เปิดตัวได้ไม่นานก็ครองใจสายเนื้อย่านปิ่นเกล้าไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ “วัวกิว ก๋วยเตี๋ยวเรือ เนื้อพ่นไฟ” ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่ชูน้ำซุปสูตรลับมรดกตกทอดของครอบครัวมาเป็นจุดขาย พร้อมยกระดับความจัดจ้านแบบทวีคูณด้วยการเสริมทัพเนื้อพรีเมียมจากทั้งในและต่างประเทศ นำมาเบิร์นไฟสไตล์ญี่ปุ่น (Aburi) ให้มีกลิ่นไหม้เบาๆ เน้นความสุกระดับมีเดียมแรร์เพื่อคงสีเนื้ออมชมพูระเรื่อ เพิ่มมิติของสี กลิ่นและรสชาติให้พิเศษมากยิ่งขึ้น ส่วนความลับของน้ำซุปหอมๆ ทางร้านก็พร้อมเปิดเผยว่าได้จากการเคี่ยวสมุนไพรไทยและเครื่องยาจีนกว่า 20 ชนิดในน้ำซุปกระดูกวัวหรือหมูนานกว่า 8 ชั่วโมงจนได้รสชาติที่กลมกล่อม ลูกค้าไม่ต้องปรุงเพิ่มก็ซดเพลินจนหมดชาม แต่ถ้าใครอยากเพิ่มระดับความจัดจ้านแบบคูณสองจะเหยาะน้ำจิ้มแจ่วเพิ่มอีกหน่อยก็ได้ ถึงแม้จะมีน้ำซุปเป็นจุดขาย แต่ไฮไลท์ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ยังมีเนื้อวัวกับเนื้อหมูที่เคี้ยวนุ่มฉ่ำลิ้น เพราะผ่านการตุ๋นนานกว่า 6 ชั่วโมงจึงซึมซับน้ำซุปไว้ทุกอณู  นอกจากเนื้อตุ๋นยังมีเนื้อสไลด์ให้เลือกทั้งเนื้อออสเตรเลีย, เนื้อวากิว และเนื้อวากิวมาร์เบิ้ล สมทบด้วยเครื่องในทั้งตับและผ้าขี้ริ้ว อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือลูกชิ้นเคี้ยวเด้งสู้ฟัน อร่อยจนต้องสั่งเพิ่ม สำหรับคนไม่กินเนื้อก็มีหมูไว้เป็นทางเลือก โดยเฉพาะหมูคุโรบุตะที่นุ่มนวลแทบไม่ต้องออกแรงเคี้ยว   ประเดิมที่ เมนูแรก ก๋วยเตี๋ยวเรือเนื้อออส+วากิวมาร์เบิ้ลพ่นไฟ วากิวสันคอสไลด์ชิ้นใหญ่ๆ ใส่ให้เต็มที่แทบไม่เห็นเส้นด้านล่าง จากนั้นราดน้ำซุปแล้วเบิร์นไฟให้มีกลิ่นไหม้นิดๆ ถึงตอนนี้ตะเกียบในมือก็สั่นจนแทบจะรอไม่ไหว ด้านเนื้อตุ๋นที่ใส่มาเคียงกันก็เด่นไม่เป็นรอง ลงตัวกับน้ำซุปที่เข้มข้นแบบไม่ต้องปรุงเลย ไม่ใช่สายเนื้อ แนะนำ ก๋วยเตี๋ยวเรือคุโรบูตะสไลด์พ่นไฟ ความอร่อยตีคู่กันมาแบบไม่มีหลุดโผ ทั้งน้ำซุปและหมูคุโรบูตะสไลด์ที่นำมาเบิร์นไฟจนสุก คนรักหมูต้องยอมสยบให้กับเมนูนี้ หากมาก๊วนใหญ่แนะนำ หม้อไฟ จัดเต็มทั้งเนื้อสไลด์ เนื้อสด เนื้อตุ๋น ลูกชิ้น เครื่องใน (ตับ, ผ้าขี้ริ้ว) เส้น และผัก ให้สลับกันคีบ ลวกๆ จิ้มๆ อร่อยกันแบบจุกๆ เมนูเสริมทัพอื่นๆ ที่น่าลิ้มลองก็มี อาทิ ข้าวกะเพราเนื้อออสเตรเลีย ข้าวสตูน้ำตกเนื้อตุ๋น ข้าวกะเพราหมูสับ+คุโรบูตะพ่นไฟ เห็นเมนูยั่วน้ำลายมากมายขนาดนี้ก็อย่ากินเพลินจนลืมเหลือพื้นที่สำหรับของหวาน ทีเด็ดของร้านนี้คือปังปิ้งที่เป็นอีกซิกเนเจอร์ห้ามพลาด ปิ้งกันใหม่ๆเมื่อสั่ง กลิ่นหอมฟุ้งยั่วน้ำลาย เมนูต้องลอง อาทิ ไอติมปิ้งปังเนยสด ขนมปังย่างเนยใส่ไอติมกะทิใบเตย ไข่เค็มครัมเบิ้ล โรยถั่วตัดคาราเมล รสหวานกำลังดีทำให้กินได้เรื่อยๆ ไม่แสบคอ แถมยังเหมาะกับอากาศร้อนบ้านเราอีกด้วย ต่อด้วย ปังปิ้งไส้ทะลัก ปังปิ้งหอมๆ ปิ้งแบบกรอบนอกนุ่มใน มีไส้ให้เลือก 3 รสชาติ ได้แก่ สังขยาใบเตย โคตรไข่เค็ม และสังขยางาดำ ถ้าเลือกไม่ได้ก็จัดให้ครบทั้ง 3 รสชาติไปเลย กินไม่หมด เอากลับไปอุ่นกินต่อที่บ้านได้สบายๆ ปังปิ้งไอติมลาวา มี 3 รสชาติให้เลือกเช่นเดียวกัน แนะนำให้สั่งมาแชร์กับเพื่อนจะได้ไม่พลาดความอร่อย นึกอยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือติดแอร์ที่ปรุงรสชาติแท้ๆ แบบต้นตำรับ ปักหมุดร้านนี้ได้เลย!

เปลวไฟที่ร้อนระอุและลุก “โฌณ” สู่ตำรับเมนูอาหารไทยที่เล่าขานตำนานใหม่กับ โฌณ (Choen Restaurant) ร้านอาหารไทยกึ่งไฟน์ไดนิงย่านเยาวราชกับคอนเซ็ปต์ Thai Cuisine from Fire & Wood ที่ทำให้เราได้ลิ้มลองกับเซ็ตเมนู “Choen Palace” ซึ่งอิงจากอาหารต้นตำรับชาววัง แสดงถึงภาพลักษณ์ความหรูหรา และการกิน รังสรรค์ในรูปแบบของ “วังโฌณ” การทำอาหารภายใต้ความท้าทาย ที่เชฟมิวเล่าว่า “ทำอาหารแบบจริง! หรือ Live-Fire Cooking” ในครัวเปิดที่เราสามารถมองเห็นเชฟกำลังปรุงอาหารได้อย่างตื่นตาตื่นใจ โดยเชฟเล่าว่า “ความผูกพันและการคลุกคลีกับเปลวไฟทำให้รู้สึกถึงการทำอาหารโดยใช้ฟืน ซึ่งเป็นอะไรที่ท้าทายเหมือนได้ทำอาหารจริงๆ เพราะไฟถ่านควบคุมความร้อนยาก ต้องใช้ใจและความรู้สึกที่แท้จริง!” ด้วยกรรมวิธีของการใช้ฟืนในการปรุง เป็นความดิบที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับการผสมผสานรสชาติกับความสวยงามและหรูหราของอาหาร “ชาววัง” โดยนำมาเล่าใหม่ในฉบับของ “วังโฌณ” โดยอาหารแบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ Grand Garden, Throne Room และ Bedchamber ทั้งหมด 9 เมนู เริ่มจาก ขนมครกไทยโกยากิ แป้งขนมครกบางกรอบใส่ซอสหมึกดำและปลาหมึกหอมย่าง ท็อปด้วยขิงอ่อนและเม็ดมะตูมแขกเพื่อเพิ่มความสดชื่น และเป็นการเปิดต่อมรับรสได้อย่างดีเยี่ยม ต่อด้วย ซูชิอย่างไทย ข้าวเหนียวชุบไข่ได้แรงบันดาลใจจากข้าวจี่ นำไปย่างไฟอ่อนๆ ให้ได้ความหอมจากกลิ่นฟืนเบาๆ กินคู่กับปลาเก๋าที่นำไปทำให้เป็นปลาส้ม มีรสเค็มอ่อนๆ แล้วห่อใบชะพลู หยิบกินเหมือนกับซูชิ จานต่อมาที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจทั้งรสชาติและได้รสต้มข่าที่แท้จริง ต้มข่าแห้งบ้านโอศถานนท์ เป็ดตุ๋นกับกะทิและข่าป่า หอมกลิ่นสมุนไพร ที่นำเสนอเป็นในรูปแบบต้มข่าแบบโบราณ ที่จะต้องมีน้ำพอขลุกขลิก เสิร์ฟพร้อมกุ้งแม่น้ำย่าง ก่อนกินบีบน้ำมะนาวเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความสดชื่น กินคู่กับพริกเผา พะแนงไก่ปิ้งใส่ทับทิม ปีกไก่สอดไส้ด้วยเครื่องพริกแกง นำไปย่างจนสุกและหอมกำลังดี ราดด้วยซอสพะแนงรสเข้มข้น กินกับมะละกอดิบดองและเมล็ดทับทิม ช่วยตัดเลี่ยน ถือเป็นอีกจานที่ผสมผสานรสชาติออกมาได้เป็นอย่างดี สำหรับอีกจานที่โดดเด่น และนำเสนอรสชาติได้อย่างน่าสนใจ แกงคั่วปูอย่างวังปัตตานี ปูเนื้อขาวสวย เนื้อหวานฉ่ำที่บ่งบอกถึงความสด เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำแกงรสเข้มข้นและร้อนแรง หอมเครื่องเทศ ได้สัมผัสกรอบนิดๆ จากก้านออดิบ หรือ พืชตระกลูบอนและข้าวหอมมะลิ ปิดท้ายจานขนมหวานสุดตื่นตาตื่นใจ เพชรบุรีชีสเค้กหม้อแกงเผือก ชีสเค้กหน้าไหม้เนื้อแน่น มาพร้อมกับการโชว์เบิร์นหน้าเค้ก ควันพุ่งออกมาอย่างน่าตื่นเต้น กินคู่กับครัมเบิลและซอสบลูเบอร์รี ได้สัมผัสกรุบกรอบและเปรี้ยวหวานนิดๆ เป็นการปิดมื้อได้อย่างสมบูรณ์ รสชาติอาหารไทยที่รังสรรค์ผ่านจินตนาการได้อย่างน่าประทับใจ

