ร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิง Nusara ร้านอาหารซึ่งได้แรงบันดาลใจจากคุณยายนุสราของเชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร และคุณตาม-ชัยสิริ ทัศนาขจร สองพี่น้องผู้ก่อตั้งซึ่งร่วมกันดูแลอย่างใกล้ชิดและคว้ารางวัลร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชียต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อน โดยเป็นลำดับ 6 ของ Asia’s 50 Best Restaurants 2024
Nusara เปิดดำเนินการในปี 2020 ปัจจุบันย้ายทำเลจากในซอยมาอยู่ปากซอยท่าเตียน ถนนมหาราช มีวิวสวยของวัดโพธิ์เป็นฉากหลังระหว่างการรับประทานอาหาร ตัวร้านเป็นอาคารอนุรักษ์สีเหลืองที่ปรับปรุงภายในขึ้นใหม่อย่างงดงาม ชั้นล่างเป็นพื้นที่ของ Nuss Bar บาร์สีแดงสดใส และจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นเลาจน์รับรองแขกของ Nusara ให้นั่งดื่ม Welcome Drink กันชิลๆ ก่อนมื้ออาหาร
Nusara ต้อนรับแขกทุกท่านบนพื้นที่แห่งความทรงจำ “Wall of Memory” ที่เชฟต้นและคุณตามมีต่อคุณยายนุสรา ตู้ไม้สีเขียวตัดกับลวดลายผ้าไหมสีแดงและหลอดด้ายสีสดใส มีจักรเย็บผ้าที่คุณยายใช้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ คุณยายนุสราเคยประกอบอาชีพช่างตัดเสื้อหาเลี้ยงหลานทั้งสองเมื่อครั้งเป็นเด็กและยังเป็นต้นแบบที่ทำให้เชฟต้นรักในการทำอาหาร กระทั่งสร้างร้านอาหารแห่งนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกความหลังถึงคุณยายนุสรา
ได้ชื่นชมความงามและเรื่องราวอันน่าประทับใจพร้อมจิบ Floating Market Fizz เครื่องดื่มเย็นชื่นใจที่อินฟิวน้ำมะพร้าวกับมะตูม พุทราจีน และกระเจี๊ยบ รสซ่าสดชื่นเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
จากนั้นเป็นการทัวร์ร้านเพื่อรับประทาน Amuse Bouche โดยเริ่มต้นสองคำแรกที่ห้องครัว เป็น กระทงทองแหนมหลน (Crispy Cup with Naem Lon) ท็อปด้วยใบชะมวงและดอกขจรทอดกรอบพร้อมแคปหมู อีกคำเป็น ขนมครกแกงกะด้าง (Squid & Black Grouper Ka nom Krok) ซึ่งเป็นแกงโบราณของไทยปรับให้เป็นซีฟู้ดเจลลี่ที่มีทั้งกุ้ง ปลาและหมึกอยู่ภายใน ทั้งสองชิ้นหยิบกินได้ภายในคำเดียว
