ในช่วงเวลาอากาศเย็นเป็นใจแบบนี้ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ต้อนรับปี 2025 ด้วยการเปิดตัว Spire Rooftop Bar รูฟท็อปบาร์แห่งใหม่บนชั้น 39M ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้า พร้อมฉากหลังเป็นตึกสวยของกรุงเทพฯ และสีเขียวร่มรื่นของสวนลุมพินี สไปร์ รูฟท็อป บาร์ ให้ความรู้สึกของบาร์เมืองร้อน ไฮไลต์อยู่ที่ยอดเสาสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมมาตั้งแต่ พ.ศ.2513 ซึ่งทางโรงแรมดูแลรักษาอย่างดี และได้สร้างเสาใหม่สูง 35 เมตรครอบเสาเดิมเอาไว้ โดยเว้นพื้นที่ระหว่างทั้ง 2 เสาให้ได้เล่นแสงไฟยามค่ำคืนได้สวยงาม ซิกเนเจอร์ค็อกเทลของที่นี่สร้างสรรค์ร่วมกับ Tropic City การันตีด้วยรางวัลหนึ่งในบาร์ที่ดีที่สุดระดับเอเชียกว่าครึ่งทศวรรษ เน้นความสดชื่น มีชีวิตชีวาอย่าง Star Dust แก้วสีชมพูที่มีส่วนประกอบของเหล้าจิน เกรปฟรุต เลมอน และรูบาร์บ Antimatter วิสกี้ผสมผลไม้รสเปรี้ยวอย่างยูสุ ลิ้นจี่ เมื่อยกจิบแล้วจะได้กลิ่นหอมจากดอกไม้และเครื่องเทศไทยเบาๆ Proton Candy เบสหลักคือวอดกา ใส่น้ำมะพร้าว นมกล้วย และลูกกระวาน ด้านบนเป็นไวน์แดงเพิ่มเลเยอร์ระหว่างจิบ และ Super-Nature เบสเป็นเหล้าเตกีลาผสมกับส้มโอให้ความรู้สึกสดชื่น รวมถึงไวน์และแชมเปญก็เลือกสั่งได้ตามชอบ ส่วนเมนูอาหารก็มีทั้งเมนูกินเล่นเบาๆ และอิ่มจริงจัง อาทิ คาเวียร์ หอยนางรมสด ซีฟู้ดพรีเมียม ทาโก้ไทย คอฟต้าเคบับเนื้อวากิว ทรัฟเฟิลฟรายส์ ฯลฯ ไว้เลือกจับคู่กัน แล้วปล่อยใจเพลินๆ ไปกับเสียงเพลงจากดีเจ และแสงไฟระยิบระยับของกรุงเทพฯ ในยามค่ำคืน

หากว่าใครเป็นสาวกอุเมะชู อย่าพลาด PrumPlum Stand บาร์อุเมะชูเปิดใหม่ในตึกเก่าย่านตลาดน้อย เน้นเสิร์ฟเหล้าบ๊วยพรีเมียมที่นำเข้าจากเมืองมินาเบะประเทศญี่ปุ่น คู่กับอาหารสไตล์อิซากายะที่สามารถเดินเข้ามาฝากท้องได้แบบไม่รู้อิ่ม แม้ว่าร้านนี้จะเพิ่งเปิดแต่ชื่อเสียงของ PrumPlum อาจจะคุ้นหูของสาวกอุเมะชูไม่มากก็น้อย และใช่! เพราะร้านนี้เป็นสาขาใหม่ล่าสุดของ PrumPlum Umeshu Bar บาร์สุดโฮมมี่บนเส้นสาทรที่ทำให้ใครหลายคนเข้าวงการเหล้าบ๊วยแล้วออกไม่ได้อีกเลย ที่ใช้ชื่อว่า PrumPlum Stand ก็เนื่องมาจากคำว่า Stand-alone เพราะที่ตั้งของร้านอยู่ในตึกเก่าบนถนนเจริญกรุง ซึ่งรอบข้างส่วนมากจะเป็นตึกแถวแต่ยกเว้นบ้านใหม่ของ PrumPlum ที่แยกออกมาตั้งเด่น ตัวร้านยังคงโครงสร้างเดิมเอาไว้ ตกแต่งเพียงภายในที่เป็นบาร์ยาวเพิ่มความโมเดิร์นเพื่อรองรับทั้งชาวไทยและแขกต่างชาติในย่านธุรกิจแถบนี้ โดยอุเมะชูทั้งหมดทางร้านนำเข้ามาเองจากฟาร์มเมอร์ที่เก็บและผลิตเองโดยตรงจากเมืองมินาเบะ จังหวัดวากายามะ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นชื่อเรื่องบ๊วยอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นทุกขวดที่ PrumPlum คัดสรรมาเสิร์ฟเรียกได้ว่าเป็นเครื่องดื่มคุณภาพและหาดื่มได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น อีกทั้งยังสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนสาระเกี่ยวกับอุเมะชูไปด้วยกันได้ เพราะที่นี่เปรียบเสมือนคอมมูนิตีที่จะสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้กับทุกคนที่มีความสนใจเหมือนกัน ทางร้านให้เปิดต่อมรับรสด้วย Tasting Set เซ็ตอุเมะชู 4 คาแรกเตอร์ที่มีเสน่ห์ต่างกัน แนะนำให้สั่งเซ็ตนี้ก่อน เพื่อเปิดประตูไปสู่โลกของรสชาติอุเมะชูที่เราชอบ เมื่อได้รสชาติที่ปากต้องการแล้ว พี่พนักงานจะแนะนำไปสู่สเตปต่อไป เราเลือกเป็น Plumity Pink ผลิตจากบ๊วยที่ปลูกยากมากที่ญี่ปุ่น เป็นบ๊วยลูกผสมกับพีช รินออกมาจะได้สีชมพูอ่อนซึ่งเป็นสีธรรมชาติ ให้รสหวานหอมนวลๆ ใครอยากสัมผัสต้องมาที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เมื่อได้แก้วโปรดในใจแล้วก็อย่าลืมสั่งอาหารมากินควบคู่กันไป แนะนำ Miso Cream Cheese ครีมชีสหมักกับมิโซะ เสิร์ฟคู่ผักดองโฮมเมดหลากรสชาติไม่ว่าจะเป็น รสโชยุ รสคลาสสิก และรสยูซุ หรือจะสั่งเป็น Mix Pickled Vegetables ชุดผักดองที่เพิ่มรสชาติให้กับแครอตและแตงกวา กินกับอุเมะชูเข้ากันอย่างลงตัว ต่อด้วย Laphet Thoke ยำใบชาพม่า ประกอบด้วยสมุนไพรนานาชนิดช่วยรีเฟรชช่องปากได้ดีและเป็นจานที่เข้ากับเหล้าบ๊วยได้ดีมาก Potato Salad มีความเบาสบายของรสชาติ ได้ความสดชื่นจากมะเขือเทศและต้นหอม Corn Ribs ข้าวโพดย่างเนยสาหร่าย มีความอูมามิจากสาหร่ายตัดกับรสหวานของข้าวโพด ถัดมาเป็น Grilled Beef (Thai Wagyu) เนื้อไทยวากิวส่วนสะโพกย่าง เคียงมาด้วยวาซาบิดอง มัสตาร์ด และเกลือ เป็นเมนูใหม่ล่าสุดที่ร้านตั้งใจอยากให้จับคู่กับเหล้าบ๊วยที่มีกลิ่นอายคล้ายไวน์แดง หรือใครอยากกินมื้อหนักก็สั่งตามเราได้ ไม่ว่าจะเป็น Shirasu Spaghetti สปาเกตตีซิกเนเจอร์ของร้าน ได้รสเปรี้ยวสดชื่นและเผ็ดเล็กน้อยจากพริกแห้ง ไฮไลต์อยู่ที่ชิราสึ ปลาตัวเล็กของญี่ปุ่นที่ท็อปมาบนใบโอบะ Yakisoba ยากิโซบะเบคอน เมนูที่อยู่คู่ร้านมานานด้วยความหอมและเข้มข้นของซอสสูตรเฉพาะ กินกับเบคอนบอกเลยว่าฟิน Hamburg Kare Rice เนื้อแฮมเบิร์กโฮมเมด มีความฉ่ำ ให้รสกลมกล่อม ราดด้วยแกงกะหรี่รสนวลๆ ไม่จัดจนเกินไป กินง่าย ยิ่งกินกับเหล้าบ๊วยไปด้วยกันได้ดีมาก ปิดท้ายด้วย Homemade Custard Pudding พุดดิงเนื้อเนียนแต่แน่น ให้รสหวานไม่มาก กินเพลินๆ จนหมดถ้วย หลงรักอุเมะชูมากขึ้นเพราะร้านนี้เลย

ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสามารถสวมบทบาทเป็นนักแข่ง F1 (Formular 1) ได้ แค่แวะไปที่ Raze Arcade บาร์น้องใหม่ในแหล่งแฮงก์เอาต์สุดฮอต EM Wonder บนชั้น 5 ศูนย์การค้า Emsphere จุดเด่นของที่นี่ต้องยกให้เครื่องเล่น Simulator ที่จำลองการการแข่งรถ F1 เสมือนจริง สามารถลงแข่งขันได้พร้อมกันถึง 8 คน แน่นอนว่าต้องมาพร้อมจอขนาดยักษ์และระบบเสียงที่จัดเต็มมันส์กันได้ทั้งแก็งค์  โดยความเท่ของร้านเริ่มตั้งแต่สไตล์ตกแต่งที่มาพร้อมลวดลายตารางหมากรุกโทนดำแดงแซมด้วยสีขาว แบ่งเป็นโซนบาร์และที่นั่งโซฟาไว้เป็นสัดส่วน ซึ่งพร้อมเสิร์ฟเมนูเครื่องดื่มที่ได้อินสไปร์มาจากสนามแข่ง F1 อย่าง ‘Nitro Nectar’ ค็อกเทลเบสจิน ที่มีรสเปรี้ยวซ่าจากน้ำเลมอน และจิงเจอร์เอล หวานหอมจากไซรัปน้ำผึ้งผสมใบเตย อีกตัวที่อยากแนะนำ ‘Revved Up Refresher’ สีชมพูตุ๋นละมุนละไม ที่มีส่วนผสมของ จินสตรอว์เบอร์รี คัมพารี และสวีตเวอร์มุตตามด้วยน้ำเลมอนและโซดา เสิร์ฟพร้อมสตรอว์เบอร์รีสด ดื่มแล้วสดชื่นไม่เบา นอกจากเครื่องดื่มค็อกเทลทางร้านยังมีแชมเปญคุณภาพเยี่ยม ให้เลือกเปิดเฉลิมฉลองเหมือนอยู่ในสนามแข่งกันจริงๆ โดยสามารถสั่งเมนูทาปาสมากินแกล้มได้เพลินๆ วันหยุดถ้าใครอยากสนุกสุดเหวี่ยงแบบ เมาแล้วขับไม่ถูกปรับให้มาที่ Raze Arcade

หากคิดว่ายังเสพบรรยากาศของเมืองเชียงใหม่ได้ไม่เต็มปอด ที่ HONG's Sky Bar สกายบาร์บนชั้น 17 ของ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง นอกจากการนำเสนออาหารจีนรสเลิศจับคู่เครื่องดื่มแก้วโปรดแล้ว ที่นี่ยังเสิร์ฟบรรยากาศสุดโรแมนติก มองเห็นท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปตามช่วงเวลาของวัน อีกทั้งยังมาพร้อมกับวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ด้วย ตอนที่ไปถึงเป็นช่วงที่ท้องฟ้ากำลังอวดงานอาร์ตเปลี่ยนสีเป็นวานิลลาสกาย มองเห็นวิวเมืองเชียงใหม่มีฉากหลังเป็นดอยสุเทพ เรียกได้ว่าวิวของ HONG's Sky Bar เป็นมุมที่เปิดที่สุดเพราะตรงกลางเป็นย่านเมืองเก่า มองเห็นคูเมือง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร และพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เวลาผ่านไปไม่นานภาพเหล่านี้ก็ค่อยๆ มืดลง สายตาถูกดึงดูดไปยังท้องฟ้าสีทไวไลต์และดาวบนดินที่สว่างไสวประหนึ่งว่าเมืองนี้ไม่มีวันหลับไหล เมื่อเสพบรรยากาศกันเสร็จแล้วก็ถึงเวลาฝากท้องไว้กับอาหารจีนต้นตำรับ รังสรรค์โดยทีมพ่อครัวของห้องอาหาร HONG’s Chinese Restaurant ที่ตั้งอยู่บนชั้น 16 ของโรงแรมเดียวกัน เรียกน้ำย่อยกันด้วย สลัดแตงกวาน้ำมันงา เสิร์ฟพร้อมพริกเสฉวนสไตล์จีน ได้ความหอมของน้ำมันพริกกินควบคู่กับแตงกวากรอบๆ สดชื่นที่หนึ่ง อย่าลืมสั่งของกินเล่นมาจับคู่กับค็อกเทลแก้วโปรดอย่าง ปอเปี๊ยะทอด เสิร์ฟปอเปี๊ยะชิ้นใหญ่ที่ทอดจนกรอบ ด้านในสอดไส้เนื้อเป็ดชิ้นโตและผักหลากชนิด เสริมรสชาติด้วยน้ำจิ้มรสเด็ดมีความหอมมัน ยิ่งกินคู่กับซิกเนเจอร์ค็อกเทล 2 แก้วนี้ยิ่งเพลิน ไม่ว่าจะเป็น Gracefulness like Hong สีสันน่ารักสดใสเหมาะกับสาวๆ ที่ชอบรสเปรี้ยว หอมกลิ่นส้มและขิง มาพร้อมความสดชื่นของโซดา และ Queen’s Fire ได้กลิ่นหอมของมะลิ มีความหวานจากลิ้นจี่และตามด้วยรสเปรี้ยวจากมะนาว นั่งเพลินจนลืมเวลา

จากนี้เหล่าคนเหงาสายปาร์ตี้จะมีจุดนัดพบใหม่ให้แวะไปกันบ่อยๆ แล้วที่ Tictactoe บาร์น้องใหม่จากทีมงานเดียวกับ Encelon ชื่อดังย่านทองหล่อ ที่ครั้งนี้เลือกมาสร้างสีสันให้คอมมูแฮงก์เอาต์เปิดใหม่อย่าง EM Wonder โดยมาในคอนเซ็ปต์ Dating Bar บาร์ไม่ลับที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้สายตี้ไม่ต้องเหงาอีกต่อไป แน่นอนว่าคอนเซ็ปต์ที่แปลกใหม่ก็ต้องมาพร้อมไวป์ที่แปลกตา ภายในเล่นกับไฟสีม่วงชมพูชวนเย้ายวน ซึ่งมาพร้อมกับที่นั่งหลากหลายโซนเปิดโล่ง ทำให้ไม่ว่าจะเลือกนั่งมุมไหนของร้านก็สามารถสานสัมพันธ์กับคนที่สนใจได้แบบไม่ยาก อีกหนึ่งไฮไลต์ของร้านคือลูกเล่นของเล่มเมนูที่หากส่องแบล็คไลต์ลงไปในหน้าเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ค็อกเทลแล้วละก็ จะพบกับความแซ่บและแรงเกินต้านที่ไล่ระดับกันตั้งแต่เลเวล 1-11 เลยทีเดียว เราได้ลองเป็น 'Break the Ice' เครื่องดื่มเบาๆ จากอุเมชูและจิน ใช้สำหรับการจีบสเต็ปแรก ไปกันต่อที่ 'Just the Two of Us' เพิ่มระดับการรุกเข้าหาอีกนิดด้วยแก้วนี้ ที่เสิร์ฟมาเป็นคู่ให้ยกดื่มสนุกด้วยกันไปเลย หรือจะข้ามขั้นเป็น 'Could be Yours?' ทั้งหอมหวานด้วยบลูบลอสซั่ม และติดปลายขมจากจินและสาเก   ทางร้านยังมีเครื่องดื่มที่น่าสนใจอีกหลายตัวให้ได้สั่งมาเอนจอยกับบรรยากาศชิลๆ ที่กลางดึกก็สนุกกันต่อกับเหล่าดีเจชื่อดังถึง 4 คนต่อวัน อย่าปล่อยให้สุดสัปดาห์ต้องเหงาชวนชาวแก็งค์ไปปล่อยใจที่ Tictactoe! กัน