เสียงเพลงอันครึกครื้นและความสนุกสนานที่ถือเป็นเสน่ห์ของร้านทาปาส เช่นเดียวกับร้าน Shoken Tapas Bar ร้านสเปนิชทาปาส ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการมาร์เชทองหล่อ นำเสนออาหารสเปนแนวผสมผสาน โดยร้านนี้เป็นร้านในเครือเดียวกับ Kenshō Omakase ร้านโอมากาเสะกึ่งแกลเลอรีอาร์ตที่เราได้ไปลิ้มลองมา ความพิเศษเริ่มตั้งแต่ชื่อ Shoken ซึ่งเจ้าของตั้งใจคิดสลับกันให้ดูเก๋ๆ เพื่อจะให้เป็นที่จดจำ โดยยังคงจุดเด่นเรื่องบรรยากาศสวยหรูภายในร้านเอาไว้เช่นเดิม เริ่มตั้งแต่ทางเข้าที่ต้อนรับเราด้วยกระเป๋าแบรนด์ Louis Vuitton วางเรียงเป็นชั้นสูง ภายในดีไซน์เรียบหรูด้วยสีครีมและเหล็กสีโรสโกลด์ ให้ความรู้สึกลักซ์ชัวรีได้กลิ่นอายความสนุกสนานที่รอคอยเราอยู่จากบาร์ใหญ่ใจกลางร้าน ซึ่งจะได้เพลิดเพลินไปกับเครื่องดื่มและสีสันยามค่ำคืนแบบเต็มอิ่ม Shoken มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Spain x Japanese Tapas ซึ่งแตกต่างจากร้านทาปาสทั่วไป เพราะผสมผสานวัตถุดิบอันขึ้นชื่อของสเปนและญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน อัดแน่นด้วยคุณภาพเกรดพรีเมียมอย่างปาร์มาแฮมเอจจิง 72 เดือนที่มีในประเทศเพียงแค่ 3 ขาเท่านั้น และไข่หอยเม่นหรืออุนิเนื้อแน่นเกรดเดียวกับร้านโอมากาเสะ เริ่มด้วยเมนูไฮไลต์ Akami Tataki เนื้อทูน่าดิบหั่นเต๋าท็อปด้วยคาเวียร์แบรนด์ Kaivari แบบเน้นๆ ราดด้วยซอสทรัฟเฟิล เคี่ยวจนได้รสเข้มข้น และ Uni Bun เมนูสเปเชียล ขนมปังโทสต์เนื้อนุ่มท็อปด้วยอุนิเกรดพีเมียม เนื้อนุ่มฟูแบบพูนๆ ต่อด้วย Potato Pave มันฝรั่งสไลซ์อบ หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมแล้วนำไปทอดจนเหลืองกรอบ ท็อปด้วยเนื้อปลาทูน่าที่ปรุงมาได้รสชาติเข้มข้น ได้สัมผัสนุ่มและกรอบในคำเดียว ตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้ดูสวยงาม สำหรับจานหลักก็จัดเต็มไม่แพ้กัน Arroz Negro Paella ปาเอลยาผัดกับหมึกดำ หอมกลิ่นหมึก ได้รสเผ็ดอ่อนๆ ปรุงรสมาได้อย่างเข้มข้นเป็นอีกจานถ้ามาแล้วห้ามพลาด! สำหรับสายซีฟู้ดเลิฟเวอร์คงต้องได้จัด Gambas al Ajillo กุ้งกระเทียมสไตล์สเปนิช กุ้งเนื้อแน่น หอมกลิ่นน้ำมันมะกอกและกระเทียม รสชาติเข้มข้น กินคู่กับเครื่องดื่มเปรี้ยวซ่าสักแก้วบอกเลยว่าฟิน อีกหนึ่งซิกเนเจอร์ที่มาแล้วต้องลอง Seared Foie Gras & Hotate จานที่จัดเต็มความพรีเมียม ตับห่านย่างกินคู่กับโฮตาเตะและไวต์ครีมซอสรสครีมมี่เข้ากันอย่างลงตัว ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่ม จากบาร์ใหญ่ใจกลางร้าน ที่บอกว่าหน้าตาสุดน่ารักเพราะเราสามารถคัสตอมได้เองอีกด้วย

เมื่อนึกถึงร้านโดนัทรสชาติดีสักร้าน อย่างไรซะก็จะมองข้าม “Brassica bkk” ไปเสียไม่ได้ ร้านโดนัทสไตล์อังกฤษลูกโตๆ เนื้อนุ่มหนึบของคุณเมย์ – วรนุช เตชะธนะชื่น และชอง เหวิน (Cong Wen) เชฟฝีมือดีจากประเทศสิงค์โปร์  ที่ครั้งนี้ขยายโลเคชั่นใหม่มาที่ Emsphere (BTS พร้อมพงษ์) ตัวร้านโดดเด่นด้วยสีไวน์แดง เพื่อลิ้งก์กับสาขาแรกที่นางลิ้นจี่ พร้อมให้คุณลิ้มลองโดนัทโฮมเมดทอดใหม่สดๆ ร้อนๆ ก่อนนำไปคลุกน้ำตาลให้ทั่ว สอดไส้กวนเองรสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครีมวานิลลา แยมสตรอว์เบอร์รี เนยถั่ว ช็อกโกแลต (ไส้มีให้เลือกเยอะมาก) ที่ทางร้านเขาจะบีบสดใหม่ ไม่ทำไว้รอลูกค้าเพื่อสัมผัสที่ดีของโดนัท แถมสาขานี้ยังมีโดนัทไส้คาวอย่างไก่ทอด เอาไว้เอาใจสายฟู้ดอีกด้วย เริ่มชิมจาก Fried Chicken Nanban San Doughnut ไก่ทอดกรอบนอกนุ่มในร้อนจี๋ เข้ากันดีกับแป้งโดนัทเนื้อเหนียวนุ่ม หอมกลิ่นเบิร์นไฟอ่อนๆ และซอสนัมบังรสครีมมีเข้มข้น ได้รสเผ็ดร้อนจากเครื่องเทศหอมๆ เต็มพิกัด ตามด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Leche Flan Doughnut Sandwich คัสตาร์ดคาราเมลเนื้อเนียนนิ่ม เปี่ยมไปด้วยรสหวานของคาราเมล กัดพร้อมแป้งนัทเนื้อฟูๆ มีความหนึบเล็กๆ ก่อนเสิร์ฟเบิร์นไฟเล็กน้อย Creme Brulee Doughnut เมนูดาวเด่นประจำร้านตลอดกาล โดนัทลูกใหญ่ๆ แป้งนุ่มนิ่ม สอดไส้ครีมวานิลลาคัสตาร์ดที่ทำมาจากฝักวานิลลาแห่งเกาะมาดากัสการ์ รสหวานมันสุดฟิน ตัวนี้ยังไม่เคยลอง Pistachio & Raspberry Doughnut โดดเด่นด้วยครีมพิตตาชิโอรสครีมมี ตัดด้วยรสเปรี้ยวอมหวานของแยมราสป์เบอร์รีรสเปรี้ยว ต่อด้วย Lemon Cheesecake Doughnut ที่เรารัก เพลิดเพลินกับเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวกลมกล่อม ไปด้วยกันได้ดีกับครีมวานิลลาคัสตาร์ดหวานมัน และแป้งโดนัทเนื้อนิ่ม Kaya Butter Brulee Doughnut แป้งโดนัทโฮมเมดเบิร์นไฟ ประกบสังขยาใบเตยทำเองรสหวานพอเหมาะ หอมกลิ่นใบเตยละมุน และเนยเค็มนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส ส่วนเครื่องดื่มเราแนะนำ HK Tea ชานำเข้าจากประเทศฮ่องกง กลิ่นหอมชวนลิ้มลอง ผสานกับมะนาวและน้ำผึ้ง ปิดท้ายด้วย Root Beer ซาบซ่าชื่นใจ โดนัทแบบไม่มีไส้ก็มีขายนะ

