ใครจะคิดว่าหลังประตูรั้วสูงกลางซอยสุขุมวิท 34 จะมีถนนเส้นเล็กรายล้อมด้วยเถาวัลย์พันธุ์ไม้ราวกับอุโมงค์สู่แดนมหัศจรรย์ นำทางไปยังบ้านหลังน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ด้านใน! เพียงก้าวเข้าไปเราก็จะพบกับห้องสีสดใสที่ดูราวกับพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมเพราะอัดแน่นไปด้วยของสะสมเก่าแก่จำนวนนับไม่ถ้วน และในทันที เจ้าบ้านอารมณ์ดี อาจารย์แพน - เผ่าทอง ทองเจือ ก็ปรากฏตัวมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม พร้อมยกของกินเล่นชุดใหญ่ ประกอบด้วย เมี่ยงคำ จานโตที่จัดเตรียมมาอย่างปราณีต และ ฟองเต้าหู้เจทอด กรุบกรอบ มาให้เรากินกันไปพลางฟังอาจารย์เล่าถึงที่มาของการเปิด “บ้านเผ่าทอง” ให้ผู้ที่สนใจได้มาลิ้มรสอาหารไทยโบราณและเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวต่างๆ ในบ้านหลังนี้
“กินบ้านเผ่าทอง ไม่ใช่ Chef’s Table” อาจารย์เผ่าทองบอกเราเช่นนั้น เพราะตัวเองไม่ได้เป็นเชฟและสูตรอาหารต่างๆ ก็เป็นสูตรที่คุณแม่และคุณยายเคยทำมาที่บ้าน รวมทั้งสูตรต่างๆ ที่อาจารย์เคยกินแล้วอร่อย แต่จะเน้นการเลือกสรรวัตถุดิบชั้นดี สด สะอาด เหมือนกับทำให้คนในบ้านกิน แต่เดิมขาประจำที่ได้ลิ้มรสมีเพียงเพื่อนๆ กระทั่งร่ำลือไปถึงเพื่อนของเพื่อนเรียกร้องอยากชิม จึงได้เปิดบ้านของตัวเองให้เป็นกึ่งร้านอาหารที่มีบรรยากาศเหมือนกับการชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้านนั่นเอง
พอของกินเล่นเริ่มพร่อง พนักงานในชุดโจงกระเบนก็มาเชิญไปยังห้องอาหารหลัก ซึ่งยังคงน่าตื่นตาตื่นใจและเต็มไปด้วยของสะสมหลายยุคสมัยทั้งชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กไม่แพ้ห้องแรก โต๊ะกลางตัวใหญ่ปูผ้าทอลายสีสดขนาดสำหรับ 10 – 12 คน จัดไว้อย่างวิจิตรด้วยภาชนะและเชิงเทียนคริสตัล นี่คือโต๊ะอาหารของเราในค่ำคืนนี้
สำหรับเมนูที่เราจะได้ลิ้มรสที่ “บ้านเผ่าทอง” นั้น จะถูกส่งมาให้เลือกล่วงหน้าจากเมนูจำนวนหนึ่ง โดยจะได้เลือกทั้งของว่าง กับข้าว และขนมหวาน ทางร้านจะเตรียมซอฟต์ดริงก์ไว้ให้ ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ แขกสามารถนำมาได้ตามอัธยาศัยโดยไม่มีค่าเปิด แค่แจ้งร้านล่วงหน้าเพื่อจะได้เตรียมภาชนะให้เหมาะสม
ของว่างในวันนี้คือ ขนมปังหน้าไก่ชุบไข่ทอด ขนมปังกรอบไม่อบน้ำมัน กินกับน้ำจิ้มอาจาดรสชาติละมุน และ ปั้นขลิบไส้ปลา แป้งบางทรงสวยไส้หวานเค็มกำลังดี กินกับตะลิงปลิงฝาน และผักแนม เสิร์ฟมาบน “ขันเอว” หรือขันแอลของทางภาคเหนือ ชื่อเรียกแบบนี้เพราะตรงกลางคอดเหมือนเอวนั่นเอง พอมองดูให้ดีๆ ใต้จานรองไว้ด้วยกลีบกุหลาบกองหนา นอกจากสวยงามแล้วอาจารย์เฉลยว่าเพื่อไม่ให้จานกระทบกับขันเอวจนเกิดเสียงรบกวน
ต่อมาเป็นจานเด็ด ข้าวคลุกกากหมู อาหารโปรดของคุณพ่อของอาจารย์เอง เคียงด้วยกากหมูหั่นซอยเป็นชิ้นเล็กจิ๋วทอดจนกรอบแต่ไม่อมน้ำมัน กุ้งหวาน พริกซอย มะม่วงซอย หอมซอย หากมีมะดันจะหั่นมะดันซอยผสมลงไปด้วย เสิร์ฟในเชี่ยนหมากจากพุกามอายุร้อยกว่าปี ซึ่งคนสมัยก่อนใช้เก็บของมีค่าส่วนด้านบนวางหมากพลูบุหรี่ จานนี้รองด้วยใบเตยหอมหั่นเป็นชิ้นๆ เมื่อโดนความร้อนจะส่งกลิ่นหอมจางๆ เคียงมากับพริกน้ำปลาหอมละมุนสูตรพิเศษ กินเพลินมาก จากนั้นทางร้านเสิร์ฟ น้ำตะลิงปลิง เพื่อล้างมันในปาก ทำจากตะลิงปลิงแช่อิ่มปั่นกับน้ำแข็งหวานอมเปรี้ยวชื่นใจ แอบกระซิบว่าใครที่ยังไม่เคยลิ้มลอง “ตะลิงปลิงแช่อิ่ม” สินค้าขายดีของอาจารย์เผ่าทอง ต้องลองเลย