Art Nouveau (อาร์ตนูโว) ศิลปะที่เปี่ยมด้วยความงดงามและอ่อนช้อยของธรรมชาติ ความพริ้วไหวที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแมกไม้นานาพรรณพร้อมให้คุณดื่มด่ำแล้วที่ “The Brass & Cigar Lounge” บาร์ลับๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในร้านอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับ Brasserie 9 โดดเด่นด้วยสไตล์การตกแต่งในแบบฉบับศิลปะนวศิลป์ หรือ อาร์นูโว (ได้ใจทั้งสายอาร์ตและนักดื่ม) โซฟาหนานุ่มลายเปลือกหอยสีน้ำตาลทอง เข้ากันดีกับบาร์และโต๊ะหินอ่อนสีขาว ผนังสีน้ำตาลอ่อนแซมด้วยรูปหญิงสาวนั่งเล่นในสวนดอกไม้นานาพันธุ์ ด้วยลายเส้นเคลื่อนไหวสไตล์อาร์ตนูโวเหล่านั้นทำให้หญิงสาวในรูปดูราวกับมีชีวิตชีวา บวกกับเมนู Expérience Nouveau ซีรีส์ค็อกเทลออกใหม่ป้ายแดงที่ได้อินสปายมาจากศิลปะอาร์ตนูโวที่สื่อถึงการเป็นอยู่ที่ดีงามของธรรมชาติในฤดูกาลต่างๆ ได้แก่ Spring ตัวแทนแห่งฤดูใบไม้ผลิ ได้รสเปรี้ยวอมหวานจากพีชและกลิ่นหอมละมุนชวนเคลิ้มจาก Gin Elderflower ผสมกับความสดชื่นของแชมเปญ ท็อปด้วยกุหลาบมอญ กลิ่นหอมฟุ้ง ต่อด้วย Summer ฤดูร้อนที่เพิ่มดีกรีร้อนแรงด้วยคอนยัค รวมรสกับมะเดื่อสด Autumn สีส้มของ Bitter Orange ผสานกับ Calvados สื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ปิดท้ายด้วย Winter หน้าหนาวที่ชวนให้เพิ่มความอบอุ่นด้วยค็อกเทลที่ทำจากวอดก้า แอบซินธ์ มิกซ์กับเมล็ดโกโก้ สตรอว์เบอร์รี และใบมะกรูด ก่อนกลับแวะไปกินขนมที่ Brasserie 9

คุณเบย์-ณัฐพล สมอินอ้อย และคุณบลู-ณฐวร ณ ลำพูน คู่รักเจ้าของร้านที่อยากสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้มาเอ็นจอยแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ผ่านเครื่องดื่มแก้วโปรดและอาหารสูตรของบ้าน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาทั้งสองถึงอยากให้มองว่าที่นี่คือบ้านมากกว่าร้านอาหาร และจากหลายชื่อร้านที่ผ่านการเข้าชิง บทสรุปมาหยุดที่บ้านดอกแก้ว หรือ Dok Kaew House Bar เพื่อให้ล้อไปกับดอกแก้วต้นใหญ่ที่ส่งกลิ่นหอมชวนรื่นรมย์อยู่หน้าบ้านที่สร้างจากไม้สักทองทั้งหลัง ริ้วรอยบนเรือนไม้บ่งบอกอายุว่าเข้าใกล้ศตวรรษ แต่ยังคงสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เรียกว่าเรือนขนมปังขิง แค่นั่งชมดีเทลของบ้านก็เพลินตั้งแต่ยังไม่เริ่มจิบเบียร์ ใครมาครั้งแรกแล้วหาทางเข้าไม่ถูก เพียงถามหาบ้านดอกแก้ว ผู้คนในละแวกก็พร้อมใจกันชี้นิ้วบอกทิศทาง ภายในบ้านเปรียบเสมือนคอมมูนิตี้เล็กๆ ของคอคราฟต์เบียร์ที่มีหลายเจนเนอเรชั่น เช่นเดียวกับคราฟต์เบียร์ที่มีวาไรตี้ให้เลือกจุใจ ทั้งเบียร์โลคอลและอิมพอร์ตจากทั่วโลก เพราะสเน่ห์ของคราฟต์เบียร์คือความหลากหลาย ในแต่ละสไตล์ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงมีสตอรี่ให้เล่าได้ไม่จบ ดังนั้น เผื่อเวลามาให้มากพอ เพราะคุณจะฟังเพลินจนลืมดูนาฬิกา มือใหม่ที่ยังไม่รู้จักหรือชำนาญการเลือกหาคราฟ์เบียร์ที่ถูกใจ คุณเบย์จะให้คำแนะนำคราฟต์เบียร์แต่ละชนิด รวมทั้งให้ลองชิมก่อนตัดสินใจ เพราะสุดท้ายแล้วเขาบอกว่า “เบียร์ที่ดีคือเบียร์ที่ชอบ” ด้านอาหารเน้นความเรียบง่ายแต่หนักแน่นด้วยรสชาติซึ่งเป็นอาหารเหนือสูตรของบ้านคุณบลูที่ลำพูน ละเลียดพร้อมกับคราฟต์เบียร์แล้วเหมือนเกิดมาคู่กัน อาทิ Family Set ชุดขันโตกที่มีน้ำพริกหนุ่มหรือน้ำพริกอ่อง ไส้อั่ว แหนม แกงฮังเลหรือแกงอ่อม แคปหมู ผักสด สปาเก็ตตีน้ำพริกอ่องไข่กุ้ง เมนูฟิวชั่นที่ไม่ยอมหลุดคอนเซ็ปต์อาหารเหนือ เสิร์ฟให้กินจุใจจานใหญ่ๆ รสชาติเข้มข้น นัวลิ้น ได้สัมผัสกรุบกรับจากไข่กุ้ง และกรุบกรอบ หอมมันจากแคปหมู    ยกให้เป็นบาร์ลับที่คุณภาพคับแก้วจริงๆ

ใครกำลังมองหาโลเคชั่นนั่งชิลเคล้าวิวดีๆ เราแนะนำที่นี่ “Akara Sky Hanuman Bangkok” รูฟท็อปเปิดใหม่เอี่ยมเครือ Akara Hospitality ที่ตั้งอยู่บนอาคาร One City Center ย่านเพลินจิต ดื่มด่ำกับศิลปะไทยร่วมสมัยผ่านการใช้คาแรกเตอร์โดดเด่นของ ‘หนุมาน’ เทพเจ้าวานรสุดเจ๋งในเรื่องรามเกียรติ์ ที่ทั้งฤทธิ์เยอะ คารมดีมีสีสัน และรักความสนุกสนาน ต้อนรับคุณตั้งแต่ชั้น 58 ด้วยอิมเมอร์ซีฟอาร์ตเก๋ไก๋ (มองเพลิน) ยาใจขนานแท้ของคนรักศิลปะ ก่อนเปลี่ยนลิฟต์มาที่ชั้น 61 ซึ่งนำพาให้เราเข้ามาอยู่ในปากลิงยักษ์อนุมาน เสมือนอยู่ในฉากหนุมานอมพลับพลาแต่เปลี่ยนเป็นบาร์หรูหราที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีทองแวววาว เข้าธีมกับจิตรกรรมฝาหนังด้านบนลาย ‘หนุมานอมพลับพลา’ และสัตว์วิเศษในป่าหิมพานต์นานาชนิด มีแสงไฟสีแดงและทองสลับกันเป็นอยู่ระยะๆ ผสมผสานกับเสียงดนตรีมันส์จากดีเจชื่อดังอย่าง Wildealer, Giorgio Nola และ Gaius ส่วนใครอยากชมวิวเมืองสวยปังต้องเลือกนั่งโซนเอ้าท์ดอร์  เพราะเห็นพระอาทิตย์ตกดินและวิวเมืองแบบพาโนรามา 360 องศา พร้อมดื่มด่ำกับการแสดงศิลปะไทย (หลังสามทุ่ม) งดงามอย่าง รำไทย มวยไทยและฉากในวรรณกรรมเรื่องเรื่องรามเกียรติ์ เสิร์ฟคู่อาหารสตรีทฟู้ดไทยรสเด็ด และค็อกเทลที่รังสรรค์จากผลไม้ไทยเช่นกัน โชว์พลังซอร์ฟพาวเดอร์ดีๆ นี่เอง เรียกน้ำย่อยด้วย ยำแซลมอน แซลมอนเนื้อสด คลุกเคล้ากับน้ำยำรสจัดจ้าน ตามด้วย ลูกชิ้นทอด ร้อนจี๋ ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล มีทั้งลูกชิ้นกุ้ง ลูกชิ้นปลา และไส้กรอกแดง ที่หลายคนเลิฟ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ดที่ได้รสเปรี้ยวกลมกล่อมจากน้ำมะขาม และความเผ็ดร้อนจากพริกแห้ง ปอเปี๊ยะเผือก แป้งปอเปี๊ยะบางกรอบ สอดไส้เผือกเนื้อแน่น เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มหวาน โรยถั่วลิสงกรุบกรอบ ตำอะโวคาโอ ก็น่าสนใจ ได้รสครีมมีผสานความหวานอมเปรี้ยวจากอะโวคาโดและสตรอว์เบอร์รี เพิ่มสัมผัสเคี้ยวเพลินๆ ด้วยมะม่วงหิมพานต์  จานหลักต้องนี่ แกงเขียวหวานไก่ รสกลมกล่อม ไม่เผ็ดจนเกินไป เสิร์ฟเคียงข้างสวยอิ่มเอม ล้างปากด้วย ไอศกรีมชาไทย ไอศกรีมแท่งรูปหนุมานรสชาไทยหอมหวาน ชิมกี่คราก็ชื่นใจ ต่อด้วยคาราวานค็อกเทลปังๆ อย่าง Som – O รสเปรี้ยวสดชื่นที่ได้จากน้ำส้มโอ น้ำมะนาว ผสมเหล้าเตกีล่าร้อนแรง ก่อนท็อปด้วยโฟมกระเจี๋ยบฟูฟ่อง และ Linchee ที่ทำจากน้ำลิ้นจี่รสหวานฉ่ำ น้ำมังคุด เหล้าคอนญัคและเฮเนสซี่ หรือใครไม่ใส่สายดื่มจะสั่ง น้ำแตงโม เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของเมืองไทย รสหวานสดชื่นเป็นที่สุด วิวดี อาหารเด่น