 การเดินทางครั้งใหม่ของร้านที่นำเสนออาหารอินเดียทางตอนเหนือแบบไฟน์ไดนิงอย่าง ปัญจาบ กริลล์ (Punjab Grill) ร้านที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 13 ย่านที่เต็มไปด้วยร้านอาหารอินเดียและผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ปัญจาบ กริลล์นำเสนอเซ็ตเมนูใหม่ด้วย Tasting Menu จากฝีมือ Chef Bharath S. Bhat ซึ่งคอร์สนี้มีให้เลือกทั้งมังสวิรัติและไม่มังสวิรัติ ในราคาเพียง 1,999 บาท++ต่อคอร์ส ตามไปลิ้มลองได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 บรรยากาศร้านดีไซน์มาพร้อมความหรูหราตื่นตาตื่นใจกับประตูไม้บานใหญ่ซึ่งมีพนักงานในชุดส่าหรีซ่อนอยู่เบื้องหลังคอยยิ้มต้อนรับ ภายในร้านตกแต่งด้วยผ้าลวดลายเอกลักษณ์ของคนอินเดีย พร้อมกลิ่นอายและเสียงเพลงดนตรีสดที่ทำให้เราอินไปกับบรรยากาศได้อย่างน่าประทับใจ ครั้งนี้เราได้ไปลิ้มลองกับเมนูใหม่ที่มีทั้งหมด 6 คอร์ส เริ่มด้วย Burrata Bandal Jam จานเรียกน้ำย่อยอย่างมะเขือย่างกับมะเขือเทศย่างรสเปรี้ยวหวานสดชื่น กินคู่กับชีสบูร์ราตาและเครื่องเทศ ท็อปด้วยแผ่นชีสอบกรอบ ถือเป็นการเปิดมื้อได้อย่างดี Imly Bbq Jheenga จานนี้บอกเลยว่ากินแล้วจะตกหลุมรักเพราะรสชาติคล้ายของไทยเรา กุ้งลายเสือย่างเคลือบซอสมะขามที่ปรุงกับเครื่องเทศ ได้รสชาติเปรี้ยวอมหวานนิดๆ กินคู่กับชัตนีย์สับปะรดได้ความสดชื่นตัดกับรสของเนื้อกุ้งได้อย่างลงตัว เข้าสู่จานหลักที่จัดจานมาอย่างสวยงาม Kesar Malai Murgh เนื้อสะโพกไก่หมักกับเครื่องเทศ แซฟฟรอนและครีมจนเข้าเนื้อแล้วนำมาย่างจนเนื้อนุ่ม ดิปคู่กับซอสแอพริคอทและแซฟฟรอนไอโอรี (Apricot and Aioli Sauce) เบรกความจัดจ้านด้วย Anari Chuski น้ำทับทิมผสมกับเครื่องเทศและเกลือชมพูหิมาลายันคล้ายกรานิตา ให้ความสดชื่นและพร้อมสำหรับจานต่อไป Kashmiri Chaamp Truffle Korma เนื้อซี่โครงแกะจากประเทศนิวซีแลนด์ตุ๋นกับเครื่องเทศ เมล็ดคาร์ดามอม บลูชีส (Blue Cheese Kulchette) และโยเกิร์ตจนเข้าเนื้อ เข้ากับซอสรสชาตินวลๆ หอมกลิ่นเครื่องเทศอ่อนๆ เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวบาสมาติก ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Aam Kulfi Falooda ไอศกรีมมะม่วงหวานหอมสดชื่น เสิร์ฟมาพร้อมซอสนมกลิ่นหอมรสครีมมี และเส้นหมี่หวาน นอกจากนี้ยังมีเมนูอะลาคาร์ตหลากหลายเมนูให้เลือกสั่งอีกด้วย อย่าลืมสั่ง Chicken Butter สูตรเด็ดของเชฟมาลิ้มลอง บอกเลยว่าอร่อยมาก 

เหมือนหลุดไปในอาณาจักรขนมหวาน Scene Bangkok ร้านสวยบนถนนพรานนก-พุทธมณฑลสาย 4 ด้านหน้าเป็นร้านเบเกอรี่ที่ดีไซน์แบบโมเดิร์นแฝงด้วยด้วยกลิ่นอายฝรั่งเศส มีชั้นลอยที่เมื่อมองลงมาจะเห็นบาร์เปิดแบบ 360 องศา รายล้อมด้วยขนมที่ทั้งอร่อยและน่ารักตามแบบฉบับของทางร้าน ด้านนอกเป็น Scene Secret Garden และบ้านฮอบบิท ที่นี่รวมเมนูซิกเนเจอร์ของ Scene Bangkok เอาไว้ด้วยกัน ทั้ง Abstract มูสเค้กสีสวยที่ได้แรงบันดาลใจจากงานศิลปะ ได้ทั้งรสชาติสดชื่นจากยูซุและรสเปรี้ยวอมหวานจากสตรอว์เบอร์รี มีเมล็ดฟักทองกรุบกรอบมาเพิ่มรสสัมผัส Leche Flan Danish ขนมปังครัวซองต์กรอบๆ สอดไส้ครีมนมสดรสละมุน ท็อปด้วยครีมคาราเมลหอมหวาน Macadamia & Almond Salted Caramel Croissant แป้งครัวซองต์ทำเป็นรูปเรือชิ้นยาว ท็อปด้วยแมกคาเดเมีย อัลมอนด์ และซอสคาราเมลสูตรพิเศษ รวมถึงครัวซองต์แป้งกรอบฉ่ำเนยก็ยังคงเป็นไฮไลต์ นอกจากขนมจะดีงาม เมนูคาวก็ห้ามพลาด เพราะทางร้านมีเซ็ตเฉลิมฉลองเทศกาลอย่าง“CHRISTMAS SPECIAL SET A” ในเซ็ตมี Onion Soup, Caesar Salad และ Mediterranean Sea Bass สเต๊กปลากระพงสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน และ CHRISTMAS SPECIAL SET B” ที่มีทั้ง Truffle Soup, Scene Garden Salad และจานหลักที่เลือกได้ระหว่าง Flat Iron with Lobster Sauce และ Pork Chops with Mushroom Sauce แต่ใครไม่อยากกินครบทั้งเซ็ตก็เลือกสั่งเมนูอะลาคาร์ตได้เลย คุ้มค่ากับการขับรถมาไกล

