เปิดประสบการณ์การทานอาหารเหนือแบบ Fine Dining ร้านอาหารเหนือที่ซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านไม้หลังเก่าอายุเกือบ 100 ปี ซึ่งถูกนำมารีโนเวตใหม่ในโทนสีเขียวให้ฟิลล์อบอุ่น ตั้งตระหง่านโดดเด่นริมถนนสุขุมวิท ซอย 33
เมื่อเดินเข้ามาข้างในร้าน จะพบกับเอเลเมนต์ต่างๆ ที่สะท้อนถึงภาคเหนือถูกนำมาตกแต่งไว้แทบจะทั่วทุกมุม ไม่ว่าจะเป็น โคมไฟในร้านที่ฝั่งหนึ่งได้แรงบันดาลใจจากโคมยี่เป็ง อีกฝั่งมาจากโครงของร่มบ่อสร้าง หัตถกรรมชื่อดังแห่งอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนม่านโมบาย ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากรูปทรงสามเหลี่ยมของ ‘ขนมจ๊อก’ (ภาษากลางคือขนมเทียน) รวมถึง อูบ ภาชนะสมัยโบราณ ที่แสดงถึงฐานะทางการเงินของแต่ละบ้าน วางไว้บนโต๊ะอาหารแทนแจกันดอกไม้นั่นเอง
สำหรับเมนูอาหารคิดค้นและรังสรรค์ขึ้นโดยเชฟนุ-ภานุพงษ์ ส่องแสง และเชฟแฟง-กนกวรรณ ก้อนศิลา สองเชฟชาวเชียงราย พิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกวัตุดิบ โดยเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่นทางภาคเหนือ ดัดแปลงหน้าตาอาหารให้ดูพรีเมียมขึ้น แต่ยังคงรักษารสชาติของความเป็นอาหารเหนือตามแบบฉบับล้านนาไว้อย่างดีเยี่ยม
การเสิร์ฟอาหารเป็นแบบ Fine Dining เริ่มด้วยจานเรียกน้ำย่อย Amuse bouche ประกอบด้วย ไส้อั่วหมูคุโรบุตะ-น้ำพริกหนุ่ม-แคบหมู ใช้หมูคุโรบุตะคลุกเคล้ากับสมุนไพรสด ยัดลงในไส้หมู และนำไปย่างบนเตาถ่านจนหอม ท็อปด้วยน้ำพริกหนุ่มที่ป่นกับแคปหมูและมะแขว่น ให้รสจัดจ้าน โครเกตต์ยัดไส้ด้วยตำขนุนและชีสเชียงใหม่ นำขนุนอ่อนมานึ่งจนสุก ตำกับพริกแกงและผัดจนหอม สอดไส้ด้วยชีสคุณภาพดีจากเชียงใหม่ ท็อปด้วยมายองเนสสไปซี่ ที่มีความเผ็ดนิดๆ และแกงกระด้าง เสิร์ฟพร้อมบิสกิตผักกาดฮีน
สตาร์ทจานแรกกับ ยำส้มโอพิจิตรคาเวียร์น้ำปู๋ ส้มโอพิจิตรเนื้อแน่นหวานฉ่ำ คลุกเคล้ากับเครื่องยำ แล้วท็อปด้วยคาเวียร์น้ำปู๋ (น้ำปู๋เป็นวัตถุดิบทางภาคเหนือ โดยการนำปูนามาตำสดและเคี่ยวจนเข้มข้น) เสิร์ฟพร้อมกุ้งย่างลายเสือ
ส้าจิ้นทาร์ทาร์เนื้อวากิว เชฟนำเนื้อวัวมิยาซากิเกรด A5 หั่นเป็นชิ้นและปรุงรสด้วยสมุนไพร 13 ชนิด ท็อปด้วยไข่ไก่ออร์แกนิก ที่ผ่านการซูวีดนาน 2 ชั่วโมง ให้รสละมุนยิ่งขึ้น ส่วนใครที่ไม่ทานเนื้อวัวก็ไม่ต้องกังวล สามารถเลือกเป็นปลาฮามาจิแทนได้
ไปกันต่อกับเมนูสุดคลาสสิกของภาคเหนือ แอ๊บอ่องออ โดยเชฟได้นำสมองหมู (อ่องออ) มาคลุกเคล้ากับพริกแกงให้เข้ากัน ใส่ในใบตอง แล้วเอาไปย่างจนสุกและหอม จากนั้นกรองสมองหมูแบบละเอียด และผสมกับสมองหมูอีกส่วนที่นำไปต้มกับสมุนไพรเพื่อดับกลิ่นคาว ทานคู่กับขนมปังซาวร์โดใบเมี่ยง ตัดเลี่ยนด้วยสับปะรดภูแลจากเชียงราย ครบรสทั้งเผ็ด หวาน เค็ม มัน จานนี้สามารถเปลี่ยนเป็นฟักทองแทนได้ค่ะ