ไม่แปลกใจที่ SUBMIT บาร์ใหม่ในซอย 19 จะดึงดูดสายตาจนต้องเปิดประตูเข้าไปสำรวจด้านในทันทีที่เดินผ่าน คุณต้น หนึ่งในเจ้าของร้านเป็นสถาปนิกที่หลงใหลเรื่องไวน์และคราฟต์เบียร์เข้าอย่างจัง จึงอยากให้ที่นี่ช่วยชุบใจอันเหนื่อยล้าของทุกคนด้วยงานดีไซน์ อาหาร เครื่องดื่ม และบทสนทนาดีๆ จากเพื่อนใหม่เหมือนกับชื่อร้านอ่านตรงตัวว่า ‘ทรัพย์มิตร” คุณต้นได้ไอเดียการดีไซน์สระว่ายน้ำซึ่งเป็นงานเก่าของตัวเอง แต่จับมากลับหัวกลับหางเสียใหม่ (ให้อารมณ์เดียวกับโลกในภาพยนตร์เรื่อง Inception) เราจึงได้เห็นผืนน้ำระยิบระยับบนเพดานที่มีโคมไฟหินเทียมทั้งเล็กใหญ่ลอยลงมาจากด้านบน และจะยิ่งสวยเด่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฟ้ามืด เมนูของที่ร้านจับคู่กับเครื่องดื่มได้ดีทั้งไวน์และคราฟต์เบียร์ที่เลือกมาจากหลายประเทศ เริ่มด้วย Renkon Chips รากบัวทอดกรอบกินกับซอสทาร์ทาร์ Marinated Sardine Italian Style ปลาซาร์ดีนดองในน้ำส้มสายชูแบบอิตาเลียนที่ได้ทั้งรสเปรี้ยวและเค็มเล็กๆ และ Oyster หอยนางรมสดจากชิลีไซส์กำลังอร่อยมาพร้อมซอสมินโญเน็ตและเลมอน ส่วนใครโปรดปรานเนื้อเป็นพิเศษ อย่าพลาด Raw Beef 3 Styles เนื้อดิบ 3 แบบที่ไล่ระดับรสชาติไปเรื่อยๆ เริ่มจากเนื้อทาร์ทาร์แบบฝรั่งเศส ตามด้วยยุกเกะ (ยุคฮเว) ท็อปด้วยไข่ดิบรสกลมกล่อม จบด้วยเนื้อดิบเคล้าด้วยเครื่องลาบเหนือของไทยที่ปรุงได้รสจัดถึงครื่องสมุนไพรเต็มคำ นอกจากนี้ยังมี Beef Tongue Stew สตูลิ้นวัวที่เคี่ยวจนนุ่มเสิร์ฟพร้อมขนมปังให้เราได้หยิบลงไปปาดจนเกลี้ยงจาน และ Jyo Tan Miso Yaki ลิ้นวัวสไลซ์บางย่างมิโซะที่ได้ทั้งความนุ่มและกรุบเบาๆ จิ้มกับไข่ดิบ วาซาบิดอง และเกลือ ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Lemon Tart , Earl Grey Tart และ Chocolate Tart ที่จับคู่กับเครื่องดื่มได้เช่นกัน

ภายในล็อบบี้ของโรงแรมสินธร มิดทาวน์ กรุงเทพฯ (BTS ชิดลม) เป็นที่ซ่อนตัวของ The Black Cat” บาร์วิสกี้ไทยที่ใช้ความเชื่อและคาแรกเตอร์ของแมวทั่วโลกมารังสรรค์เป็นเครื่องดื่มสดชื่น By คุณโชแอน -เบญญาภา ผู้จัดการฝ่ายเครื่องดื่มและบาร์ประจำโรงแรมฯ ดีกรีแชมเปียนการแข่งขัน Bacardi Legacy Cocktail Competition ในส่วนของชื่อร้าน Black Cat มาจากแบรนด์วิสกี้แมวดำยอดฮิตในสมัยก่อน เพื่อส่งเสริมวิสกี้ไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เสิร์ฟพร้อมบรรยากาศลึกลับที่ได้จากเฟอร์นิเจอร์สีขาวดำ ผนังสีขาวนวลที่ถูกแซมด้วยรูปแมวตัวอ้วนนานาพันธุ์ (คิวท์สุดๆ) พื้นหินอ่อนสีดำขลับไปด้วยกันได้ดีกับผนังกระจกบานใหญ่ ที่ในยามค่ำคืนจะปรากฏรูปแมวตัวใหญ่พาดกระจก สร้าง Vibe แห่งความน่าค้นหามากยิ่งขึ้น ร่วมกับดนตรีสดเพราะๆ ยิ่งทำให้บาร์วิสกี้แห่งนี้กลายเป็นหมุดหมายของนักดื่มรอบกรุงฯ เรียกน้ำย่อยด้วย ถุงทองไส้ไก่ ของว่างไทยโบราณที่ใครๆ ต่างก็หลงรัก แป้งกรุบกรอบห่อไก่เนื้อแน่น ได้กลิ่นหอมของสามเกลอเต็มพิกัด เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มหวาน หมูสามชั้นทอดน้ำปลา สามชั้นเนื้อหนาพอดี ทอดร้อนจี๋ เข้าคู่น้ำจิ้มแจ่วรสเผ็ดร้อน ตามด้วย มันฝรั่งทอด ของโปรดสายฟู้ด มันฝรั่งทอดเนื้อแน่น จิ้มมายองเนสหรือซอสมะเขือเทศก็ดีงาม ยำวุ้นเส้น วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม คลุกเคล้ากับหมูสับ ตับ และน้ำยำครบรส ใส่ถั่วลิสงเพิ่มความเคี้ยวเพลินลงไปด้วย ใครว่าที่นี่มีอาหารไทยอย่างเดียว จานอร่อยสไตล์อิตาเลียนอย่าง Pork and Pancetta Bolognese ก็มี เฟตตูชินีเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมซอสสูตรลับที่ได้รสเปรี้ยวมกลมกล่อมจากมะเขือเทศ เพิ่มความครีมมีด้วยชีส มาถึงตา Smoked Salmon Pizza กันบ้าง พิซซาสไตล์อิตาเลียนโฮมเมด แป้งบางกรอบร้อนฉ่า ท็อปด้วยแซลมอนรมควันรสเค็ม และซอสครีมหอมมัน และแล้วก็ถึงเวลาของค็อกเทลซิกเนเจอร์กันบ้าง ขอเปิดด้วย ขาวมณี ค็อกเทลรสสดชื่นที่ทำมาจากเสน่หาจิน น้ำสับปะรดสดรสหวานฉ่ำ เพิ่มความหวานอีกสักนิดด้วยไซรัปกลิ่นลอดช่องน้ำกะทิ ซึ่งดริ้งแก้วนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าเหมียวสายพันธุ์ ‘ขาวมณี’ แมวไทยสีขาวสะอาด ตาข้างนึงเป็นสีฟ้าและสีทองอร่าม เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี ต่อด้วย โกนจา รสร้อนแรงของเหล้าแม่โขง ผสมกับน้ำเชื่อมขิงโฮมเมด ขิงฝานและโป๊ยกั้ก เติมแล้วซาบซ่าด้วยน้ำโซดา มาเล่าความเป็นมาของค็อกเทลแก้วนี้กันหน่อยดีกว่า โกนจาเป็นชื่อของเจ้าแมวดำตาสีทองอำพัน ที่ผู้คนมักเข้าใจว่านำมาซึ่งความโชคร้าย แต่แท้จริงแล้วเจ้าเหมียวโกนจานี่แหละที่เป็นหนึ่งในสัตว์มงคลประจำบ้าน ศุภลักษณ์ จากน้องแมวสีทองแดงที่เราคุ้นเคย คนโบราณเชื่อว่าแมวพันธุ์นี้ช่วยให้ผู้เลี้ยงประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน กลายมาเป็นค็อกเทลสีส้มสวย รสเปรี้ยวอมหวานที่ได้มาจากน้ำเสาวรสและน้ำมะม่วง มิ๊กซ์กับเหล้าจินและเวอร์มุธ ส่วนใครไม่ใช่สายจิบต้องนี่เลย Maneki Neko ม็อกเทลดาวเด่นประจำร้านที่หยิบคาแรคเตอร์ของแมวกวักนำโชคของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยเอโดะ มาครีเอทดริ้งก์รสครีมมีที่ทำมาจากน้ำนมข้าวญี่ปุ่น โชยุโฮมเมด งาดำ เติมรสหวานธรรมชาติด้วยน้ำผึ้งเล็กน้อย ปิดท้ายด้วย Bastet ม็อกเทลแก้วโตสีชมพูนวลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเทพีบาสเต็ท เทพีแห่งความรัก การเฉลิมฉลองและความอุดมสมบูรณ์ของชาวอียิปต์โบราณ ผู้มีหน้าที่ปกป้องผู้หญิงจากวิญญาณชั่วร้าย นำมาซึ่งสุขภาพแข็งแรงไร้โรคภัย  ลิ้มรสความหวานของน้ำลิ้นจี่ ผสานกับน้ำสับปะรดและไซรัปกุหลาบหอมฟุ้ง ท็อปด้วยฟองไข่ขาวนุ่มๆ หรือใครสนใจดริ้งก์ตัวอื่นที่นี่ก็รสชาติดีนะ