High Tea by Pickaboo แทบจะไม่ใช่คาเฟ่แล้ว แต่เป็นโลกคู่ขนานระหว่างความวุ่นวายบนถนนอโศกมนตรีกับความเป็นส่วนตัวด้านใน ที่มีเพียงคนรู้ใจมารวมตัวกัน การตกแต่งในร้านเน้นเฉดสีที่หลากหลายให้อารมณ์เหมือนมาปาร์ตี้ลับ บรรยากาศสนุกๆ ปลุกความมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นลวดลายบนพื้น ผนัง หรือแม้แต่บนเพดานก็ทำให้เราต้องหยุดมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือบรรดาของสะสมแปลกตาที่เดินทางมาจากทั่วโลก รวมถึง “ท่านเคาท์พิกาบู” กระต่ายมาดเท่ เซเลบประจำร้าน ที่น่ารักน่าหยิกที่สุด ชื่อร้านบ่งบอกในตัวว่าไฮไลท์จะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก High Tea อาทิ Oriental Set ชุดขนมไทย ประกอบด้วย ช่อม่วง ข้าวเหนียวหน้าปลาแห้ง ลูกชุบ อาลัว เสน์ห์จันทร์ จ่ามงกุฎ ขนมไส่ใส้ และเมนูสแตนดาร์ดอย่างสคอน เลมอนพาย ปังโอช็อค และครัวซองต์ เสิร์ฟพร้อมแยมมิกซ์เบอร์รี่ จากนั้นเลือกชาได้ตามชอบไม่ว่าจะเป็นชาขาว ชาวเขียว หรือชาอู่หลงก็ได้ Continental Set ชุดนี้ไม่มีขนมไทย เปลี่ยนมาจัดเต็มเค้กและเบเกอร์รี่แทน ประกอบด้วย มินิเบอร์เกอร์พาร์มาร์  ชีสนอร์ดินี บลูเบอร์รี่พาย เรดเวลเวต อัลมอนด์ช็อก สคอน เลมอนพาย ปังโอช็อค ครัวซองต์ เสิร์ฟพร้อมแยมมิกซ์เบอร์รี่ และเลือกชาได้ตามชอบเช่นเดียวกัน ใครอยากลองเครื่องดื่มชนิดอื่น ก็มีให้เลือกสั่งทั้งกาแฟ โกโก้ และม็อกเทล พลิกดูเมนูแล้วอาจเลือกไม่ถูก เราขอแนะนำ 2 แก้วที่ห้ามพลาด ได้แก่ Rose Trip ชาขาวกับลิ้นจี่ ราสเบอร์รี และดอกกุหลาบ รสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ และ Green Geisha ชาเขียวน้ำผึ้งมะนาวผสมผสานกับผลไม้หลายชนิด ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นไม่แพ้กัน มาถึงร้านทั้งที เรายังมีเรื่องดีๆ มาบอกต่อ ที่นี่เค้ามีห้องลับสำหรับใครที่อยากดูไพ่ยิปซี บรรยากาศสุดขลังฟังแล้วฟินมาก แต่บุ่มบ่ามไม่ได้นะ ต้องนัดเวลาก่อน แม่หมอเค้าคิวแน่นจริงๆ

Tag:

ไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดก็สามารถชวนชาวแก็งค์ไปกินขนม เอนจอยกับเครื่องดื่มรสละมุนได้ที่ร้านโทสต์สุดคิวท์ตาแป๊วชื่อน่ารัก “ลูกเล็กเด็กแดง” ซึ่งตั้งอยู่ในโลเคชั่นสุดป๊อปบนถนนบรรทัดทอง โดยตกแต่งมาด้วยมู้ดแอนด์โทนชวนสดใสอบอุ่นอย่าง สีแดงและขาว ที่ใครได้เดินผ่านเป็นต้องอยากเข้าไปสัมผัสความน่ารักด้านใน ทางร้านเน้นเสิร์ฟเป็นโทสต์หน้าคาวหวานคู่กับเครื่องดื่มนมและ โซดาให้อิ่มท้องเพลินใจควบคู่ไปกับเสียงเพลงเพราะๆ จากดนตรีสดที่มีให้ฟังทุกคืนวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ มาแล้วต้องลอง ครีมทรัฟเฟิลชีสโทสต์ (169.-) ชีสโทสต์เนื้อเหนียวนุ่มราดครีมทรัฟเฟิลหอมมัน ด้านบนโรยด้วยเบคอนกรุบกรอบ เสิร์ฟพร้อมซอสเทาซันไอแลนด์เข้มข้น เข้ากันอย่างลงตัว ต่อด้วย บิสคอฟฮันนี่โยเกิร์ตโทสต์ (139.-) เนื้อขนมปังเหนียวนุ่มหอมเนยราดด้วยคาราเมลและครีมโยเกิร์ต เพิ่มความหวานด้วยบิสคอฟป่นด้านบน เสิร์ฟคู่ไอศกรีมวานิลลาและครัมเบิลกรุบกรอบ หวานตัดเปรี้ยวกินแล้วไม่เลี่ยนเลย ใครชอบเมนูสไตล์ไทยสั่ง สังขยาชาไทยใบเตยโทสต์ (89.-) ขนมปังโทสต์เนยรสเค็มนิดๆ สีเหลืองนวลน่าอร่อย จุ่มกับดิปสังขยาชาไทยและใบเตย แนะนำให้จับคู่กับเครื่องดื่มอย่าง ชาเย็นหรือโกโก้ ชงแบบเข้มข้นหวานมันถูกใจสายหวานแน่นอน

หลังจากปิดตัวไปเกือบสามปี บาร์ดีอย่าง Find The Photo Booth ก็กลับมาเปิดให้บริการให้สายดริ้งค์ตื่นเต้นอีกครั้งด้วยโลเคชั่นใหม่ใจกลางเมืองย่านถนนบรรทัดทอง ซึ่งนำทัพมาด้วยบาร์เทนเดอร์ตัวท็อประดับเอเชียเช่นเดิม เพิ่มเติมความพิเศษด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่สุดเก๋ 7 Chords to Cocktail นำคอร์ดดนตรีทั้ง 7 มาครีเอตเป็นซิกเนเจอร์ดริ้งค์ที่ไม่เหมือนใคร Find The Photo Booth โฉมใหม่มีกิมมิคการหลายอย่างที่เราไม่อยากให้ทุกคนพลาด ไม่ว่าจะเป็นการแชะภาพสวยๆ ผ่านโฟโต้บูธก่อนเปิดประตูเข้าสู่บาร์ หรือการหยิบเมนูอันกิบเก๋ในรูปแบบกล่องซีดีของร้านขึ้นมาสแกนคิวอาร์โค้ดและเซฟ playlist เพลงเพราะที่คัดสรรโดยดีเจไปเก็บไว้ฟัง ก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนุกไม่แพ้กัน เริ่มด้วย D SHARP (D#) (380.-) ทวิสต์ค็อกเทลที่จิบแล้วได้ความหวานหอมนัวสไตล์มิลค์พันซ์ โดยมีส่วนผสมของรัมและเวอร์มุธ มาพร้อมความสดชื่นแบบเกรปฟรุ้ตและสตรอว์เบอร์รี ต่อด้วย F SEVENTH (F7) (420.-) สดชื่นกินง่ายเพราะมีส่วนผสมของ Suntory Kakubin หรือวิสกี้ญี่ปุ่น โพรเซ็กโก้ ตามด้วยกลิ่นธรรมชาติของผลไม้อย่าง สับปะรดและสตรอว์เบอร์รี ใครอยากลองคลาสสิคค็อกเทลแนะนำ Hojicha Highball (380.-) ค็อกเทลกลิ่นอายญี่ปุ่นที่มีส่วนผสมของชาโฮจิฉะ และวิสกี้ญี่ปุ่น โดยที่นี่ยังมีของทานเล่นอย่าง  Wonton Crisps (80.-) เกี๊ยวทอดแผ่นบางเสิร์ฟคู่ชีสดิปผักโขม และ Streamed Shrimp Siu Mai With Shrimp Roe (150 .-) ขนมจีบกุ้งเนื้อแน่นท็อปด้วยไข่กุ้งกรุบๆ ให้สั่งมาจับคู่ได้อีกด้วย

หนึ่งในไฮไลต์ของห้างฯ ใหม่ Emsphere ต้องร้านนี้เลย ทองสมิทธ์ HOT POT” หม้อไฟก๋วยเตี๋ยวเรือรสเด็ดเครือ Iberry Group อร่อยกับเซ็ตเนื้อและเซ็ตหมูคุณภาพดี ที่มาพร้อมกับน้ำซุปต่างๆ ทั้งซุปน้ำตกทองสมิทธ์รสเข้มข้นที่หลายคนเลิฟ  ซุปเนื้อวากิว เคี่ยวอย่างพิถีพิถันนาน 48 ชั่วโมง และซุปหมูคุโรบุตะรสนุ่มนวลหอมกลิ่นเครื่องเทศ สายฟู้ดคนไหนยังไม่จุใจสามารถสั่ง A La Carte ได้อย่างเต็มที่ ในส่วนของบรรยากาศ ทองสมิทธ์ HOT POT จะตกแต่งสไตล์ลอฟท์ปูนเปลือยดิบๆ เข้าคู่กับเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลเข้ม (เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวทองสมิทธ์เป๊ะ) ภายในร้านมีทั้งที่นั่งเดี่ยวหน้าเคาน์เตอร์ ที่มองเห็นคนทำครัวได้อย่างถนัดตา และโต๊ะรวมสำหรับคนที่มาเป็นกลุ่มแก๊งค์เพื่อน แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้ลิ้มลองหม้อไฟก๋วยเตี๋ยวเรือหม้อเดี่ยวไม่ต้องแบ่งความอร่อยกับใคร จานแรกต้องนี่เลยเมนูใหม่แกะกล่อง ยำเนื้อกรอบ เนื้อหั่นชิ้นพอดี ลวกพอสุกจนได้สัมผัสเด้งๆ ชุ่มฉ่ำ คลุกเคล้ากับเรื่องเคราและน้ำยำรสแซ่บ ต่อด้วยตัวไฮไลต์ เซ็ตเนื้อ ที่ประกอบด้วยน้ำซุป เราเลือกซุปเนื้อวากิวรสเค็มกลมกล่อมที่เกิดจากการเคี่ยวกระดูกวัวนานกว่า 48 ชั่วโมง หอมกลิ่นสมุนไพรเล็กๆ เนื้อสันไหล่วากิวออสเตรเลียชั้นดี ยังมีเครื่องในเนื้อ และผักสด โรยด้วยกากหมูโฮมเมด และราดน้ำจิ้มรสเด็ดของทางยิ่งอร่อยโดนใจ หรือใครไม่กินเนื้อต้องนี่เลย เซ็ตหมู มีทั้งเนื้อหมูส่วนต่างๆ (เราเลือกหมูสามชั้นคุโรบุตะ) กินเพลินอย่าบอกใคร เข้าคู่กับเครื่องในหมูสดใหม่ ชุดผักสด และซุปน้ำตกซิกเนเจอร์ของทองสมิทธ์ ที่คุณสามารถเลือกความเผ็ดได้อย่างตามใจ ใครเป็นสายเส้นจะสั่ง เส้นหมี่ลวก เหนียวนุ่มมาซู้ดเล่นอีกก็ไม่ว่ากัน ส่วนของหวาน ลอดช่อง ก็น่าสนใจ แป้งลอดช่องเนื้อนุ่มๆ หอมกรุ่นใบเตย ไปด้วยกันได้ดีกับน้ำกะทิรสหอมหวาน ตามด้วย ขนมถ้วย ขนมหวานสุดป็อปของทางร้าน ได้รสหอมกรุ่นของใบเตย ตบท้ายด้วยเนื้อหน้ากะทิครีมมี ใครอยากชิมต้องสั่งจองก่อนเริ่มกินหม้อไฟนะ จิบคู่กับ ส้มมะปิ๊ดโซดา รสเปรี้ยวสดชื่น ซาบซ่าถึงใจ และ น้ำอ้อยสดเกล็ดหิมะ รสหวานละมุน ชื่นใจทุกครั้งที่ได้ดื่ม เสียดายสาขานี้ไม่มีกล้วยทอด!

