The White House ในที่นี้ไม่ใช่ทำเนียบขาว แต่เป็นบ้านสีขาวที่ตั้งอยู่ใน ซ.สุขุมวิท 16 ซึ่งเบื้องหน้านั้นต้อนรับด้วยฝั่งของคาเฟ่ และอีกฝั่งหนึ่งก็เป็นห้องครัวที่มองทะลุกระจกใสเข้าไปได้ โดยมีช็อกโกแลตเรียงรายอวดโฉมน่าลิ้มลองอยู่เต็มไปหมด
ช็อกโกแลตเป็นของหวานทีเด็ดของร้าน แต่ก่อนที่เราจะได้พิสูจน์ ต้องผ่านเมนูอาหารแบบโมเดิร์นลัตเวียนของที่นี่ไปเสียก่อน เชฟ Aleksandrs Nasikailovs ผู้มีประสบการณ์จาก Vincent Restaurant ในริกา เมืองหลวงของลัตเวีย ได้เริ่มต้นการเดินทางในแวดวงร้านอาหารในประเทศไทยที่ร้าน Baltic Blunos มาร่วม 2 ปีเต็ม ที่นี่ The White House คือร้านอาหารในประเทศไทยที่เขาริเริ่มและลงมือรังสรรค์ในทุกจานอาหารออกมาอย่างโลดโผนและน่าตื่นตาตื่นใจในทุก ๆ การนำเสนอ โดยจับมือกับหัวหน้าบาร์เทนเดอร์ชาวญี่ปุ่น Kei Sawada มาร่วมกับสร้างค็อกเทลจากวัตถุดิบโฮมเมด (เป็นส่วนใหญ่!) เพื่อจับคู่เข้ากับอาหารแต่ละจานได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แม้จะบอกว่าอาหารของ The White House เป็นอาหารสไตล์โมเดิร์นลัตเวียน แต่จริง ๆ แล้วในแต่ละจานก็ผสมผสานเทคนิคการทำอาหารยุโรปไว้อย่างหลากหลาย อาจจะเรียกว่าเป็นการสร้างสรรค์ที่ไร้กรอบจำกัดอย่างแท้จริง และมีทั้งอาหารแบบจานเดียวและแบบเมนูคอร์ส เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่เต็มอิ่มที่สุด แน่นอนว่าเมนูคอร์สพร้อมค็อกเทลแพร์ริ่งคือตัวเลือกชั้นยอด
ก่อนจะเริ่มมื้ออาหารต้นไม้ต้นจิ๋วมาพร้อมใบไม้หลากสีสันที่งดงามด้วยโครงร่างลายเส้นก็ยกมาเสิร์ฟก่อนให้วอร์มการเคี้ยวก่อนเพลิน ๆ แต่ละสีก็มีรสชาติที่ต่างกัน เช่น สีดำจากสีของหมึกดำจากปลาหมึก สีเหลืองจากพริก และสีแดงจากบีทรูท
เริ่มต้นคอร์สด้วยเมนูชิ้นพอดีคำ ที่ขนมา 4 อย่างในคราวเดียว จัดมาทั้งหอย ปู ปลา ประกอบไปด้วย Blue Crab Doughnuts, Pickled Cucumber โดนัททรงกลมอัดแน่นด้วยเนื้อปู เสิร์ฟมาบนกระดองปู ถัดมาคือ Beetroot Cracker, Salmon Mousse, Salmon Roe แครกเกอร์สีแดงจากบีทรูต ทำเป็นรูปทรงแผนที่ประเทศลัตเวีย ท็อปด้วยไข่ปลาแซลมอน รองมาด้วยธงชาติของลัตเวียสีแดงเข้มมีขีดขาวตรงกลาง ต่อด้วย Iberico Secreto Rillette, Wheat Pillow, Chipotle Sauce มาในกระบอกไม้ ภายในอัดแน่นด้วยผักสีเขียว วางทับมาด้วยหมอนสีดำกินได้ เสริมรสชาติด้วยซอสเผ็ดชิโปตเล สุดท้ายคือ Black Mussels, Smoked Mussel Sauce, Seaweed ที่รูปร่างหน้าตาอลังการด้วยเปลือกหอยแมลงภู่จัดเรียงมาราวกับประติมากรรม
เมนูต่อมา White House Sourdough Bread, Birch Husk ขนมปังซาร์วโดสูตรเฉพาะของร้านเนื้อเหนียวหนึบ เสิร์ฟมาพร้อมกับเนยเกลือทะเล และมันหมูผสมหัวหอมกรอบ โดยทั้งเมนูเริ่มต้นทั้ง 4 รวมถึงขนมปังนี้จับคู่กับค็อกเทล Japanese Shochu Shiso Mojito
ถัดมาคือ Gillardeau Oyster เสิร์ฟมาในลูกบอลทรงกลม ที่จะค่อย ๆ ละลายแล้วปรากฏเป็นหอยนางรมอยู่กลางดอกไม้สีสันสดใส จานนี้เลือกใช้หอยนางรมจากฝรั่งเศส เพิ่มรสชาติด้วยโฮมเมดราสป์เบอร์รี่วินิเกรตต์ ฟิงเกอร์ไลม์ (มะนาวนิ้วมือ) และไข่มุกโยเกิร์ต วางมาบนเปลือกหอยกินได้ที่เสมือนจริงสุด ๆ แพร์ริ่งกับค็อกเทล Adonis Spritzer ที่ช่วยดึงรสชาติของหอยนางรมให้อบอวลในปากอีกครั้ง
Grilled Mackerel เป็นจานต่อมาที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ด้วยปลาแมคเคอเรลจากทะเลอันดามันเอจด์จนได้รสชาติของเนื้อปลาที่เข้มข้นชัดเจน เสริมอรรถรสด้วยมูสแมคเคอเรลรมควันและเจลทำจากซีบัคธอร์น โดยมีค็อกเทล Black Lamon+Wasabi Fizz ที่ได้รสเผ็ดขึ้นจมูกนิด ๆ จากวาซาบิมาเสริมรสชาติ
กลับมาที่เมนูหอยอีกรอบกับ Hand-dive deep-sea Scallops ที่ใช้หอยเชลล์จากประเทศญี่ปุ่น ให้รสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้นด้วยซอสฮอลันเดส โฟมทะเล และสเตอร์เจียนคาเวียร์ ที่ขอแนะนำว่ากินเนื้อแล้วให้ยกเปลือกหอยซดน้ำซุปที่เหลือตามให้หมด แล้วตามด้วยค็อกเทล Yuzu Pepper+Japanese Lime “CABOS” Fizz
ต่อมาเป็นเมนูที่มีชื่อว่า Duck Liver Tortellini พาสตาทอร์เทลลินี สอดไส้ตับเป็ดและเห็ดแตรสีดำ ความพิเศษของจานนี้คือต้องเหยาะไซรัปที่ได้จากต้นเบิร์ช ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าขึ้นชื่อของลัตเวียลงไปด้วย แพร์ริ่งกับค็อกเทล Blue Cheese Sake Moscato ที่ให้กลิ่นเอกลักษณ์ของบลูชีส
One-Eyed-Fish เป็นอีกหนึ่งจานที่เชฟเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งในประเทศไทย ปลาชิ้นหนาราดด้วยซอสจากไข่ปลาลัมป์ฟิช เคียงมากับหอยแมลงภู่ หน่อไม้น้ำ และดอกกะหล่ำ โดยมี Snow Crab Bloody Mary มาจิบเคียงคู่กัน
ปิดท้ายด้วยเมนคอร์ส กับเมนู Roasted Wild Rabbit โดยในหนึ่งจานนี้ประกอบไปด้วยส่วนขา ส่วนซี่โครง และเนื้อของกระต่ายทั้งหมด เสริมรสชาติด้วยซอสมาร์ซาลาและเห็ดแตรสีดำ จับคู่มากับ Fake Carrot แป้งห่อที่รูปทรงเหมือนแครอท ด้านในสอดไส้ไปด้วยเนื้อกระต่าย สลับกับจิบค็อกเทลที่มาคู่กันอย่าง The Grape Cocktail
สำหรับของหวานนั้นก็คงความอลังการและความสร้างสรรค์ไร้ขีดจำกัดไว้ไม่ต่างจากของคาวทุกจานก่อนหน้าที่ผ่านมาในชื่อว่า Snowball เป็นเกล็ดน้ำแข็งสีชมพูรสแก้วมังกรกรานิต้า ท็อปด้วยไอศกรีมและโฟม ด้านล่างสุดคือพีนัตบัตเตอร์ที่กินแล้วสดชื่นแถมยังเข้ากันได้เป็นอย่างดี
จากนั้นก็ได้เวลาเลือกช็อกโกแลตที่เป็นไฮไลต์ประจำร้าน มาในรถเข็นไม้ที่แกะสลักลวดลายที่มีความหมายสำหรับชาวลัตเวีย ในรถเข็นนี้มีช็อกโกแลตหลากหลายรสชาติ มีทั้งรสชาติคลาสสิคอย่างเช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย เชอร์รี่ และน้ำผึ้ง ไปจนถึงรสชาติแปลกใหม่ เช่น ต้มข่า วาซาบิ พริก มังคุด และนมแพะ เป็นต้น โดยมีค็อกเทลที่มาเสริมรสชาติให้กันและกัน ได้แก่ Café Apricot และ Maccha Tropicana ที่ปิดท้ายมื้ออาหารได้อย่างน่าประทับใจ
**เมนูต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบในแต่ละฤดูกาล
199/8 ซ.สุขุมวิท 16 คลองเตย กรุงเทพฯ
19.00 – 23.00 น. วันพฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์
Tag:
สุขุมวิท
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น