หลังจากปิดตัวไปเกือบสามปี บาร์ดีอย่าง Find The Photo Booth ก็กลับมาเปิดให้บริการให้สายดริ้งค์ตื่นเต้นอีกครั้งด้วยโลเคชั่นใหม่ใจกลางเมืองย่านถนนบรรทัดทอง ซึ่งนำทัพมาด้วยบาร์เทนเดอร์ตัวท็อประดับเอเชียเช่นเดิม เพิ่มเติมความพิเศษด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่สุดเก๋ 7 Chords to Cocktail นำคอร์ดดนตรีทั้ง 7 มาครีเอตเป็นซิกเนเจอร์ดริ้งค์ที่ไม่เหมือนใคร Find The Photo Booth โฉมใหม่มีกิมมิคการหลายอย่างที่เราไม่อยากให้ทุกคนพลาด ไม่ว่าจะเป็นการแชะภาพสวยๆ ผ่านโฟโต้บูธก่อนเปิดประตูเข้าสู่บาร์ หรือการหยิบเมนูอันกิบเก๋ในรูปแบบกล่องซีดีของร้านขึ้นมาสแกนคิวอาร์โค้ดและเซฟ playlist เพลงเพราะที่คัดสรรโดยดีเจไปเก็บไว้ฟัง ก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนุกไม่แพ้กัน เริ่มด้วย D SHARP (D#) (380.-) ทวิสต์ค็อกเทลที่จิบแล้วได้ความหวานหอมนัวสไตล์มิลค์พันซ์ โดยมีส่วนผสมของรัมและเวอร์มุธ มาพร้อมความสดชื่นแบบเกรปฟรุ้ตและสตรอว์เบอร์รี ต่อด้วย F SEVENTH (F7) (420.-) สดชื่นกินง่ายเพราะมีส่วนผสมของ Suntory Kakubin หรือวิสกี้ญี่ปุ่น โพรเซ็กโก้ ตามด้วยกลิ่นธรรมชาติของผลไม้อย่าง สับปะรดและสตรอว์เบอร์รี ใครอยากลองคลาสสิคค็อกเทลแนะนำ Hojicha Highball (380.-) ค็อกเทลกลิ่นอายญี่ปุ่นที่มีส่วนผสมของชาโฮจิฉะ และวิสกี้ญี่ปุ่น โดยที่นี่ยังมีของทานเล่นอย่าง  Wonton Crisps (80.-) เกี๊ยวทอดแผ่นบางเสิร์ฟคู่ชีสดิปผักโขม และ Streamed Shrimp Siu Mai With Shrimp Roe (150 .-) ขนมจีบกุ้งเนื้อแน่นท็อปด้วยไข่กุ้งกรุบๆ ให้สั่งมาจับคู่ได้อีกด้วย

เทพบาร์ (TEP BAR) บาร์ค็อกเทลที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองมาเป็นเวลานานหลายต่อปลายปี พร้อมนำเสนอบรรยากาศให้ออกมาในรูปแบบบาร์วัฒนธรรมไทยประยุกต์ โชว์เอกลักษณ์ความเป็นไทยด้วยเครื่องดนตรีไทยที่ร้อยเรียงทำนองออกมาในสไตล์ร่วมสมัย และเข้าถึงง่าย เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับการท่องเที่ยวยามราตรีจริงๆ ตัวร้านอยู่ในตึกแถวเก่าอายุเกือบร้อยปีบนถนนไมตรีจิต ภายในรีโนเวตใหม่แต่ยังคงรักษาความเป็นไทยด้วยฝาผนังที่ทาสีทองและปิดทองคำเปลว ส่วนชั้นสองจะมีโต๊ะให้นั่งพร้อมอิงกับหมอนสามเหลี่ยมแบบไทยๆ ชั้นบนสุดจะเป็นรูฟท็อปสามารถนั่งเอนจอยได้สบายๆ ตลอดคืน หากพูดถึงเมนูซิกเนเจอร์ แน่นอนว่าต้องเป็น 'ค็อกเทล' เพราะเทพบาร์ใช้ยาดองหรือเหล้าพื้นบ้านของไทยเป็นส่วนผสมแทนแอลกอฮอล์ อย่างเมนูนี้ สงกรานต์ เสิร์ฟในขันสีทองอร่าม ให้รสเปรี้ยวและหอมกลิ่นสาวรส หรือจะลองเป็น เตยหอม แก้วทรงสูง มีปลาตะเพียนสานแหวกว่ายในแก้ว ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมของใบเตย และ สว่างฟ้า อบอวลด้วยรสชาติของเก๊กฮวยป่า ชาหมื่นลี้ และบ๊วยเค็ม จับคู่กับแกล้มอย่าง พล่าเนื้อตะไคร้หอม เนื้อย่างชิ้นโตคลุกเคล้าน้ำยำรสจัดจ้าน กินคู่ผักแนม อร่อยทีเดียว ต่อด้วย ยำดอกดาหลา ยำรสเปรี้ยวเผ็ดแบบไทยๆ มีกลิ่นหอมของดอกดาหลาในทุกคำที่รับประทาน สุดท้ายเป็น ผัดไทยเทพฯกุ้งกระบอก อร่อยครบรสทั้งเปรี้ยว หวาน มัน และเค็ม ไม่ต้องปรุงให้เสียเวลา คนเทพๆ ต้องไปจอยกันที่ ‘เทพบาร์’ เท่านั้น

‘ป่าไม่เคยหลับใหล’ ขอชวนนักดื่มและสายฟู้ดเดินทางไป “Anaconda - Latino Nikkei Bar” บาร์สไตล์ละตินแห่งแรกของเมืองไทย ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 11 เจ้าของคือคุณจิมมี่ เตชะอุบล นักเดินทางที่เฟ้นหาของอร่อยทั่วโลก จนได้แรงบันดาลใจจากอาหารที่หลากหลายของวัฒนธรรมลาตินอเมริกา บวกกับฝีมือของเชฟเพชร - กชณท ไพคำนาม เชฟอาหารนานาชาติที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี ให้คุณลิ้มลองอาหารจานอร่อยสไตล์อเมริกาใต้และญี่ปุ่น ร่วมกับบรรยาสุดครึกครื้นของป่าอะเมซอน กระเบื้องโมเสคลายงูสีเขียวสลับดำ เข้ากันดีกับเก้าอี้ลายเสือดาวและเคาน์เตอร์บาร์ลายเกล็ดงูสีเขียวขอบทอง ผสานเสียงเพลงมันส์ๆ สไตล์อิเล็กทรอนิกส์ และผนังจอ LED เคลื่อนไหวภาพพงไพรในยามราตรี ยิ่งดูเหมือนเรานั่งดริ้งอยู่ในป่าดงดิบที่มีทั้ง ‘อนาคอนด้า’ และสัตว์ป่าลึกลับมากมาย ถึงแล้วห้ามพลาด Try My Anaconda เมนูซิกเนเจอร์ประจำร้าน ซูชิปั้นสดที่ได้รสเค็มนุ่มนวลจากอูนิ และไข่ปลาแซลลมอนเกรดพรีเมี่ยม ตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้ ต่อด้วย Crunchy Crab ซูชิโรลชิ้นโตๆ ที่ทำจากปูนิ่มกรอบนอกนุ่มใน เข้ากันดีกับมายองเนสโฮมเมด แซลมอนเลิฟเวอร์ต้องสั่ง Salmon Maki แซลมอนโรลเนื้อนุ่ม ราดซอสสไปซี่สูตรเฉพาะ รสหวานปนเผ็ด เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบด้วยเทมปุระร้อนจี๋ Volcano Roll ซูชิโรลที่เป็นการผสมผสานระหว่างข้าวญี่ปุ่นนุ่มหนึบ ไข่กุ้งเคี้ยวเพลิน กุ้งเนื้อหวาน ซอสสไปซี่และเทมปุระ เอาใจคนรักอาหารญี่ปุ่นต่อเนื่องด้วย Sashimi Island เซ็ตรวมปลาดิบประจำฤดูกาล ที่ส่งตรงมาจากดินแดนอาทิตย์อุทัย มีทั้งแซลมอน ที่เราคุ้นเคย โอโทโร่ เนื้อนุ่มฟิน ทูน่า เนื้อหวาน และฮามาจิ เนื้อสดใหม่ Truffle Ice Soba ดาวเด่นประจำร้าน โซบะเย็นที่หลายคนกดไลก์ เอ็นจอยกับเส้นโซบะโฮมเมดเหนียวนุ่ม เสิร์ฟในก้อนน้ำแข็งเย็นเฉียบ ราดน้ำซุปดาชิรสเค็มกลมกล่อม หอมกลิ่นทรัฟเฟิล Truffle Claypot รีซอตโตผัดพร้อมครีมซอสรสหอมมันเข้มข้น ไปด้วยกันได้ดีกับไข่ออนเซ็น และทรัฟเฟิลเลอค่า ของหวานเราสั่ง Chocolate Churros ปาทองโก๋สเปนโฮมเมดทอดร้อนๆ เนื้อแป้งกรอบนอกนุ่มใน กินคู่ไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด และซอสช็อกโกแลตเข้มข้น Japanese Cheesecake  ชีสเค้กในแบบฉบับญี่ปุ่นเนื้อเด้งราวกับเต้าหู้ รสหวานพอเหมาะ หอมกลิ่นน้ำตาลเบิร์นไฟ จิบคู่ Yuzu Snake ค็อกเทลขายดีตลอดกาล ได้รสเปรี้ยวของน้ำยุซุ ผสานความหอมของซินนามอน ก่อนเพลิดเพลินกับโฟมเสาวรสนุ่มๆ Old Fashioned Anaconda ก็น่าสนใจ ค็อกเทลขวัญใจสายดื่มที่โดดเด่นด้วยรสและกลิ่นของวิสกี้ เปลือกส้มและเชอร์รี นอกจากนี้ยังมีม็อกเทลหลายตัวที่น่าสนใจ