LOULOU Cafe & Restaurant คาเฟ่ vibe ดีที่เปิดตัวได้ไม่นานแต่กลับมีคิวยาวเป็นหางว่าว ด้วยไอเดียการดีไซน์ร้านที่ถูกใจชาวคาเฟ่ฮอปเปอร์ แถมยัง 'ใส่ใจสิ่งแวดล้อม’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Sustainable Eco Friendly โดยตัวร้านได้หยิบยกวัสดุรีไซเคิลมาใช้ออกแบบพร้อมตกแต่งจนกลายเป็นคาเฟ่สุดเก๋ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ กระเบื้อง หรือแม้กระทั่งภาชนะบรรจุเครื่องดื่มแบบ Take Away ที่กลายเป็นกิมมิกของร้าน ออกแบบโดย Loulou BKK X Studio Cantalove ก็ล้วนเน้นเรื่อง Reduce - Reuse - Recycle 100% รู้แบบนี้แล้วบอกเลยว่าช่วยเพิ่มฟีลให้อยากเข้าไปอุดหนุนมากขึ้นเป็นกอง! นอกจากจะใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว อาหารของที่ร้านก็ยังได้รับการรังสรรค์จากเชฟมากฝีมือเช่นกัน เพราะคำว่า “Lou Lou” ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “อร่อย” ฉะนั้นแต่ละเมนูจึงปรุงด้วยวัตถุดิบที่คัดสรรมาอย่างดี ก่อนปรับเปลี่ยนสูตรให้ถูกปากคนไทย โดยเน้นเสิร์ฟเป็นอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดแบบ All Dat Dining ทั้งบรันช์ สเต๊ก และพาสตา ที่นี่ยังมีเครื่องดื่มแบบ Coffee, Non-Coffee และไวน์ดีๆ ในมื้อค่ำให้ดื่มด่ำควบคู่ไปกับอาหารอีกด้วย เริ่มต้นที่ LOU LOU Pasta เส้นพาสตาผัดกับกาลิกออยล์ ปรุงรสอย่างเบามือ มีความหอมมันและเผ็ดเล็กน้อยจากพริกแห้ง กินคู่กุ้งตัวโต เพิ่มความสนุกให้การเคี้ยวด้วยไข่กุ้ง อร่อยสมกับเป็นเมนูซิกเนเจอร์ ต่อด้วย Waffle & Chicken สะโพกไก่ชิ้นใหญ่ทอดจนกรอบนอกแต่ข้างในยังฉ่ำ เสิร์ฟคู่แพนเค้กโฮมเมดเนื้อนุ่มฟู ก่อนกินแนะนำให้ราดเมเปิลไซรัปรสหวานหอมลงบนไก่หรือแพนเค้ก รับรองว่าจะติดใจ ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Hamming Bird เป็นเค้กกล้วยผสมสับปะรดสลับเลเยอร์กับครีมชีสรสหวานละมุน เพิ่มเท็กซ์เจอร์ความกรุบกรับด้วยพิสตาชิโอและวอลนัตด้านบน และ Matcha Yuzu Soda เครื่องดื่มแสนสดชื่นด้วยน้ำยูซุผสมโซดา ให้รสเปรี้ยวๆ หวานๆ ท็อปด้วยมัตฉะรสเข้มข้น เข้ากันได้อย่างลงตัว เรียกได้ว่าเป็นร้านที่อิ่มท้องพร้อมอิ่มใจสุดๆ

สายหวานต้องมาลอง “Coco Walk Café” คาเฟ่มะพร้าวออร์แกนิกส์ที่ตั้งอยู่ในไอคอนสยาม (บริเวณชั้น 4 ) เสิร์ฟเครื่องดื่มครีเอทจากมะพร้าวน้ำหอมออร์แกนิกส์แห่งอำเภอบ้านแพ้ว ของดีประจำจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าของคือคุณจิน-บุญศรี หาญเกียรติกล้า อดีตพีอาร์และนักการตลาดประสบการณ์กว่า10 ปี ที่ชื่นชอบการดื่มน้ำมะพร้าวจนได้แรงบันดาลใจเปิดแบรนด์นี้ในที่สุด จุดเด่นของ Coco Walk Café คือน้ำมะพร้าวมีความหวานที่คงที่ทุกแก้วทุกกระป๋อง เพราะที่ร้านใช้ “เครื่องวัดความหวาน” ได้มาตรฐานมาใช้ตรวจสอบอย่างเข้มงวด ก่อนใช้ชงเครื่องดื่มเสิร์ฟให้ลูกค้า แถมยังมีเบเกอรีอบสดใหม่เข้าคู่ไปด้วยกัน ต้อนรับด้วย มะพร้าวน้ำหอมวังชา เครื่องดื่มรสอร่อยที่เป็นการรวมตัวกันของน้ำมะพร้าวน้ำหอมรสหวานฉ่ำ นมสด และชาไทยหอมฟุ้ง ท็อปด้วยฝอยทองล้นๆ มะพร้าวน้ำหอมน้ำผึ้ง พายแอปเปิ้ล เบสเป็นตัวน้ำมะพร้าวน้ำหอมผสานนมสดครีมมีเช่นเคย เพิ่มเติมคือสดชื่นจากแอปเปิ้ลและความกรุบกรอบของครัมเบิ้ล ต่อด้วย มะพร้าวน้ำหอมนมสดลอดช่อง เอาใจคนรักขนมไทยด้วยเฉพาะ ลอดช่องโฮมเมดแป้งนุ่ม เข้ากันดีกับน้ำมะพร้าวมิ๊กซ์นมสดรสกลมกล่อม นอกจากนี้ที่ร้านยังมี มะพร้าวน้ำหอมในรูปแบบกระป๋อง รสหวานสดชื่น สำหรับสายหวานที่อยากหิ้วกลับไปกินที่บ้าน

Tag:

Hua ห้องอาหารจีนแห่งใหม่ในโรงแรมคอนเซ็ปต์เก๋อย่าง Grande Centre Point Surawong ที่ดึงเสน่ห์ของ 2 ดินแดนสตรีทฟู้ดอย่าง ‘ฮ่องกง’ และ ‘เยาวราช’ มาเจอกันในที่เดียว ด้านในตกแต่งแบบโมเดิร์นไชนีส รายล้อมกระจกบานใหญ่ให้มองเห็นความคึกคักของย่านบางรัก แน่นอนเมนูของที่นี่เป็นสตรีทฟู้ดที่ส่งต่อความอร่อยกันแบบรุ่นสู่รุ่น แต่ทีมเชฟจับแต่งตัวให้พรีเมียมขึ้นด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบที่คัดมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเมนูไฮไลต์อย่าง 3เซียน รวมทีเด็ดอย่างหมูแดงนุ่มๆ เป็ดย่างเนื้อฉ่ำและไก่ซีอิ๊วเอาไว้ในจานเดียว โจ๊กของที่นี่หอมกรุ่นอุ่นท้อง เนื้อเนียนด้วยปลายข้าวหอมมะลิใหม่หมักน้ำมันงา และน้ำซุปรสชาติกลมกล่อมจากเนื้อไก่สันในหมู และหอยเชลล์แห้ง แนะนำ โจ๊กเนื้อหมัก จับคู่กับปาท่องโก๋ ทอดร้อนๆ ยิ่งเข้ากันดี นอกจากนี้ยังมีเมนูห้ามพลาด กุ้งผัดซอส XO ซอสรสชาติเข้มข้นฉบับฮ่องกง เส้นบะหมี่ไข่นุ่มหนึบท็อปด้วยหมูแดงนุ่มๆ และหมูกรอบชิ้นหนา หรือจะลองเมนูหม้อดินที่มีทั้งข้าวอบและราดหน้า รวมถึงของกินเล่นอย่างเต้าหู้ทอด ก็กินเพลินแบบไม่อยากวางตะเกียบ จบมื้อนี้ด้วย โอวหนี่แปะก๊วย หอมหวานนุ่มนวล

