop Lounge & Bar ก็มีโซนบาร์สไตล์คลาสสิคหรูหราที่รวบรวมเครื่องดื่มจากทั่วโลกวางเรียงรายให้เราได้เลือกชิมกันอย่างเพลิดเพลินใจ ไม่ว่าจะเป็น เบียร์ วิสกี้ ค็อกเทล เหล้ารัม และสำหรับใครที่ไม่กินแอลกอฮอล์เขาก็มีเครื่องดื่มสมุนไพรอย่าง Refresher Mocktail น้ำอัญชันโฮมเมดไว้คอยบริการด้วยนะ       Figure 8Refresher Mocktail

บนความสูงของชั้น 25 โรงแรมสยามแอทสยามย่านปทุมวันแห่งนี้คือพื้นที่ของรูฟทอพบาร์ The Roof Gastro ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นมุมชิลเอาท์กลางใจเมืองที่วิวสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ในมุมมองแบบ 360 องศาชนิดไร้สิ่งกีดขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้นั่งชมยอดภูเขาทองสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นเปล่งประกายงดงามจรดพลบค่ำ ก่อนถูกแทนที่ด้วยแสงไฟระยิบระยับจากอาคารบ้านเรือนและรถราบนท้องถนนที่มีเสน่ห์ชวนมองไม่ต่างกัน วิวดีใจกลางมหานครกรุงเทพฯ แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ เลย       ด้านอาหารนำเสนอสไตล์ Asean Tapaz เมนูกินง่ายอบอวลด้วยกลิ่นอาย Japanese Inspire ส่วนสายดื่มห้ามพลาดค็อกเทลสูตรพิเศษโดยเฉพาะ Hyper Local Cocktail 8 ชนิดที่รอให้คุณและผองเพื่อนมาลิ้มลอง     เริ่มต้นช่วงเวลาแห่งความสุขกับเมนู Salmon Crudo แซลมอนเกรดพรีเมียมหั่นเต๋าคลุกเคล้าเครื่องปรุงรสเน้นความจัดจ้านช่วยปลุกความสดชื่นหลังอ่อนล้าจากการทำงานมาทั้งวัน เสิร์ฟคู่นาโช่โรยชีสเยิ้มๆ เคี้ยวกรุบกรอบเค็มมัน     สำหรับคนรักเนื้อต้องลอง Beef Tataki Roll โรลเนื้อวากิวสุดนุ่ม เคี้ยวแต่ละคำชุ่มฉ่ำไปทั้งปาก จานนี้นำแรงบันดาลใจจากเมนูดั้งเดิมของญี่ปุ่นคือ beef tataki หรือเนื้อดิบมาปรับใหม่ในสไตล์ของร้านโดยเลือกใช้เนื้อวากิวมาย่างพอสะดุ้งไฟก่อนม้วนเป็นโรลสอดแทรกส่วนผสมที่ช่วยชูรสชาติของเนื้อชั้นดีให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น     เติมความสดชื่นอย่างต่อเนื่องกับ Chirashi Salad สลัดสไตล์ญี่ปุ่น ทีเด็ดยกให้ทูน่าเนื้อแน่นที่ใส่ให้เต็มที่ไม่มีหวง คลุกเคล้ากับอะโวคาโดและผักสลัดราดด้วยซอสพอนสึรสเปรี้ยวนิดหวานหน่อย จัดเป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่กินได้มากแบบไม่ห่วงเรื่องอ้วน     Camenmbert Cheese Croquette ของทอดยอดนิยมควรกินตอนร้อนๆ เพราะจะยิ่งทวีความหอมอีกทั้งเนื้อสัมผัสจะยิ่งกรอบนอกยืดในจากไส้ชีสกาม็องแบร์ที่นุ่มมันสุดครีมมี่ ชีสเลิฟเวอร์ห้ามพลาด!     ด้านจานหลักอิ่มท้องต้องสั่ง Salmon & Green Tea Soba แซลมอนชิ้นใหญ่ย่างไฟพอให้ผิวนอกตึงกรอบส่วนด้านในรักษาความชุ่มฉ่ำชวนกินไว้ วางมาบนเส้นโซบะชาเขียวที่เหนียวนุ่ม เคี้ยวลื่นคอ จับถูกคู่ก็ยิ่งชูรส     นอกจากจานเด่นในคอนเซ็ปต์ Japanese Inspire ไฮไลท์ของรูฟทอปแห่งนี้คงต้องยกให้เหล่าค็อกเทลหลากสีสันที่สั่งมาจิบได้ไม่ซ้ำตลอดค่ำคืน ตัวอย่างเช่นซิกเนเจอร์สีแดงสดใสแก้วนี้ Siam@Siam Delight สัมผัสความนุ่มละมุนชวนเคลิบเคลิ้มตั้งแต่จิบแรกจนถึงหยดสุดท้าย จากส่วนผสมที่ลงตัวของเตกิล่า น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล และเหล้ากลิ่นส้ม ดีงามจนไม่อยากลุกไปไหน!  