ต่อด้วยการขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 4 ซึ่งเป็น Living Room ของนุสรา เพื่อเพลิดเพลินกับวิววัดโพธิ์ 180 องศาอันงดงาม พร้อมนั่งจิบเครื่องดื่มเย็นซึ่งเป็น Complimentary จากเชฟต้น แก้วนี้ชาดอกไม้โฮมเมดเป็นกลิ่นหอมหวานอบอวล เสิร์ฟให้จิบพร้อม คาเวียร์ปั้นสิบ (Black Grouper Dimpling) ภายในเป็นปลาเก๋าดำผัดสามเกลอ กินพร้อมคาเวียร์จากหัวหิน และน้ำซุปต้มโคล้งที่ให้รสเผ็ดเล็กน้อยแต่โดดเด่นด้วยกลิ่นสมุนไพร แนะนำให้เริ่มจากตัวปั้นสิบก่อนแล้วตามด้วยคาเวียร์พร้อมซุปต้มโคล้งรสกลมกล่อม
ส่วนอีกคำเป็น ลาบเนื้อ (Beef Tartare) เสิร์ฟในกรวยที่ทำจากมะเขือเทศจากเชียงใหม่ ใช้เนื้อจากสกลนครคลุกเคล้าเครื่องลาบ แต่งด้วยดอกกระเทียมและผักแพว คำนี้เสิร์ฟให้รับประทานกันที่ไอซ์แลนด์ของห้องนั่งเล่นแห่งนี้
กลับลงมาที่ Dining Room ซึ่งอยู่บนชั้น 2 และชั้น 3 ของร้าน ทั้งสองชั้นตกแต่งสวยงาม สร้างความแตกต่างด้วยสีสันสดใสของเฟอร์นิเจอร์ และยังคงชื่นชมความงามของวัดโพธิ์ได้เหมือนกัน
เริ่มต้นอาหารคอร์สแรกเป็น เมี่ยงหอยเชลล์กับดอกดาหลา (Hokkaido Scallop, Miang Sauce & Ginger Torch Sorbet) ที่ได้แรงบันดาลใจจากเมี่ยงคำ นำเสนอในรูปแบบใหม่ด้วยการโชว์เครื่องเมี่ยงไว้ด้านบน ด้านล่างเป็นหอยเชลล์ฮอกไกโดญี่ปุ่นที่ผ่านการกงฟีในอุณหภูมิต่ำ เสิร์ฟคู่กับซอร์เบย์ดอกดาหลาสีชมพูสวย จะตักกินพร้อมกันหรือแยกกินก็อร่อยทั้งสองแบบ แพริงกับ Calamansi Fizz ที่ใช้วอดก้า "ASURA"จากเชียงใหม่เป็นเบส ผสมกับน้ำส้มจี๊ด ดอกเกลือ น้ำผึ้งดอกสะเดา เพิ่มความซ่าด้วย CO2 เป็นอาหารคอร์สแรกที่เรียกความสดชื่นได้ไม่เบา
คอร์สที่ 2 ยำปลาหมึก (Squid, Cucumber & Heirloom Tomato) ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากข้าวเกรียบปากหม้อ เชฟสไลซ์ปลาหมึกได้บางราวกับแผ่นแป้ง วางทับบนผักออร์แกนิกอย่างแตงกวา มะเขือเทศจากเชียงใหม่ ซึ่งคลุกเคล้ากับน้ำยำและน้ำกระเทียมดองไว้เรียบร้อย แต่งแต้มสีสันสวยงามด้วยดอกไม้ตามฤดูกาล จานนี้แนะนำให้ห่อเหมือนข้าวเกรียบปากหม้อแล้วรับประทานในคำเดียว จิบตามด้วยเครื่องดื่ม Tom Kha Fizz ที่รังสรรค์ให้แพริงกันโดยเฉพาะ เป็นเครื่องดื่มที่ใช้เบสเหล้า 3 ชนิดที่ทำจากเปลือกข้าว หมักกับสมุนไพรไทย อาทิ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ผสมกับน้ำกะทิ น้ำมะนาว น้ำเลมอน และเพิ่มความซ่าด้วย CO2 อาหารคอร์สนี้ช่วยกระตุ้นน้ำย่อยขึ้นมาอีกเสต็ป