จานถัดมา ทอร์เทลลินีข้าวซอยเชียงรายยัดไส้ไก่บ้านออร์แกนิก ข้าวซอยที่ใช้พาสต้าเส้นสดแทนเส้นหมี่กรอบ ห่อเป็นเกี๊ยวอิตาลี (Tortellini) สอดไส้ด้วยไก่บ้านออร์แกนิก บดละเอียด คลุกเคล้ากับเครื่องแกง และซ่อนผักกาดดองไว้ด้านล่างแผ่นเกี๊ยว จากนั้นราดด้วยน้ำข้าวซอยรสเข้มข้น ท็อปด้วยโฟมกะทิ ที่ใส่กลิ่นกระวานดำเพิ่มความหอม เสิร์ฟคู่กับแป้งพัฟเพสทรี ที่มีบีตรูตวางอยู่ด้านบนแทนผักดองแบบดั้งเดิม วิธีรับประทานให้ตักทอร์เทลลินีทานพร้อมซุป แล้วตามด้วยแผ่นแป้ง หรือหักแผ่นแป้งจุ่มในน้ำซุป แล้วทานพร้อมกันในคำเดียว
พักเบรคของคาวแล้วต่อของหวาน ซอร์เบต์มะเกี๋ยงกุหลาบเวียงพิงค์ แน่นอนพระเอกหลักของจานนี้ก็คือมะเกี๋ยง หรือลูกหว้าที่คนภาคกลางคุ้นเคย นำมาเสิร์ฟในรูปแบบของซอร์เบต์ เพิ่มอรรถรสในการทานด้วยกลิ่นของกุหลาบเวียงพิงค์ ทานคู่กับไอศกรีมทองม้วนฝรั่งเศส มีความเปรี้ยวแถมยังสดชื่นสุดๆ
เดินทางมาถึงจาน Pre-Main แกงฟักทองปลากะพงแม่น้ำน่าน ไข่ปลาริวกิว เนื่องจากปลาจากแม่น้ำน่านจะมีกลิ่นดินน้อย และเนื้อเฟิร์ม โดยเชฟนำปลาไปทอด 2 รอบให้ได้หนังที่กรอบ และเนื้อนุ่ม ส่วนไข่ปลาริวกิวก็ดองด้วยเหล้าหมักหมาใจดำ สำหรับสายเนื้อสามารถเลือกเป็น เนื้อวัวไทยแองกัสย่างถ่าน ที่ผ่านการ Dry-aged 30 วัน เสิร์ฟในรูปแบบของสเต๊ก พร้อมน้ำเงี้ยวดอกงิ้วป่า
เข้าสู่พาร์ต Main อาหารจานหลักกับ ขันโตกนอร์ธ ที่โดดเด่นด้วยรสชาติของน้ำพริกมะแขว่น เสิร์ฟพร้อมผักเคียง 15 อย่าง ลาบหมูคั่ว แกงฮังเลเนื้อวากิว และจิ้นส้มหมกไผ่ ทานคู่กับข้าวเหนียว 3 สายพันธุ์ (ข้าวเหนียวสันป่าตอง ข้าวเหนียวเขี้ยวงู ข้าวเหนียวใหม่) หรือข้าวสวยร้อนๆ ซึ่งพาร์ตนี้ถ้าไม่อิ่มทางร้านบริการเติมให้ได้เรื่อยๆ เลยนะ
ปลุกความสดชื่นก่อนจบคอร์สกับ ไอศกรีมส้มสายน้ำผึ้ง ใช้ส้มสายน้ำผึ้งแท้จากอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ นำมาห่อด้วยมาสคาโปชีส และดิปกับไวต์ช็อกโกแลต แล้วโรยข้าวแต๋นไว้รอบๆ ได้ความหวานจากไวต์ช็อกตัดกับรสเปรี้ยวของส้ม เข้ากันดีมากๆ
จานสุดท้าย Petit Four ขนมทานเล่นไซส์จิ๋ว 4 คำได้แก่ ช็อกโกแลตบอล ที่ใช้วัตถุดิบหลักเป็นผงโกโก้คุณภาพดีจากเชียงใหม่ ชูครีมมัทฉะ ใช้ผงชาเขียวจากเชียงราย ข้าวปุกงา เสิร์ฟในรูปแบบของไดฟูกุ และ ข้าวแต๋น โดยนำข้าวพองมาผสมกับไซรัปน้ำแตงโม สอดไส้ไวต์ช็อกโกแลต และท็อปด้วยแยมสตรอว์เบอร์รี ทานแกล้มกับชา Special Blend ที่ทางร้านเบลนขึ้นเป็นสูตรเฉพาะของร้าน
สำหรับเมนูเครื่องดื่มก็ไม่น้อยหน้า เอาใจทั้งคอม็อกเเทลและค็อกเทล เช่น กาสะลอง ที่ผสานวัตถุดิบจากข้าวหอมล้านนา กับเหล้าหมักหมาใจดำ รสหอมหวาน หรือจะลองเครื่องดื่มที่ชื่อว่า ไหมคำ เกิดจากส่วนผสมอันลงตัวของชาหอมหมื่นลี้ ลาเวนเดอร์ และชากุหลาบเวียงพิงค์ เพิ่มเติมด้วยกลิ่นไซรัปข้าวเหนียวมะม่วง
บริเวณชั้น 2 มีอาร์ตแกลเลอรีให้เดินชมระหว่างรออาหาร หรือหลังอิ่มท้องกันอีกด้วย เอาใจสายถ่ายรูปเต็มๆ
North Restaurant สุขุมวิท 33
18:00-22:00 (Last Order 21:30)
Tag:
สุขุมวิท, ไฟน์ ไดน์นิ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น