ใครเป็นแฟนคลับ Changwon Express ร้านแฮงก์เอาต์ขนาดกะทัดรัดติด MRT เพชรบุรี ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาทำความรู้จักกับ Changwon Express at Flow House สาขาใหม่เอี่ยมบนชั้น 2 ของ Flow House Bangkok แหล่งโต้คลื่นกลางกรุงเทพฯ ซึ่งคุณเท็ดเจ้าของร้านชาวเกาหลีสุดเท่ ตั้งใจนำเสนอชางวอนในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่สนุกขึ้น (และกว้างขึ้นมาก) ที่นี่จึงให้อารมณ์บีชบาร์จิบเบียร์ไปด้วย มองคนเล่นเซิร์ฟไปแบบเพลินๆ เหมือนอยู่แถวฮาวายอย่างไรอย่างนั้น!       สิ่งดึงดูดสายตาแรกเมื่อก้าวมาด้านใน คงหนีไม่พ้นแท็ปเบียร์ที่มีมากถึง 30 แท็ป ที่ควบคุมอุณหภูมิของเบียร์ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะคราฟต์เบียร์ไทยที่คุณเท็ดการันตีว่ารสชาติไม่แพ้ของชาติอื่น  อาทิ Changwon Express Asoke Pale Ale เบียร์ซิกเนเจอร์ซึ่งสื่อถึงที่ตั้งของสาขาแรกอันขึ้นชื่อลือชาว่ารถติดสาหัส แก้วนี้จึงให้ความสดชื่น จิบง่าย มีปลายขมเล็กๆ และไปได้ดีกับอาหารหลายจาน ส่วนใครอยากเพิ่มความหนักขึ้นอีกนิด แนะนำ Changwon Express Chaopraya Stout เบียร์ดำชื่อแสบๆ คันๆ ที่มีกลิ่นของกาแฟและช็อกโกแลต         ข้ามมาดูฝั่งอาหารกันบ้าง สาขานี้เพิ่มความหลากหลายให้มากขึ้น ทั้งเมนูตะวันตกและตะวันออก ซึ่งต่างจากสาขาแรกที่เน้นความเป็นเกาหลี-เม็กซิกัน เริ่มต้นด้วย Chicken Wings ใครเคยติดใจไก่ทอดสไตล์เกาหลีจากชางวอนสาขาแรก ลองเปลี่ยนมาชิมปีกไก่ทอดแบบไทยดูบ้าง ทอดให้หนังกรอบ รสชาติออกเค็มนิดๆ ไปด้วยกันได้ดีกับเบียร์ของทางร้าน ต่อด้วย Ham & Bacon Olio Spaghetti สปาเกตตีจานเด็ดที่ให้เราสาวเส้นได้ยาวๆ และที่เหมาะกับแก๊งเพื่อนต้องยกให้ Napoli Pizza พิซซ่าแป้งบางกรอบ ท็อปด้วยเปเปอร์โรนี เห็ด มะกอกดำ และมอซซาเรลล่า         พร้อยลุยปาร์ตี้ได้อีกยาว