ชวนชาวแก๊งมาแฮงก์เอาต์ที่ ANJU Korean Rooftop Bar” รูฟท็อปสไตล์เกาหลีแห่งแรกของเมืองไทย บนชั้น 31 ของโรงแรมสินธร มิดทาวน์ กรุงเทพฯ, วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น เพลิดเพลินกับมู้ดแอนด์โทนกลิ่นอายเคป๊อปเต็มพิกัด ทั้งแสงไฟนีออนสีม่วงสาดส่อง เฟอร์นิเจอร์ไม้สีดำขลับ เสียงเพลงมันส์ๆ จากบูธดีเจ และวิวตึกสูงสุดปังใจกลางเมือง ดูแล้วช่างเหมือนบรรยากาศย่านกังนัมในยามค่ำคืนเสียนี่กระไร พร้อมให้คุณอร่อยกับ ‘ANJU (อันจู)’ กับแกล้มรสต้นตำรับสไตล์ Seoul Food ฝีมือทีมเชฟชาวเกาหลีที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ จิบคู่เครื่องดื่มที่ได้แรงบันดาลใจจากจานอร่อยเกาหลียอดนิยม โดยคุณเบญญาภา กองรัมย์ ผู้จัดการฝ่ายเครื่องดื่มและบาร์ประจำโรงแรมฯ ดีกรีแชมเปียนการแข่งขัน Bacardi Legacy Cocktail Competition กันเลยทีเดียว จานแรกเราสั่งเป็น Korean Seafood Pancakes พาจอน หรือพิซซาสไตล์เกาหลี เสิร์ฟมาร้อนๆ ภายในสอดไส้ซีฟู้ดสดเด้งที่เรารัก กินกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะรสเปรี้ยวละมุน หอมกลิ่นน้ำมันงา Sweet & Spicy Fried Boneless Chicken ไก่ไม่มีกระดูกทอดร้อนจี๋ หนังกรอบโดนใจ เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ เข้ากันดีกับซอสกังจองรสเปรี้ยวหวาน ผสานความเผ็ดนิดๆ สายฟู้ดห้ามพลาด Spicy Sea Snails with Wheat Noodles เมนูซิกเนเจอร์ประจำร้าน หอยทากทะเลตัวอวบอ้วน ให้สัมผัสนุ่มหนึบเคล้าซอสเผ็ดรสเข้มข้น เสิร์ฟเคียงบะหมี่สไตล์เกาหลีเนื้อนุ่มอร่อย เด็กอ้วนต้องเลิฟ Boiled Pork Belly หมูสามชั้นต้มเนื้อนุ่ม ห่อผักสดกรุบกรอบ เติมความเผ็ดร้อนด้วยพริกสด ราดน้ำจิ้มสูตรลับรสหวาน Korean Mixed Rice with Vegetables บิบิมบับเสิร์ฟในชามหินร้อนๆ ได้ความมันนัวของไข่แดงคุณภาพ และรสหวานกลมกล่อมของน้ำจิ้ม Seafood Noodles เส้นรามยอนหนานุ่ม ซดพร้อมน้ำแกงรสเผ็ดร้อนพอเหมาะ ท็อปด้วยเครื่องเคราทะเลอย่าง หอยแมลงภู่ตัวอ้วน ปูเนื้อหวาน ปลาหมึกชิ้นใหญ่ และกุ้งตัวโต ของหวานต้อง Sweet Korean Pancakes แพนเค้กสไตล์เกาหลีโฮมเมดกรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ถั่วแดงกวนรสหวานฉ่ำ เข้ากันดีกับไอศกรีมมัตฉะชื่นใจ ปิดท้ายด้วยดริ้งก์ดาวเด่นอย่าง Beon-De-Gi ค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘พอนเดกี’ เมนูดักแด้สไตล์เกาหลี ได้ดีกรีร้อนแรงจากโซจูพรีเมี่ยม และความเปรี้ยวสดชื่นของน้ำส้มยูซุ Yak – Gwa ค็อกเทลที่เป็นการรวมตัวกันของสาเกสัญชาติเกาหลี และน้ำข้าวกล้อง กินคู่ขนมยักกวากรุบกรอบ และ Ggul – Tteok รสหวานละมุนที่ได้จากโซจูกลิ่นน้ำผึ้งมะนาว ผสานเหล้ารสพีชและราสป์เบอร์รี สปาร์กลิงสาเก ด้านล่างเป็นคาเวียร์รสส้มสดชื่น จิบแล้วก็ไปแดนซ์ให้กระจาย

บาร์แห่งใหม่ย่านไชน่าทาวน์ ที่มาในคอนเซ็ปต์ซีเคร็ทบาร์ (Secret Bar) จากครีเอทีฟไดเรคเตอร์ โดยอู้ พหลโยธิน พร้อมเปิดประตูต้อนรับเหล่านักดื่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บาร์ลับสไตล์เซี่ยงไฮ้ ตั้งอยู่หลัง Facade ซึ่งเคยเป็นหอนางโลม (Pleasure House) ในสมัยก่อน เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความแปลกใหม่และเย้ายวน ประดับด้วยโคมไฟสีแดง ที่ได้แรงบันดาลใจจากจิตนาการของอพาร์ทเมนต์ของนักแสดงชาวเซี่ยงไฮ้ในฮอลลีวูดช่วงยุค 1920 ถ่ายทอดสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ โดย คุณอู้-นพปฎล พหลโยธิน ไว้ได้อย่างไร้ที่ติ บรรยากาศภายในคล้าคลอด้วยเสียงเพลงตั้งแต่ยุค 70 ซึ่งมีทั้งเครื่องเล่นแผ่นเสียงไวนิลแบบโอลด์สคูล และดีเจรุ่นใหม่ คอยขับกล่อมด้วยจังหวะดิสโก้ ร่วมกับดนตรีแจ๊สและฮิปฮอป กลายเป็นเพลย์ลิสต์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร เมนูเครื่องดื่มได้แรงบันดาลใจจากการผสมผสานกับยุคสุราต้องห้ามของฮอลลีวูด (Speakeasy Shanghai meets Prohibition Hollywood) ด้วยการปรุงเครื่องดื่มภายในบาร์ ที่คัดสรรวัตถุดิบตามฤดูกาลและหาได้ในท้องถิ่นจากร้านยาและสมุนไพรจีนย่านไชน่าทาวน์ ไม่ว่าจะเป็น Farewell my Concubine, In the Mood for Love, Crouching Tiger Hidden Dragon จากผู้กำกับชื่อดัง อั้งลี่ และ หว่อง กา ไว ด้วยเทคนิคพิเศษในการปรุงมากมายผสานเข้ากับการเลือกใช้วัตถุดิบระดับพรีเมียม ที่ให้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้ผลลัพธ์เป็นค็อกเทลสูตรเฉพาะของทางร้าน แน่นอนว่าเพื่อสร้างสรรค์รสชาติที่ไม่เหมือนใคร มิกโซโลจิสต์ (Mixologist) ได้พิถีพิถันการปรุงเครื่องดื่มจากการจับคู่ที่เหนือความคาดหมาย จนเกิดเป็นเครื่องดื่มที่ให้ประสบการณ์อันแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็น เบอร์เบิร์นกับเนยฝรั่งเศส (French Butter Bourbon), เบอร์เบิร์นเห็ดทรัฟเฟิล (Truffle Bourbon), จินกุหลาบเปอร์เซียและโหระพาอียิปต์ (Persian Rose and Egyptian Basil Gin sous vide), วอดก้าอินฟิวส์เบคอน (Vodka infused Bacon), รัมกับครีมมะพร้าวที่ผ่านกระบวนการทำให้ใส (Clarified Coconut Rum) “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์บาร์ที่มีชีวิตชีวาและล้ำสมัย ในพื้นที่ไชน่าทาวน์ของกรุงเทพฯ โดยหวังว่าจะนำพลังงานและบรรยากาศที่แปลกใหม่มาสู่พื้นที่แห่งนี้ครับ” จากคุณอู้-พหลโยธิน ผู้ก่อตั้งบาร์ LUCKY DUCK