เข้าสู่ชุดสำรับกับข้าวซึ่งจะเสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลิ เริ่มด้วย มะเขือยาวยัดไส้ทอด เป็นเมนูอร่อยที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน มีทั้งความหวานและชุ่มฉ่ำ จะกินกับน้ำปลารสละมุนถ้วยเดิมหรือน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวก็อร่อยเด็ด ตามด้วย คอหมูย่าง หมักข้ามคืนจนนุ่มและรสชาติเข้าเนื้อ เสิร์ฟกับน้ำจิ้มแจ่วรสเข้มข้น และจานนี้ที่เราชอบมาก ยำปลาทูย่าง ปลาทูเนื้อนุ่มสดใหม่ย่างจนหอมคลุกเคล้ากับสมุนไพรต่างๆ และน้ำยำซึ่งมีครบทุกรสชาติเปรี้ยวหวานเค็มเผ็ดแต่กลับไห้รสบางเบาสดชื่น กินเพลินมากๆ
เมนูเด็ดของบ้านเผ่าทองที่ไม่ควรพลาด อาทิ หลนแหนมเผ่าทอง เป็นเมนูจากอีกสินค้าเด็ดของอาจารย์เผ่าทองนั่นคือ “แหนม” กลายมาเป็นหลนรสละมุน มีความเปรี้ยวจากแหนม และเพื่อให้คนที่ไม่กินแหนมกินได้ จึงมีพริกยัดไส้หมูเป็นตัวเอกในจานนี้ด้วย แกงเผ็ดเป็ดย่างใส่เงาะและลิ้นจี่ ใช้เป็ดย่างชิ้นหนาเนื้อนุ่ม ส่วนผลไม้ในแกงทั้งเงาะ ลิ้นจี่ และสับปะรด เรียกว่าจัดเต็มหวานฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงชุดใหญ่ ประกอบด้วย ไข่เค็มนึ่ง ปลาสลิดทอดกรอบ และหมูฝอย ตามด้วย แกงรัญจวน รสกลมกล่อม ใบโหระพากดให้จมในตอนท้ายสุดก่อนยกเสิร์ฟจึงมีสีเขียวสวยและกลิ่นหอม
สำรับที่เสิร์ฟมาแต่ละจานนั้นใหญ่มากจริงๆ แต่ขอเตือนว่าอย่าเพิ่งอิ่มเพราะประเดี๋ยวชุดของหวานที่น่ากินไม่แพ้กันจะลำเลียงมาเสิร์ฟ ทางร้านแนะนำให้เตรียมภาชนะมาใส่กับข้าวที่กินไม่หมดกลับได้ด้วย สักพัก ผลไม้ปอก ที่ปอกและแกะสลักมาอย่างปราณีตถูกยกมาเสิร์ฟเป็นการล้างปาก สำหรับของหวานเราเลือกสั่งได้ 2 อย่าง เริ่มจาก สาคูเปียกลำไย เป็นสาคูที่ทำจากต้นสาคูแท้ที่ศรีปากประ จังหวัดพัทลุง ด้านล่างเป็นหัวกะทิเคี่ยวจนข้นหอมมัน เสิร์ฟมาบนจานรองจากสมัยอยุธยา
ตามด้วยของหวานแนะนำ ส้มฉุน ที่ปรากฏในกาพย์เห่ชมเครื่องคาว-หวานในสมัยรัชกาลที่ 2 ดังว่า “ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น เรียกส้มฉุนใช้นามกร หวนถวิลลิ้นลมงอน ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน” จานนี้มีลิ้นจี่เป็นตัวเอก ปรุงกับน้ำลอยแก้ว น้ำส้มซ่า และผลไม้อื่นๆ อีกอย่างน้อย 5 ชนิด ที่นี่แยกแช่ผลไม้แต่ละอย่างในน้ำอบมะลิข้ามคืน เวลาเสิร์ฟโรยหน้าด้วยถั่วลิสง หอมเจียว เปลือกส้มซ่า มะม่วงซอย ขิงซอย หอมหวานเปรี้ยวสดชื่น เสิร์ฟในตลับเงินไทยใหญ่จากรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ วางบนจานรองสีสดใสจากประเทศตุรกี
ปิดท้ายด้วย จานขนมไทย อย่างลูกชุบ ทองหยิบ ทองหยอด ทองเอก เสิร์ฟมาบนภาชนะรองด้วยดอกบัวพับกลีบสวยงาม กินคู่กับ ชากุหลาบมอญไกลกังวล ตัดสดๆ ส่งตรงมาจากเชียงใหม่ เสิร์ฟมาในถ้วยชาวินเทจจากสมัยรัชกาลที่ 6 เพียงรินน้ำร้อนลงไปก็ได้เป็นชาที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยให้ผ่อนคลายหลังมื้ออาหารที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจตลอดเวลา ทั้งจากสถานที่ รสชาติอาหาร การบรรจงจัดจานอาหาร และภาชนะเก่าแก่เลอค่าที่แฝงไว้ด้วยเรื่องเล่าเคล้าประวัติศาสตร์ ราวกับได้ท่องโลกย้อนอดีตกันมาตลอดมื้อ
จะหาที่ไหนได้แบบนี้ นอกจากต้องมากินข้าวที่ “บ้านเผ่าทอง” นี่แหละ
ซอยสุขุมวิท 34 ถนนสุขุมวิท (เยื้องกับร้านตะลิงปลิง)
11.30-15.30น. และ 18.00-22.30น.
คิดเป็นรอบ รอบละ 36,000 บาท สำหรับแขกจำนวนไม่เกิน 12 ท่าน **ขอสงวนสิทธิ์ไม่รับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี**
Tag:
, สุขุมวิท, อาหารไทย,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น