Tag:

จะเรียกที่นี่ว่าเป็นบ้านในฝันก็คงไม่เกินไปนัก Peter & Rabbit English Tea Time ฟาร์มคาเฟ่ในสวนสไตล์อังกฤษบนถนนอุทยาน พุทธมณฑล ที่จะทำให้หัวใจทุกคนพองโต ที่นี่มีทั้งบ้านต้นไม้หลังจิ๋วและสนามเด็กเล่นให้น้องๆ ได้เล่นสนุก พร้อมด้วยแก๊งกระต่ายขนปุย น้องเป็ด น้องห่านสุดน่ารักรอทักทายอยู่ แถมเรายังได้เห็นกระต่ายปีเตอร์จากเรื่อง The Tale of Peter Rabbit เป็นกิมมิกภายในร้านด้วย มาถึงเรื่องอาหาร ที่นี่เสิร์ฟทั้งเมนูคาว ขนมหวาน และเครื่องดื่ม เหมาะกับกลุ่มครอบครัว อาทิ สปาเกตตีครีมซอสไข่กุ้ง รสเข้มข้นครีมมีท็อปด้วยไข่กุ้งให้เคี้ยวเพลิน ข้าวผัดมันกุ้ง เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่างไข่เค็ม ขิงซอย พริกซอย และมะนาว พลาดไม่ได้กับ Mr.กระพง ปลากระพงทอดหั่นเต๋าเสียบไม้ให้กินง่ายขึ้นราดด้วยเครื่องพริกเกลือที่คั่วแยกต่างหาก ปิดท้ายด้วย Rabbit Cake เค้กรูปน้องกระต่าย ด้านในสอดไส้ซอสสตรอว์เบอร์รี่รสเปรี้ยวสดชื่นด้านล่างเป็นครัมเบิลกรุบกรอบ น่ารักเข้ากับบรรยากาศร้าน

เปิดแล้ว! ไท่เออร์ (TAI ER 太二 Thailand) ร้านอาหารเสฉวนและหม่าล่าสุดแซ่บ ต้นตำรับ ‘ต้มปลาผักกาดดอง’ ชื่อดังจากแดนมังกร โดยล่าสุดได้ขยายความอร่อยเปิดสาขาแรกในไทยที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์ (ชั้น 7) ไท่เออร์ (TAI ER) มีสาขามากกว่า 540 ทั้งในจีนและอีกหลายประเทศทั่วโลก แต่สำหรับสาขาในไทยทางร้านได้ครีเอตเมนูพิเศษเฉพาะของประเทศไทย กับ 'ไก่ตะไคร้หม่าล่า' รสจัดจ้าน ที่ทำเอาภายในร้านมีกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว รับประกันความอร่อยไม่แพ้เมนูซิกเนเจอร์อย่าง ‘ต้มปลาผักกาดดอง’ เลย เริ่มต้นที่ ต้มปลาผักกาดดอง ซุปผักกาดดองสูตรลับที่ผสานกับรสและกลิ่นจากหม่าล่า มีความเผ็ดร้อนเล็กน้อย กินคู่เนื้อปลาขาวอวบที่คัดสรรอย่างพิถีพิถัน อร่อยลงตัว ตามด้วย ไก่ตะไคร้หม่าล่า เนื้อไก่ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน มีรสชาติและรสสัมผัสจากหม่าล่าแทรกซึมอยู่ทุกชิ้น กินคู่ข้าวสวยร้อนๆ เข้ากันได้ดี ถัดมาเป็น เนื้อสไลซ์น้ำมันพริกร้อน เนื้อสไลซ์ชิ้นใหญ่คลุกเคล้าน้ำมันพริก ได้ความหอมมันและเผ็ดเล็กน้อย และ ซุปไก่สูตรพิเศษ เป็นเมนูที่มาช่วยเบรกความเข้มข้นจากหม่าล่า ด้วยน้ำซุปรสกลมกล่อมกินคู่กุ้งและผักกาด นอกจากนี้ทางร้านยังยกเมนูอร่อยสไตล์เสฉวนมาเสิร์ฟอย่างล้มหลาม รับประกันความอร่อยเพราะทุกจานทางร้านใช้วัตถุดิบอิมพอร์ตจากจีนและปรุงรสตรงตามต้นฉบับแท้ๆ

เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวดีๆ รับต้นปี 2024 เมื่อมีร้านอาหารไทยแห่งใหม่ KHAAN (ขาล) ของเชฟอ้อม-สุจิรา พงษ์มอญ เจ้าของรางวัล MICHELIN Young Chef Award 2021 ได้เปิดบ้านหลังใหม่พร้อมนำเสนออาหารไทยพื้นบ้านทั้ง 4 ภาค ผสมผสานระหว่างอาหารชาววังและสตรีทฟู้ดเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างน่าสนใจ ผ่านการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันเพื่อเป็นการบอกเล่าถึงเรื่องราวของอาหารและวัฒนธรรมการกินของคนในแต่ละถิ่นให้ทุกคนได้รู้จักมากยิ่งขึ้น ภายใต้บ้านหลังสีแดงอันโดดเด่น ดีไซน์อันเรียบหรูผสมผสานความเป็นไทยออกมาได้อย่างชัดเจน พร้อมกับป้ายชื่อร้านที่ตั้งจากปีนักษัตรของเชฟ “ปีขาล” และสื่อถึงการบอกเล่า “ขาน” ถึงความอร่อยและให้ทุกคนได้สนุกกับประสบการณ์กับอาหารไทยในแนวของเชฟออ้อม เพราะที่นีไม่ได้เสิร์ฟในแบบดั้งเดิม แต่ผ่านการปรุงรสชาติและใส่แนวคิดอย่างสร้างสรรค์ลงในแต่ละเมนูได้อย่างน่าประทับใจ จนออกมาเป็นเทสติ้งเมนูทั้ง 11 คอร์ส เริ่มด้วยอะมุสบุช 4 คำ ตัวแทนจาก 4 ภาค ที่เสิร์ฟมาบนรากไม้สวยงาม ภาคใต้ ไข่ตุ๋นแกงคั่วเนื้อปู เชฟนำเสนอแกงคั่วปูได้อย่าน่าสนใจ รสชาติเผ็ดถึงเครื่อง หอมกลิ่นสมุนไพร เรียกได้ว่าเปิดมื้อได้อย่างร้อนแรง สำหรับภาคตะวันออก หมูชะมวง เชฟรังสรรค์ได้แปลกใหม่หนังหมูนำมาทำให้กรอบบางกินคู่กับซอสชะมวง ภาคกลาง เมี่ยงดอกบัว ที่นำไอเดียจากขนมเค้กสาลี่จากจังหวัดสุพรรณบุรี และภาคเหนือปิดท้ายด้วยความสดชื่น สับปะรดภูแลเผาแช่น้ำทับทิมและเสาวรส เป็นการเปิดต่อมรับรสและเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี จานสุดประทับใจ หอยเชลล์ลาบเมือง เนื้อหอยเชลล์ดิบจากญี่ปุ่น เสิร์ฟกับซอสหอยแมลงภู่ผสมผักแพรวให้ความสดชื่นและเผ็ดชาอ่อนๆ กินคู่กับผักกาดก้านหอม หรือ โอซุ่น ได้ความสดชื่นเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี สำหรับจานอยากเล่าขานให้ทุกคนต้องมาลิ้มลองคือ ข้าวพันผัก จานพื้นบ้านจากจังหวัดอุตรดิตถ์คล้ายกับข้าวเกรียบปากหม้อ ทำจากข้าวสังข์หยดหมัก นำไปโม่แล้วนึ่งจนเป็นแผ่นแป้ง คลุมบนไส้หัวไชเท้าดรายเอจผัดกับพีนัตบัตเตอร์ มันแกว มันม่วง มันส้ม และเผือก ราดซอสขิงผสมกับใบหูเสือ ได้รสสดชื่นและเนื้อสัมผัสที่เข้ากันได้อย่างลงตัว ถัดมา ต้มข่าหอยนางรม เชฟนำต้มข่าสมัยก่อนมาบรรจบกับสมัยใหม่ได้อย่างน่าสนใจ หอยนางรม (Belon Oyster) เสิร์ฟในซุปเห็ดออริจิแช่กับเครื่องต้มข่า ท็อปด้วยโฟมหอยตะโกรมกรามขาว รสครีมมี ที่เชฟแนะนำว่าเวลากินให้ผสมกัน ระหว่างมื้อคั่นด้วย น้ำพริกอ่อง ที่เชฟตั้งใจเสิร์ฟแบบเย็นทำเป็นกรานิตามะเขือเทศ ได้กลิ่นและรสชาติของสมุนไพรอ่อนๆ เปรี้ยวนิด ช่วยล้างปากได้เป็นอย่างดี หลังจากที่ได้ล้างปากไปสักเล็กน้อยแล้วก็เริ่มจานหลักกับ แกงบุ่มไบ่ แกงโบราณตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่เชฟทำรสชาติออกมาได้อย่างเข้มข้น  กินคู่กับเนื้อแกะจากประเทศออสเตรเลียที่เชฟนำไปอบจนได้เนื้อสัมผัสที่ฟูกรอบ เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวบาสมาติกหุงอย่างเทศ สีสันสวยงามเม็ดข้าวร่วนกำลังดี และต่อด้วยจานขนมหวาน ฟักท๊อง ฟักทอง เมนูขนมหวานที่มาพร้อมกับ Live Station ที่ใช้ทุกส่วนของฟักทองได้อย่างน่าสนใจ กินคู่กับไอศกรีมฟักทองและเนื้อฟักทองเชื่อม กลิ่นหอมมัน หวานกำลังดี ปิดท้ายด้วย Pettit four 4 คำ ได้ไอเดียมาจากทั้ง 4 ภาคเหนือ ข้าวดุกงาดำ ทำเป็นทรงบุหรี่กินคู่กับงาขี้ม่อน ภาคใต้ ขนมด้วงดอกดาหลา มาร์ชเมลโลรูปตัวหนอนกินคู่กับกลีบดอกดาหลา ลอดช่องแตงไทย น้ำกะทิ ทาร์ตข้าวเหนียวดำสอดไส้เผือกกวน ท็อปด้วยลอดช่องใบเตย มะปี๊ด ช็อกโกแลตจากจังหวัดระยอง สอดไส้เจลและแยมที่ทำมาจากส้มมะปี๊ด เป็นคอร์สอาหารไทยที่นอกจากจะได้ลิ้มรสความอร่อยแล้ว ยังได้เดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ ทั้ง 4 ภาคอีกด้วย