หาก ‘คราเฟเบียร์’ เป็นเครื่องดื่มในดวงใจของคุณเราแนะนำ “Tap It Bangkok” บาร์นั่งชิลบรรยากาศดีประจำโรงแรมคราวน์พลาซ่า กรุงเทพฯ ลุมพินีพาร์ก (BTS ศาลาแดง) เอ็นจอยกับคราเฟเบียร์ไทยและเทศสดใหม่ฟองนุ่มๆ จิบคู่กับอาหารนานาชาติน่าลิ้มลอง นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเมนูดาวเด่นอย่าง ‘พิซซาเตาถ่าน’ แป้งบางกรอบ รสชาติดีไม่แพ้ที่ไหน เสิร์ฟพร้อมบรรยากาศชิลๆ ที่มีให้คุณเลือกนั่งถึง 2 โซน ทั้งภายในร้านตรงบาร์ไม้อบอุ่น ให้คุณนั่งมองบาร์เท็นเดอร์เชร็คเครื่องดื่มได้อย่างถนัดตา กับโซนด้านนอกที่มีโซฟาเบาะหนานุ่มนั่งสบาย อยู่ท่ามกลางสวนสวย ให้คุณนั่งชิลได้ตั้งแต่บ่ายแก่ๆ จนจรดค่ำ เริ่มต้นที่ สลัดมะม่วงอโวคาโดและนาโช่ชิปส์ นาโช่ชิปส์โฮมเมดให้สัมผัสกรุบกรอบ จิ้มสลัดมะม่วงอโวคาโดรสหวานฉ่ำ ผสานความหอมมันของอะโวคาโดกินง่าย ตามด้วย แซลม่อนเทอริยากิ ซอสเทอริยากิรสหวานกำลังดี ราดแซลมอนหั่นเต๋าทอดร้อนจี๋ จนได้หนังที่กรอบ แต่ภายในยังคงไว้ซึ้งเนื้อที่ชุ่มฉ่ำ ใครเป็นสาวกชีสต้องเลิฟ มักกะโรนีและเนื้อปูอบชีส เส้นมักกะโรนีเนื้อนุ่ม อบพร้อมปูเนื้อหวานปริมาณมหาศาล และชีสคุณภาพรสหอมมัน ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล สั่งอาหารไทยมาลองบ้างดีกว่า ยำเนื้อ เนื้อย่างฉ่ำลิ้น คลุกเคล้าน้ำยำรสจัดจ้านถึงใจ ต่อด้วย ซี่โครงหมูบาร์บีคิว ซี่โครงหมูชิ้นใหญ่ๆ อาบซอสบาร์บีคิวรสหวานเผ็ดเข้มข้น เนื้อนุ่มร่อนกินเพลิน เสิร์ฟพร้อมสลัดผักกรุบกรอบ อย่าลืมสั่ง พิซซาสี่หน้า เมนูซิกเนเจอร์ประจำร้าน ที่ให้คุณอร่อยกับพิซซาโฮมเมดเตาถ่านร้อนๆ แป้งบางกรอบหน้าต่างๆ ได้แก่ ฮาวานเอี้ยน ที่คุ้นเคย กุ้งลายเสือ ขวัญใจคนรักซีฟู้ด และ มาการิต้า รสคลาสสิก เครื่อวดื่มต้องนี่เลย Watermelon Breeze ค็อกเทลสีแดงสดที่ทำมาจากน้ำแตงโมแท้ๆ ผสมเหล้าดีกรีร้อนแรง และ Mohito รสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นใบมินต์มากมาย ก่อนกลับสั่ง ‘คราเฟเบียร์’ มาจิบอีกแล้วจะเป็นไรไป

ดื่มด่ำวิวแม่น้ำปิง พร้อมจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ยามพระอาทิตย์ตกดินได้ที่ Mai Sky Bar บาร์สูงบนชั้น 22 ของโรงแรม Meliá Chiang Mai ที่จะทำให้คุณอิ่มเอมไปกับอาหารสเปนสไตล์ทาปาสรสชาติต้นตำรับคู่กับค็อกเทลและม็อกเทลสูตรพิเศษ ท่ามกลางบรรยกาศสุดโรแมนติกและทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองเชียงใหม่ได้แบบพาโนราม่า เรียกน้ำย่อยด้วย Gilda (150.-) เมนูเสียบไม้เสิร์ฟมาแบบพอดีคำ ประกอบไปด้วยพริกดองสเปน แอนโชวี และมะกอกเขียว มาพร้อมกับซุปมะเขือเทศเย็น กินแล้วสดชื่น และ Patatas Bravas (160.-) มันฝรั่งทอดกรอบ เสิร์ฟในซอสมะเขือเทศรสจัด ที่ไม่ว่าจะจับคู่กับเครื่องดื่มเมนูอะไรก็อร่อยลงตัว เริ่มกันที่ Misty hill (300.-) ค็อกเทลสุดสดชื่นจาก ไอริชวิสกี้ ทริปเปิ้ลเซค น้ำสับปะรด และน้ำมะนาว เพิ่มความหอมด้วยใบโหระพา เปรี้ยวอมหวานเข้ากันได้อย่างลงตัว ต่อด้วย Sangria (280.-) เครื่องดื่มสีสวยจากเรดไวน์ ผสานมากับเหล้าฝรั่งเศส และบรั่นดี โดยมีซิกเนเจอร์อยู่ที่การใส่ผลไม้ตามฤดูกาลหั่นชิ้นเล็ก มาให้เคี้ยวเพลินๆ ดื่มเบาๆ ปิดท้ายด้วยเมนู Aqua de Valencia (280.-) ที่มีส่วนผสมของ สปาร์กกลิ้งไวน์จากสเปน เหล้าส้ม และน้ำส้มหวานหอม ดื่มง่ายชื่นใจ

เป็นขวัญใจสายดื่มยามค่ำคืนมาอย่างยาวนานจริงๆ สำหรับ Axis & Spin (Sky Lounge & Bar) สกายเลาจน์วิวปังที่ตั้งอยู่บนชั้น 38 ของโรงแรม The Continent Hotel Bangkok (BTS อโศก) มาที่นี่นอกจากจะได้ชมวิวถนนสุขุมวิทเพลินตาแล้วยังได้เอ็นจอยกับบรรยากาศธีมอวกาศอลังการ ผนังด้านบนจำลองเป็นแผนที่โลกกว้าง ประดับโคมไฟส่องสว่างเป็นรูปดาวเคราะห์น้อยใหญ่ต่างๆ ด้านหน้าของบาร์จะเรียงรายด้วยรูปหินสลักดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอย่าง ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวเสาร์ บวกกับไฟสีเหลืองโทนส้มสลัวๆ ยิ่งให้ฟีลเสมือนเราได้ขยับเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ทีละเล็กละน้อย ล่องลอยไปยังกาแล็กซี่แสนไกล ที่มาพร้อมเมนูและค็อกเทลรสชื่นใจในธีมอวกาศเช่นกัน อย่าง Mercurry Bail โครเกตต์ทอดร้อนจี๋น่าอร่อย ที่ทำมาจากกุ้งเนื้อหวานให้สัมผัสนุ่มเด้ง เข้าคู่ซอสเลมอนและขิง ขาดไม่ได้เลยกับ Fried Saturn ปลาหมึกชุบแป้งทอดสีเหลืองทองรสจัดจ้าน เข้ากันดีกับซอสครีมสูตรเฉพาะและสลัดผักสดกรุบกรอบ Mars Tuna Tataki ทูน่าเนื้อสดหมักเกลือและพริกไทยจนได้รสเค็มกลมกล่อม บีบเลมอนซีกเพิ่มความเปรี้ยวเล็กน้อย Brushetta แซนด์วิชหน้าเปิดสำหรับชาววีแกนโดยเฉพาะ ได้รสหวานอมเปรี้ยวจากซัลซ่ามะม่วง และกลิ่นหอมๆของใบเบซิล กัดพร้อมขนมปังกรอบเข้ากัน ตามด้วย Pama Ham พาร์มาแฮมที่ผ่านการหมักบ่มถึง 24 เดือนจนได้รสเค็มกลมกล่อม กินคู่แคนตาลูปสัญชาติญี่ปุ่นหวานฉ่ำและขนมปัง มีเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มความกรุบกรอบด้วย จิบคู่คอกเทลสีสวยอย่าง Earth ที่โดดเด่นด้วยรสชาติเปรี้ยวสดชื่นของน้ำมะนาว ผสานดีกรีร้อนแรงของเหล้าเตกิร่า ความครีมมีของไข่ขาวและกลิ่นหอมชวนลิ้มลองของเหล้ามิโดริ Pluto ค็อกเทลสีฟ้าสวยที่ดึงดูดสายตาคุณด้วยรูปปั้นนักบินอวกาศเคียงข้างแก้ว สดชื่นไปกับส่วนผสมจากเหล้าจิน บลูฮาวายรสหวาน ไซรัปกุหลาบหอมๆ เพิ่มความเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาว ก่อนท็อปด้วยครีมโฟมนุ่มๆ ที่ทำจากไข่ขาว สุดท้ายเป็น Neptune น้ำแอปเปิ้ลให้ความสดชื่นผสมกับน้ำมะนาว บลูฮาวาย ไซรัปบลูเบอร์รีและเหล้ารัม เสิร์ฟมาในแก้วทรงเก๋ที่ใครเห็นแล้วต้องร้องว้าว ราวกับได้ท่องอวกาศเลย

ถือเป็นหนึ่งร้านในดวงใจของสายดื่มเลยก็ว่าได้สำหรับ “Octave Rooftop Lounge & Bar” รูฟท็อปบาร์ 3 ชั้นที่ตั้งอยู่บนชั้น 45-49 ของโรงแรมแบงค็อก แมริออท สุขุมวิท ใจกลางเมืองย่านทองหล่อแสนสะดวก ให้คุณชมเส้นขอบฟ้าสวยๆ และดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์เมืองกรุงฯ ฉบับ 360 องศา ที่มาพร้อมกับค็อกเทลเย็นเจี๊ยบจับคู่กับทาปาสร้อนๆ เคล้าเสียงดนตรีมันส์ๆ จากดีเจชื่อดัง เอาใจสายเนื้อกันก่อนเลยกับ Grilled Australian Beef Skewers เนื้อคุณภาพสัญชาติออสเตรเลียย่างหอมๆ จนได้ความสุกระดับมีเดียมฉ่ำลิ้น ราดซอสรสเค็มกลมกล่อมเข้ากัน หรือใครไม่กินเนื้อจะสั่ง BBQ Pork Ribs ก็ย่อมได้ ซี่โครงหมูชิ้นโตๆ หมักซอสสูตรเฉพาะเนื้อนุ่มร่อน เข้าคู่กับซอสบาร์บีคิวรสเข้มข้น มาที่เมนูเฮลท์ตี้กันบ้างดีกว่า Chopped Mexican Salad สลัดสไตล์เม็กซิกันชามโตๆ รสสดชื่นกินเพลิน คนรักชีสต้องเลิฟ Cheese and Cold Cuts Plater ชาร์คูเตอรีจานใหญ่ๆ ที่ประกอบไปด้วยชีสนานาชนิด ได้แก่ Semi-Soft Cheese ชีสเนื้อนุ่มพอเหมาะ Semi-Hard Cheese หรือชีสแข็ง โพรชูโตแผ่นบาง ซาลามีรสเค็ม องุ่นไร้เม็ดลูกบิ๊กเบิ้ม มะกอกและขนมปังแครกเกอร์ Roast Duck Bun Sliders บันเนื้อซาลาเปานุ่มนิ่ม กินพร้อมเป็ดเนื้อแน่นและผักสดกรุบกรอบ เข้ากันดีกับซอสรสหวานอมเค็ม Seared Yellowfin Tuna เนื้อปลาทูน่าคลีบเหลืองปรุงสุกกำลังดี เนื้อหวาน กินคู่กับเมี่ยงส้มโอรสเปรี้ยวแซมหวาน มาถึงรูฟท็อปแล้วจะพลาดค็อกเทลเย็นๆ ได้อย่างไร เราสั่ง Lamai Beach สีฟ้าสวยรสเปรี้ยวผสานหวานจิบง่าย ยังมี Purple Rain ม็อกเทลสีม่วงรสหวานละมุน หอมกลิ่นดอกไม้ และ 99 Red Ballons โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวของน้ำราสป์เบอร์รี สมแล้วที่เป็นม็อกเทลขายดี ชิลกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

สายดื่มทั้งหลายโปรดทราบ! บนชั้น 28 ของโรงแรมไฮแอท เพลส กรุงเทพ สุขุมวิท ในซอยสุขุมวิท 24 เป็นโลเคชั่นของรูฟท็อปน่าเช็คอินที่ชื่อว่า Aire Bar” ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของร้านเป็นโอเพนแอร์เปิดโล่งสบายๆ สมชื่อ ‘แอร์บาร์’  ส่วนโซนด้านในจะเป็นผนังปูนเปลือยดิบๆ ที่แซมด้วยต้นไม้เขียวขจี พร้อมเสิร์ฟอาหารนานาชาติ ค็อกเทลรสเลิศ และดื่มด่ำกับวิวใจกลางเมืองตึกสูงน้อยใหญ่ย่านอโศก เคล้ากับเสียงดนตรีสดจากนักร้องคุณภาพแห่งรายการ The Voice Thailand เรียกน้ำย่อยด้วย Satay Gai สะเต๊ะไก่เสียบไม้ย่างหอมๆ เนื้อแน่นนุ่ม หอมกลิ่นขมิ้นเบาๆ เสิร์ฟพร้อมน้ำอาจาดรสเปรี้ยวอมหวาน และซอสสูตรเฉพาะที่ทำมาจากถั่วพีนัต Baked Black Mussels with White Wine หอยแมลงภู่ตัวอวบอ้วน คลุกเคล้ากับซอสไวต์ไวน์รสครีมมี ได้รสเปรี้ยวอ่อนๆ ของเลมอน กินกับขนมปังซาวร์โดโฮมเมดเนื้อเหนียวนุ่ม ตามด้วย Parma Ham Salad เมลอนญี่ปุ่นหวานฉ่ำ ท็อปด้วยปาร์มาแฮมจัดเต็มไม่มีหวง จานหลักเราเลือกเป็น Truffle Cream Cheese Pizza เมนูขายดีประจำร้าน พิซซาโฮมเมดอบสดใหม่ร้อนๆ แป้งบางกรอบกินอร่อย เคล้ากับทรัฟเฟิลหอมฟุ้งและครีมชีสครีมมี สาวเส้นยาวๆ เพลินๆ ไปกับ Spaghetti Spicy Thai Northern Sausage สปาเก็ตตีไส้อั่วรสเค็มเผ็ด ได้กลิ่นหอมๆ ของพริกแห้ง กินคู่กับขนมปังกระเทียมทำเอง ของหวานต้อง Mango Sticky Rice ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมหวานขึ้นชื่อของไทยเราที่โด่งดังไปทั่วโลก มะม่วงน้ำดอกไม้สุกรสหวานแกะสลักสวยงาม เสิร์ฟเคียงข้าวเหนียวมูนเนื้อนุ่มหวานมัน ราดด้วยน้ำกะทิรสเค็ม ยังมี Chocolate Lava Cake Banana Caramel เค้กช็อกโกแลตลาวาเยิ้มๆ รสเข้มข้น เข้ากันดีกับกล้วยหอมเคลือบคาราเมลเบิร์นน้ำตาล ที่ขาดไม่ได้เลยค็อกเทลซิกเนเจอร์อย่าง North Star  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของน้ำสับปะรด น้ำมะนาว ไซรัปวานิลลาและส้มโอ เติมความซาบซ่าด้วยโซดา และดีกรีร้อนแรงจากเหล้ารัมชั้นดี Passion in The Air โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวอมหวานของน้ำเสาวรสและมะนาว เพิ่มความหอมหวานด้วยไซรัปคาราเมล ผสานกับวอดก้าเอาใจสายดื่ม