เพราะคำว่า “มรีจิ” แปลว่า แสงแดด ภายใน Mareeji Café & Casual Dining จึงอุ่นด้วยแสงธรรมชาติที่ลอดผ่านกระจกบานใหญ่ ดึงดูดสายตาด้วยงานไม้เข้ากับเฟอร์นิเจอร์หนังแท้ของสะสมของเจ้าของร้าน รวมถึงแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งสำหรับวางขายสินค้าท้องถิ่น ทั้งเสื้อผ้าจากเชียงใหม่และเครื่องเซรามิกจากลำปาง
หากไม่ได้นั่งสนทนากับคุณณัฐธี วิโรจนาภิรมย์ และคุณกรพินธุ์ โตทับเที่ยง อย่างจริงจัง เราก็แทบเดาไม่ได้เลยว่ามรีจิไม่ใช่แค่ร้านอาหาร แต่เป็นล็อบบี้ของโรงแรมที่ออกแบบเหมือนห้องนั่งเล่น ให้ทุกคนเข้ามานั่งจิบกาแฟ ละเลียดเค้กชิ้นโปรด รวมถึงลิ้มรสเมนูไทยและตะวันตกที่เน้นกลิ่นรสของเครื่องเทศเป็นหลัก
เริ่มมื้อนี้ด้วยแกงส้มใต้ปลากะพงยอดมะพร้าว เมนูเปลืองข้าว เนื้อปลากะพงเข้ากับน้ำแกงส้มที่เผ็ดร้อนด้วยพริกแกงจากแดนใต้ เลือกใส่ได้ทั้งยอดมะพร้าวและไหลบัว ต่อด้วยหมูผัดเคยฉลู เนื้อหมูผัดกับเคยฉลูของดีเมืองตรังจนได้รสเข้มข้น ใส่ตะไคร้ซอย หอมแดง และพริก เป็นอีกเมนูที่คนชอบอาหารรสจัดน่าจะถูกใจ
เมนูตะวันตก เราแนะนำ Pan Seared Seabass with Spinach, Caramelized onion, Quinua เนื้อปลากะพงจี่บนกระทะให้สุกพอดี เนื้อปลายังชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟกับผักโขม หัวหอมคาราเมลไลซ์ และควีนัวให้อิ่มแบบไม่หนักท้องเกินไป
คอกาแฟอย่าพลาด Special Menu อย่าง Danica สดชื่นด้วยเลมอน โทนิค แยมยูซุ และเอลเดอฟลาวเวอร์ และ Edam & Eve รสเปรี้ยวอมหวานจากแอปเปิลเขียวและแอปเปิลแดง ใส่สปาร์คกลิงเพิ่มความซาบซ่า ประดับด้วยอบเชยแท่งให้กลิ่นหอม
ปิดท้ายมื้อนี้ด้วย Carrot Cake เค้กแครอตฝีมือคุณกรพินธุ์ที่มาพร้อมเนื้อเค้กแน่นๆ และครีมชีสรสเปรี้ยวอมหวาน
ตักกินพร้อมกันแล้วลงตัวจนไม่อยากวางช้อน
ชั้น 2 KARAAROM HOTEL ซอยนภาศัพท์ แยก 2 ถนนสุขุมวิท 36 เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
ราคา 95- 300 บาท (รับบัตรเครดิต ไม่รับ AMEX)
Tag:
สุขุมวิท
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น