ชวนชาวก๊วนไปปาร์ตี้น้ำชาต้อนรับปีมังกรแบบปังๆ กันที่ Chongdee Teahouse - โรงชาชงดี สาขาใหม่แกะกล่อง @เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 7 ซึ่งสาขานี้มาพร้อมกับขนมตัวใหม่อย่าง ‘ขนมปังปิ้งโบราณ’ เมนูพิเศษเฉพาะสาขานี้ ชาชงดี เป็นแบรนด์ชาใต้แท้ๆ จากหาดใหญ่ที่กำลังเป็นกระแสอย่างมาก โดยสาขานี้เป็นสาขาแรกที่มีโต๊ะให้นั่งรับประทานชาดีๆ พร้อมกินคู่ขนมสูตรเฉพาะของร้าน ส่วนทางด้านของชาก็มีให้เลือกทั้ง 'ชาชงดี' (ชาใต้ล้วน) และ 'ชาชงร่วม' (ชาใต้ผสมชาไทย) ที่สามารถเลือกดื่มได้ทั้งแบบใส่น้ำแข็งหรือสเลอปี้ ซึ่งทุกแก้วจะเสิร์ฟคู่กับขนมแพริงไซส์พอดีคำ อย่างแก้วแรกนี้จะเป็น ชาชงดี เสิร์ฟคู่ปาท่องโก๋ซิกเนเจอร์ของร้าน และถัดมาคือ สเลอปี้ชาชงดี กินคู่ขนมปังปิ้งสุดพิเศษ อร่อยจนต้องยกให้เป็นตัวชูโรงของสาขาเซ็นทรัลเวิลด์เลย แต่ถ้าใครยังกินขนมไม่หนำใจ ก็สามารถสั่งแยกเป็นเซ็ตได้เช่นกัน แนะนำเป็น 'ขนมปังปิ้งโบราณ' เนื้อกรอบนอกนุ่มใน และฉ่ำไปด้วยเนย ยิ่งดิปกับน้ำตาลโตนดใส่กะทิยิ่งทวีความอร่อยขึ้นเป็นเท่าตัว

Machi Machi (มาชิ มาชิ) แบรนด์ชานมจากไต้หวันพร้อมมอบความสุขให้ชาวฟู้ดดี้ได้อิ่มอร่อยแบบคุ้มๆ กันถ้วนหน้าก่อนใคร เพียงกดสั่งครั้งเดียวก็ได้กินขนมหวานครบทุกแบบทุกสไตล์ เพิ่มความสดชื่นให้บ่ายวันนี้ด้วย Milk Tea with Cream Cheese Foam (1 แถม 1) ชานมไต้หวันท็อปด้วยครีมชีสเนื้อเนียน รับรองว่าจะไม่ง่วงเหงาหาวนอนอีกต่อไป หากโหมงานหนักมาทั้งวัน แนะนำ Double Dango ดังโงะเสิร์ฟพร้อมดิป 2 รสชาติ กินคู่กับ Handmade Sugar Latte บอกเลยว่าอิ่มคุ้มค่าแคล เพราะ 1 แบงก์แดงมีทอน หรือจะเป็นคู่นี้ Jasmine Green Tea with Plum Jello ชาบ๊วยสูตรพิเศษกับ Fluffy Donut Cheese Bomb (189.-) โดนัทชิ้นโตราดชีส มาพร้อมครัมเบิลให้เคี้ยวกรุบ เป็นของว่างกินเพลินๆ ตลอดการทำงานก็ดีไม่แพ้กัน ฟินไปอีกขั้นกับเซ็ต Fluffy Donut Dip & Go x1 และ Black Milk Bubble Tea x2 (319.-) โดนัทเนื้อนุ่มฟู จับคู่กับชานมรสละมุน จะจูงมือเพื่อนซี้หรือคนรักมาเติมความหวาน ก็ฟินด้วยกันเพียงคนละ 159.- เท่านั้น สามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่วันนี้ - 14 กราคม 2567   สอบถามรายละเอียดและโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ Instagram : machimachi_thailand Facebook : Machi Machi Thailand Line : https://lin.ee/q4cQFxM หรือกดสั่งทาง : https://bit.ly/360aH1z

เปิดตัวปังๆ ที่สาทรอย่างสวยงามแล้วก็ตะลุยบุกโลเคชั่นต่างๆ ไม่หยุดหย่อน จนล่าสุด “อันเกิม-อันก๋า” ร้านอาหารเวียดนามเอเชียนซีฟู้ดของคุณปลา -อัจฉรา เจ้าของร้านอาหารเครือ iberry ก็มาบุก Emsphere (BTS พร้อมพงษ์) ห้างฯ ใหม่ย่านพร้อมพงษ์สุดอลังการ ตัวร้านสาขาที่ 4 นี้ยังคงคอนเซปต์การตกแต่งสไตล์เวียดนามเล็กๆ ผสมความเป็นเอเชียน ทั้งสีสันสดใสของเฟอร์นิเจอร์ และงานไม้คลาสสิกเหมือนสาขาใหญ่ที่สาทร   คำว่าอันเกิม-อันก๋า ในภาษาเวียดนามแปลว่า กินข้าว-กินปลา ซึ่งสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของเวียดนาม โดยเฉพาะเรื่องอาหารทะเล เหมือนกับทางร้านที่เสิร์ฟอาหารเวียดนามในหลายๆ ภูมิภาค และนำมาดัดแปลงให้ถูกปากคนไทย รวมไปถึงเมนูซีฟู้ดสดเด้ง ที่รังสรรค์โดย ChefLoi (Trieu Tan Loi) เชฟหนุ่มชาวเวียดนามน้องใหม่ไฟแรง ต้อนรับด้วย ขนมจีนเนื้อย่าง ขนมจีนเหนียวนุ่ม คลุกเคล้าเครื่องเคราต่างๆ อย่าง ผักสด กุ้งแห้ง ถั่วลิสง ขาดไม่ได้คือเนื้อย่างหอมๆ ฉ่ำลิ้น ราดซอสรสเปรี้ยวเข้ากัน ต่อด้วย ขนมถ้วยกรอบกุ้ง ขนมถ้วยเนื้อนิ่มผิวกรอบ หอมกลิ่นขมิ้นอ่อนๆ ท็อปด้วยกุ้งเนื้อหวาน เพิ่มกลิ่นหอมๆ ด้วยกระเทียมเจียว จิ้มซอสรสหวานอมเปรี้ยว ตัดเลี่ยนด้วยผักสดกรุบกรอบ จานหลักเป็น ก๋วยจั๊บญวนหมูรวมมิตร หนึ่งในจานเด็ดของร้าน เส้นก๋วยจั๊บโฮมเมดนุ่มหนึบ เข้ากันดีกับน้ำแกงสูตรลับรสกลมกล่อม หมูยอเนื้อแน่น และกระดูกหมูเนื้อนิ่มแทบละลายในปาก เติมพริกเผาโฮมเมดรสเผ็ดลงไปหน่อย อร่อยอย่าบอกใคร ขนมจีนซุปเนื้อ เมนูน้องใหม่ที่ใครกินต่างก็ติดใจ (โดยเฉพาะคนรักเนื้อ) เส้นขนมจีนสไตล์เวียดนามซู้ดเพลินๆ อยู่ในซุปเนื้อรสเข้มข้นที่ทางร้านเคี่ยวนานกว่า 24 ชั่วโมง   ของหวานเราสั่ง ไอศกรีมผักแพวมะนาว แปลกไม่เหมือนใคร ไอศกรีมมะนาวรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดผสมผักแพว ผักพื้นบ้านมีชื่อของเมืองไทย กินกับข้าวเกรียบงากรุบกรอบ ในส่วนของเครื่องดื่มต้องนี่  อูเมะโซดา ได้รสหวานอมเปรี้ยวซาบซ่า ถูกใจคนรักบ๊วย และ ชารากบัว ร้อนๆ กลิ่นหอมฟุ้ง ได้รสหวานละมุนอยู่ในลำคอ