คอร์สที่ 3 แกงปูใบชะพูลกับหมี่กรอบ (Blue Swimming Crab Curry & Crispy Rice Noodles) เนื้อปูม้าผัดกับเครื่องแกงโรยด้วยไข่แมงดาทะเล รสชาติเผ็ดร้อนได้ความหนึบของไข่แมงดาและความกรอบของหมี่ จานนี้ได้แรงบันดาลใจจากอาหารของคนภูเก็ตที่นิยมรับประทานแกงปูคู่กับเส้นหมี่ เชฟประยุกต์โดยทอดเส้นหมี่เป็นแพสวยวางซ้อนไว้ด้านบน เติมสีสันด้วยสีเขียวจากผงใบชะพูล สีเหลืองของขมิ้น และสีส้มของพริก เสิร์ฟพร้อม Cinnamon Clove Rice Mile ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลโตนดจากนนทบุรี ผสมกับน้ำนมข้าวที่หมักกับอบเชยและกานพลู แก้วนี้หวานอร่อยจิบได้เพลินๆ ช่วยลดความร้อนแรงของเครื่องแกงเผ็ดไปในตัว
คอร์สที่ 4 ต้มข่าปลาสลิด (Gourami Fish & Tom Kha) ที่ได้แรงบันดาลใจจากสูตรชาววังที่เสิร์ฟต้มข่ากับเนื้อปลา เชฟใช้เนื้อปลาสลิดบางบ่อทำเป็นปลาสลิดฟู เสิร์ฟกับเนื้อกั้งกระดานชิ้นโตจากจังหวัดตราด น้ำซุปต้มข่ารสชาติเข้มข้น แพริงกับ Anise Mango ทำมาจากสาโทข้าวดิบหมักกับสมุนไพรไทยในสไตล์ของคนจีน ผสมกับน้ำมะม่วงที่นำไปหมักกับเมล็ดผักชีและโป้ยกั๊ก อร่อยไปอีกแบบ
ต่อด้วยเมนคอร์สซึ่งเสิร์ฟเป็นสำรับ 5 จาน ได้แก่ น้ำพริกสี่ภาค น้ำพริกโบราณจากภาคเหนือเป็นพล่ากะปิ(Shrimp Paste Salad & Watermelon) ใส่มาในเนื้อแตงโมฉ่ำๆ น้ำพริกขี้กา (Tomato Relish & Cucumber) ทำจากมะเขือเทศและห่อด้วยแตงกวาโรยหอมเจียวและใบผักชิ้นของภาคอีสาน น้ำพริกถั่วลิสง (Peanut Relish & Sweet Pork Belly) น้ำพริกสุดโปรดของคุณยายนุสรามาพร้อมกับหมูหวาน และน้ำพริกตะไคร้ปลาแห้ง (Lemongrass Relish & Betel Leaf) ด้านในเป็นตะไคร้และปลาแห้งห่อด้วยใบชะพลู จากภาคใต้ เป็นน้ำพริกสี่ภาคที่สามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องรอข้าวสวย
แสร้งว่ากุ้งแม่น้ำตาปี (Grilled River Prawn Salad) เป็นการประยุกต์อาหารพื้นถิ่นของคนใต้ที่ผสมไตปลา รสชาติจัดจ้าน และมีกลิ่นไม่คุ้นลิ้นกับชาววังที่รับประทานอาหารภาคกลาง จึงปรับเปลี่ยนจากไตปลาเป็นกุ้งและเรียกชื่อใหม่เป็นแสร้งว่ากุ้ง จานนี้ผสมกับส้มโอทับทิมสยาม มะม่วง คลุกกับน้ำยำของทางใต้ ได้เป็นเมนูยำที่รสชาติกลมกล่อมสดชื่น
แกงเขียวหวานไก่รมควัน สูตรโบราณ (Green Curry, Smoked Chicken & Dumpling) ออนท็อปด้วยเลือดไก่กรอบที่อินฟิวกับบีตรูทและดีไฮเดรตแล้วทอดกรอบ ท็อปด้วยไข่เค็ม และดอกแมงลัก ส่วนเนื้ออกไก่ นำไปซูวีและทอดให้กรอบนอกเนื้อในยังฉ่ำนุ่ม มีเกี๊ยวน่องไก่ห่อใบคะน้าวางเคียงมาในชาม เป็นแกงเขียวหวานรสชาติอร่อยติดใจ
ซี่โครงเนื้อซอสกะเพราแดง (Smoked Short Ribs & Holy Basil Leaf) ซี่โครงเนื้อวากิวจากสกลนคร นำมาเกรซและสโมกก่อนจะรังสรรค์เป็นเมนูกะเพรารสชาติเข้มข้นและจัดจ้าน ซึ่งหากใครไม่ทานเนื้อก็มีกะเพราหมูทดแทนให้
น้ำซุปเนื้อ (Beef Soup) (หรือหมู) ช่วยลดทอนความจัดจ้านของอาหารในสำรับได้ดี สำรับนี้มาพร้อมข้าวหุงด้วยน้ำลอยดอกมะลิ ที่มีทั้งข้าวขาวและข้าวกล้องนุ่มอร่อย เครื่องดื่มคู่สำรับเป็น Mulberry Bloody Mary ทำมาจากสาโทข้าวกล้อง จังหวัดสกลนคร
จากนั้นล้างปากด้วย ฝรั่งชมพูพันธุ์ทิพย์กับดอกกระเจี๊ยบ (Pink Guava & Roselle Parfait) ซึ่งเป็นซอร์เบต์ฝรั่งชมพูพันธ์ทิพย์วางซ้อนบนซาวครีมที่ซ่อนเมล็ดทับทิมไว้ตรงกลาง ด้านบนท็อปด้วยแผ่นเมอแรงก์หวานกรอบ ตกแต่งด้วยกลีบกุหลาบ เจลลี่น้ำกระเจี๊ยบ และโรยผงกระเจี๊ยบ ราดซอสน้ำเชื่อมกระเจี๊ยบสีแดงสดไว้โดยรอบ รับประทานพร้อมกันทุกเลเยอร์ได้รสชาติที่กลมกล่อมเข้ากัน
ต่อด้วยขนมหวานซิกเนเจอร์ของนุสรา สาคูมะพร้าวอ่อน (Sago & Young Coconut) ทำจากสาคูแท้จากพัทลุง ต้มกับน้ำมะพร้าวและใบเตยจนสุกและหอม ซ่อนเผือกหั่นเต๋าชิ้นเล็กและเนื้อมะพร้าวอ่อนไว้ให้กินด้วยกัน เพิ่มความเข้มข้นด้วยกะทิ พร้อมกับไอศกรีมน้ำตาลโตนดวางเคียงมาในถ้วย แล้วออนท็อปด้วยเกาลัดสดสไลซ์บาง เสิร์ฟให้แพริงกับ Cloudy Lady Banana แก้วนี้จิบกันเพลินๆ
จากนั้นเพลิดเพลินต่อกับ Trolley ขนมหวานมากมาย ได้แก่ ลิ้นจี่สอดไส้กระเจี๊ยบกับมะนาว (Lychee with Roselle & Lime)
แซนด์วิชไอศครีมสับปะรด (Goat Milk & Pineapple Ice Cream Sandwich) เป็นไอศกรีมนมแพะสอดไส้แซนด์วิชกับสับปะรด
ช็อกโกแลตจันทบุรี เนยถั่วกับเสาวรส (Dark Chocolate with Passion Fruit & Peanut Butter) มาในรูปทรงช็อกโกแลตบอลจากจันทบุรี สอดไส้เนยถั่วและเสาวรสไว้ภายใน
วุ้นมะพร้าวอ่อนกับทับทิม (Coconut Jelly with Pomegranate) วุ้นกะทิรสชาติดีหวานน้อยถูกใจ
สับปะรดกวน (Symphony of Pineapple) เป็นแกนสับปะรด ออนท็อปด้วยแยมสับปะรด เจลลี่สับปะรด โรยหน้าด้วยพริกเกลือ
ขนมชั้นใบเตยสังขยา (Pandan Layered Custard) ขนมชั้นใบเตยสอดไส้สังขยาไว้ตรงกลาง รสชาตินุ่มนวลหวานกำลังดี
และมะม่วงน้ำปลาหวาน (Mango & Sweet Fish Sauce) มะม่วงมหาชนกใบโตพร้อมกับน้ำปลาหวานจากน้ำตาลโตนดออนท็อปด้วยผงบ๊วย
นับเป็นมื้ออาหารค่ำสุดพิเศษที่ควรค่าแก่การลิ้มลองจริงๆ
สำรองที่นั่ง https://www.tablecheck.com/en/nusara-bangkok/reserve/message
336 ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
เปิดบริการ 18.00-21.00 น. (หยุดวันอังคาร)
อีเมล์ : nusarabkk@gmail.com
Tag:
บาร์, ร้านอาหารไทย, อาหารไทย, เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น