คำว่า Nikaku ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง ‘นกกระเรียนคู่’ เป็นสัตว์มงคลของชาวญี่ปุ่นที่หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองอันยั่งยืน เหมือนเจ้าของร้านอย่าง เชฟเซตสึโอะ ฟูนาฮาชิ (Setsuo Funahashi) เชฟซูชิผู้เป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูล และภรรยาสาว เชฟคาซูมิ ฟูนาฮาชิ (Kazumi Funahashi) เชฟขนมหวานผู้ร่ำเรียนศิลปะการทำขนมญี่ปุ่น (วากาชิ) จากคุณแม่ของเธออย่างช่ำชอง   Nikaku เป็นร้านโอมากาเสะชื่อดังในตำนานแห่งเมืองคิตะคิวชู ที่เปิดมาแล้วกว่า 60 ปี (จนถึงปัจจุบัน) ให้สายฟู้ดเอ็นจอยกับซูชิเอโดมาเอะ ที่เน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบจากช่องแคบคัมมง และทะเลรอบๆ เกาะคิวชู ผ่านการปรุงด้วย ‘เอนไบ’ รสนุ่มนวลและกลมกล่อมอันเกิดจากความสมดุลของเกลือและน้ำส้มสายชู และผ่านการปั้นจากเชฟเซตสึโอะ โดยเขาใช้เทคนิคเก่าแก่ Honte-gaeshi ที่สืบทอดกันมานานกว่า 200 ปี แพร์ริ่งไปกับชาชั้นดี 7 ชนิด จากจังหวัดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ที่ทุกแก้วล้วนชงกับน้ำแร่เลอค่า ฟู้ดดี้คนไหนอยากลิ้มลองให้ปักหมุดที่ Nikaku Bangkok” ที่ตั้งอยู่ใน W Bangkok ได้เลย ดื่มด่ำกับบรรยากาศหรูหรา ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทันสมัย และความเป็นส่วนตัว (สามารถรองรับลูกค้าได้รอบละ 10-12 ที่นั่ง)    คำแรกเป็น Nidako ปลาหมึกยักษ์เนื้อเหนียวนุ่มจากช่องแคบคัมมง ราดซอสน้ำส้มสายชูสีแดงผสมซีอิ๊วรสกลมกล่อม ที่มีทั้งเปรี้ยว เค็ม และหวานนิดๆ สโมคกลิ่นดอกซากุระหอมฟุ้ง ถือเป็นการเปิดต่อมลิ้มรสได้ดี แพร์ริ่ง Sonogi Tea มัตฉะชั้นดีจากจังหวัดนางาซากิ ผสมน้ำโซดาซาบซ่า   ตามด้วย Madai ปลากระพงแดงเนื้อหวาน ที่เชฟใช้เทคนิคการเก็บปลาให้ยังคงสดใหม่ เข้าคู่กับวาซาบิขูดสด Sawara ปลาซาวาระหรือปลาอินทรีย์ญี่ปุ่น สัญลักษณ์แห่งฤดูใบไม้ผลิ โดยทางร้านจะใช้ปลาที่จับได้โดยเบ็ดเดี่ยวเท่านั้น เพราะเนื้อจะชุ่มฉ่ำมากกว่า Chawanmushi ไข่ตุ๋นสไตล์ญี่ปุ่นเนื้อเด้งที่หลายคนเลิฟ แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อยเพราะเชฟตุ๋นแบบเย็น จิบคู่ Oolong Tea ชาอู่หลงกลิ่นหอมแห่งซัตสึมะเซ็นได เคล้าขิงขูดรสเผ็ดซ่า หนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวอาทิตย์อุทัย Kuruma-ebi กุ้งลายเสือญี่ปุ่นที่ส่งตรงมาจากเกาะคิวชู เนื้อสดหวานตามธรรมชาติ เสริมรสให้ลงตัวด้วยมิโซะโฮมเมด Maguro ปลาทูน่าครีบสีน้ำเงิน ที่ทางร้านนำเข้าจากทะเลแถบนางาซากิแห่งประเทศญี่ปุ่น เนื้อสดรสหวาน สมแล้วที่ได้ฉายา ‘ราชาแห่งปลาทั้งมวล’ Sasa Kare ปลาคะเรเนื้อบางผิวขาว นำไปย่างฟางจนหอม ก่อนเสิร์ฟโรยเกลือเล็กน้อย Anago Nigiri ปลาไหลทะเลญี่ปุ่นเนื้ออ่อนนุ่ม เพิ่มรสอูมามิด้วยเกลือเล็กน้อย Ika ซูชิปั้นสดหน้าปลาหมึกอิกะ เนื้อหนึบนุ่มกำลังกิน คำที่แสนเลอค่า Yaito Katsuo ปลาโอคุณภาพจากหมู่เกาะโกโต นางาซากิ ที่รมควันด้วยฟางกลิ่นหอม Ikura Hirasu ลูกปลาซาดีนน่าลิ้มลอง ผสมซอสดาชิรสนุ่มนวล โรยหน้าด้วยไข่ปลาแซลมอนล้นๆ   ต่อด้วย Uni อูนิสดตามฤดูกาลจากเมืองฮอกไกโด รสหวานกินเพลิน Otoro เนื้อนุ่มแทบละลายในปาก Ma Saba ปลาซะบะเสิร์ฟแบบสด วัตถุดิบขึ้นชื่อจากเมืองนางาซากิ Kaki Sakamushi หอยรางรมตัวอวบแห่งจังหวัดยามากุจิ นึ่งกับสาเกชั้นดีจนทำให้ได้รสหวานผสานกับเนื้อสัมผัสหนึบนิดๆ Tuna Berry ซูชิโรลทูน่าเนื้อฉ่ำ ที่ทางร้านใช้ซากะโนริ (สาหร่าย) ที่ดีที่สุดจากทะเลอาริอาเกะ ไปต่อกันกับ Tamago แสนอิ่มเอม ตัวไข่เนื้อนิ่ม มิ๊กซ์ไปกับน้ำซุปดาชิรสหวานเค็ม แพร์ริ่ง Hoshino Mura Hon Gyokuro ชาเขียวเกียวคุโระที่มีคุณภาพสูงสุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่ปลูกจากหมู่บ้านโฮชิโนะ ให้รสหวานสลับกับความอูมามิ ก่อนเอ็นจอยขนมหวานของเชฟคาซูมิ Mizuyoukan วุ้นสไตล์ญี่ปุ่นตามฤดูกาล ครั้งนี้เชฟใช้ส้มแมนดารินรสสดชื่น เข้าคู่กับวุ้นถั่วแกงกวนรสหวานฉ่ำ Longan Pudding ฐานล่างเป็นพุดดิงน้ำเต้าหู้ครีมมี ไปด้วยกันได้กับพุดดิงลำไยรสหวานหอม ตัดด้วยกะทิเค็มมันเล็กน้อย   ยังมีของหวานไฮไลต์อย่าง Flourless Japanese Chocolate Cake เค้กช็อกโกแลตไร้แป้งสไตล์โฮมเมด เนื้อแน่นรสเข้มข้นนี้ปราศจากนม เนย ไข่ จิบคู่ Kitsuki Black Tea ชาดำนุ่มลึกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกุหลาบ นี้มาจากจังหวัดโออิตะ

Tag: