เมนูของกินเล่นที่นำเอาแป้งชูร์โรสมาพันรอบไส้กรอกแล้วทอดให้เหลือง คลุกกับน้ำตาลผสมอบเชยป่น หรือกินกับซอสก็อร่อยถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่   ส่วนผสม เนยสดรสเค็ม 3/4 ถ้วย น้ำเปล่า 1 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์สอง 3 ฟอง ไส้กรอกยาว 4 นิ้ว 15 ชิ้น        น้ำมันพืชสำหรับทอด วิธีทำ ใส่น้ำเปล่า เนยสด เกลือ และน้ำตาลทรายลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือดและเนยละลายหมด ใส่แป้งสาลี คนเร็วๆ ให้เข้ากัน ยกลง คนแป้งต่อให้คลายความร้อน ใส่ไข่ทีละฟอง คนให้เข้ากัน ตักแป้งใส่ถุงบีบ เตรียมไว้ นำไส้กรอกเสียบไม้ เตรียมไว้ ตั้งกระทะน้ำมันให้ร้อน นำแป้งมาบีบบนไส้กรอกแล้ววนให้รอบจนพันไส้กรอก ใส่ลงทอดในน้ำมันร้อน จนสุกเหลือง ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน ผสมน้ำตาลกับผงอบเชยเข้าด้วยกัน นำไส้กรอกชูร์โรสคลุกให้ทั่ว จัดใส่จาน หรือถ้าไม่คลุกกับน้ำตาล จัดเสิร์ฟกับซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศได้ตามชอบ

หอมกรอบอร่อยด้วยเมนู พริกหยวกสอดไส้หมูทอด ทำง่ายกินเพลิน   ส่วนผสม พริกหยวกหรือพริกยำ 7-8 ลูก หมูบดติดมัน 200 กรัม รากผักชี กระเทียม พริกไทยตำละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ ซอสหอยนางรม 2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา แป้งชุบทอด 1 ถ้วย น้ำเย็น 1 ถ้วย น้ำมันสำหรับทอด       วิธีทำ หั่นพริกเป็นแว่น คว้านเมล็ดออก เรียงใส่จาน ผสมเนื้อหมูบดกับรากผักชี กระเทียม พริกไทยตำละเอียด ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม และน้ำตาลทราย ผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถุงบีบ บีบส่วนผสมหมูบดใส่ตรงกลางพริก ผสมแป้งชุบทอดกับน้ำเย็น คนให้เข้ากัน นำพริกใส่ไส้หมูลงชุบแป้ง ใส่ลงทอดในน้ำมันร้อนจนสุกเหลือง ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน   จัดพริกทอดใส่จาน เสิร์ฟกับน้ำจิ้มไก่ 

อาหารประเภทสตรีทฟู้ดในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปมักเป็นพวกขนมทั้งหวานและเค็ม ซึ่งจะเห็นขายกันในช่วงเทศกาลสำคัญตามสวนสนุกและงานแฟร์ (Country Fair) ในสหรัฐอเมริกาสตรีทฟู้ดที่มีขายในงานแน่นอนคือ Corn Dog ซึ่งทำง่ายมาก มีไม้เสียบไว้ให้ถือทาน ส่วนมากจะทอดในน้ำมันร้อนท่วม ปัจจุบันผู้คนรักษาสุขภาพกันมากขึ้นจึงใช้วิธีอบในหม้อ Air Fryer เพราะเร็วและขนย้ายอุปกรณ์สะดวก ถึงแม้สีจะไม่สวยเท่าทอดในน้ำมัน   นอกจาก Corn Dog ของที่วางขายคู่กันคือ Funnel Cake Fries ขนมนี้เป็นเค้กทอดที่เทแป้งผ่านกรวย (ซึ่งเรียกว่า Funnel) มีทั้งบีบเป็นเส้นเล็ก เส้นใหญ่ตามขนาดของกรวย บางร้านก็เส้นหนาใหญ่ ปัจจุบันส่วนมากจะบีบจากถุงบีบ เมื่อทอดจะมีกลิ่นหอมกระจายไปทั่วจนเรียกคนเข้าไปต่อคิวซื้อกันยาว   ขนมนี้ผิวนอกกรอบนิดๆ เนื้อในนุ่ม จะใส่ส่วนผสมเป็นรสตามชอบก็ได้ พอทอดเสร็จก็โรยน้ำตาลไอซิง หรือจิ้ม Caramel Sauce หรือ Marshmallow Fluff ที่ใส่ในกระทงกระดาษ ปัจจุบันมีพิมพ์ Corn Dog ชนิดไฟฟ้าแบบเดียวกับพิมพ์วัฟเฟิลที่สะดวกกว่าการอบหรือทอดหลายเท่า   ถ้าใครจัดงานนึกสนุกอยากลองทำดูก็ได้   Corn Dog & Funnel Cake Fries ส่วนผสม Corn Dog แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม แป้งข้าวโพดบดหยาบ (Cornmeal) 100 กรัม ผงฟู 2 ช้อนชา เบกกิงโซดา 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา บัตเตอร์มิลก์ (Buttermilk) 3/4 ถ้วย ไข่เบอร์ 0 2 ฟอง แป้งสาลีและขนมปังป่นสำหรับคลุก Cooking Spray สำหรับฉีดหม้อทอดเพื่อไม่ให้แป้งติด ไส้กรอกแท่งยาวตามชอบ วิธีทำ ตีไข่กับบัตเตอร์มิลก์ พักไว้ ผสมแป้งสาลี แป้งข้าวโพดบดหยาบ ผงฟู เบกกิงโซดา น้ำตาลทราย และเกลือ กับส่วนผสมบัตเตอร์มิลก์ให้เข้ากัน เทใส่ชามหรือกระบอกทรงสูง (เพื่อให้แป้งติดไส้กรอกได้ทั่ว) นำไส้กรอกเสียบไม้ คลุกแป้งสาลีบางๆ และชุบลงในส่วนผสมแป้งให้เคลือบไส้กรอกทั่วชิ้น คลุกขนมปังป่น วางลงในหม้อ Air Fryer ที่ฉีดน้ำมันเพื่อไม่ให้ติด อบที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส นาน 8-9 นาที พออบได้ครึ่งเวลากลับด้านและฉีดน้ำมันอีกครั้ง ถ้าทอดในน้ำมันไม่ต้องคลุกขนมปังป่นก็ได้ ชุบแป้งแล้วทอดได้เลย ถ้าใช้พิมพ์ไฟฟ้า หยอดส่วนผสมลงในพิมพ์ วางไส้กรอกที่เสียบไม้ ปิดฝาเครื่อง เวลาที่ใช้ปิ้งแล้วแต่เครื่อง ส่วนผสม Funnel Cake Fries แป้งสาลีอเนกประสงค์ 260 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา ไข่เบอร์ 0 2 ฟอง น้ำตาลทราย 50 กรัม นม 190 กรัม วานิลลา 1 ช้อนชา วิธีทำ ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ และน้ำตาลทราย พักไว้ ตีไข่กับนมให้พอเข้ากัน ผสมส่วนแป้งและส่วนนมให้เข้ากัน เติมวานิลลา เทใส่กรวย หยอดลงทอดในน้ำมันอุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส พอเหลืองกลับด้าน พอทอดเสร็จโรยน้ำตาลไอซิง และจิ้ม Caramel Sauce หรือ Marshmallow Fluff ส่วนผสม Caramel Sauce น้ำตาลทราย 200 กรัม เนย 90 กรัม  วิปปิงครีม 120 กรัม เกลือตามชอบ วิธีทำ ใส่น้ำตาลในหม้อก้นหนา ตั้งไฟปานกลางจนน้ำตาลละลายและเป็นสีน้ำตาลอ่อน (เขย่าหม้อได้แต่ห้ามคน) ยกหม้อลงจากเตา ใส่วิปปิงครีม ใช้ตะกร้อมือคนจนเข้ากันดี เติมเนย คนให้ทั่วและตั้งไฟอีกครั้งจนเนยเข้ากับน้ำตาลเป็นเนื้อเดียวกัน ต้องคนตลอด ปิดไฟ เติมเกลือ

ไชเท้าทอดกรอบ เข้าไปดูคนจีนนึ่งหัวไชเท้าแล้วรู้สึกว่าอยากกิน แต่เป็นคนชอบของกินกรอบๆ ก็เลยเอามาคลุกเกล็ดขนมปังทอดอร่อยดีค่ะ   ส่วนผสม หัวไชเท้าแบบไม่ขื่นประมาณ 800 กรัม (ฝนเป็นเส้น) แครอตฝนประมาณ 100 กรัม (ฝนเป็นเส้น) เกลือ 1 ช้อนชา ไข่ 1 ฟอง แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น ส่วนผสมสำหรับผัด ต้นหอม 2 ต้น (ซอยสั้นๆ) ผักชี 1 ต้น (ซอยสั้นๆ) กระเทียมจีน 3 กลีบ (สับ) เห็ดหอมแห้ง 2-3 ดอก (แช่น้ำให้นิ่ม หั่นฝอย) ขิงประมาณ 10 กรัม (หั่นฝอย) กุ้งแห้งฝอย 2 ช้อนโต๊ะ (ล้างน้ำแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ถ้ากุ้งแห้งตัวใหญ่ให้แช่น้ำแล้วสับ) หมูสับ 100 กรัม (หมักกับซีอิ๊วฉูปัง 2 ช้อนชา ซอสหอยนางรม 1 ช้อนชา และพริกไทยนิดหน่อย ขยำให้เข้ากัน หมักไว้สักครู่) น้ำมันหมู 1 1/2 ช้อนโต๊ะ ซอสหอยนางรม 2 ช้อนชา ฉูปัง หรือซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา เหล้าจีน 2 ช้อนชา น้ำมันงา 2 ช้อนชา ส่วนผสมสำหรับทอด แป้งทอดกรอบ ไข่ (ตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน) เกล็ดขนมปังขนาดเล็ก น้ำมันพืชสำหรับทอด วิธีทำ หมักหมูสับ พักไว้ คลุกไชเท้าและแครอตกับเกลือ หมักให้คายน้ำ เตรียมผัดเครื่องให้สุกหอมโดยผัดเห็ดหอมและขิงกับน้ำมันหมูให้มีกลิ่นหอม ใส่กระเทียมลงไปผัดพอเหลือง ใส่หมูสับที่หมักไว้ลงไป ผัดพอสุก ใส่กุ้งแห้งฝอย ปรุงรสและกลิ่นด้วยฉูปังหรือซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำตาลทราย เหล้าจีน และน้ำมันงา ผัดให้เข้ากัน ใส่ต้นหอมผักชี ปิดไฟ พักไว้ บีบน้ำออกจากไชเท้าและแครอต กดแน่นๆ แต่ไม่ต้องขยำ ใส่แป้งทั้ง 2 ชนิด ไข่ไก่ พริกไทยป่น และเครื่องผัด นวดจนเป็นเนื้อแน่น แบ่งเป็นก้อนเล็กๆ แล้วจี่ในกระทะ ชิมรสให้อร่อย ปรุงรสตามชอบนะคะ จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลมๆ เล็กกว่าลูกปิงปองนิดหน่อย วางบนถาดที่ทาน้ำมันบางๆ นึ่งพอสุก ถ้าชอบกินแบบนึ่งก็เอาไปจิ้มซีอิ๊วปรุงรสได้เลยค่ะ แต่ถ้าชอบแบบทอดก็มาจัดการขั้นต่อไป คลุก Radish Balls กับแป้งทอดกรอบบางๆ นำไปชุบไข่แล้วคลุกกับเกล็ดขนมปัง วางเรียงไว้ ใส่น้ำมันพืชปริมาณมากๆ ลงในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อนประมาณอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส (ทดลองเอาตะเกียบไม้จุ่ม จะมีฟองมาเกาะ หรือเอาเกล็ดขนมปังผสมไข่หย่อนลงไป ถ้าลงไปถึงก้นกระทะแปลว่าน้ำมันยังไม่ร้อนพอ ถ้าลงไปครึ่งหนึ่งแล้วเด้งขึ้นมาแปลว่าพอดี) ทอด Radish Balls ให้แป้งเหลืองกรอบ สูตรนี้จิ้มกับน้ำจิ้มไก่อร่อยดีค่ะ

แคบหมูป๊อปชิ้นขนาดพอคำ สูตรไม่ต้องแช่หนังหมูในน้ำมัน หนังฟูกรอบเคี้ยวเพลิน กินกับอะไรก็อร่อย ทั้งส้มตำ ทำกินกับยำมะม่วง หรือนำไปทำเป็นน้ำพริกคลุกข้าวร้อนๆ ก็อร่อย    ส่วนผสม หนังหมูติดมัน 1,250 กรัม น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 2 ช้อนชา วิธีทำ หั่นหนังหมูติดมันเป็นชิ้นขนาด 1/2 นิ้ว ใส่ลงในชามผสม ใส่น้ำส้มสายชู และเกลือ คลุกให้เข้ากัน ตั้งกระทะใส่หนังหมูติดมันลงเจียวให้หอมและน้ำมันออก จนกากหมูเป็นสีน้ำตาลอ่อน ตักกากหมูขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน พักไว้ให้เย็น ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ตั้งน้ำมันให้ร้อนอีกครั้ง ใส่กากหมูที่พักไว้ลงทอดให้หนังหมูพองกรอบและเหลือง ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน นำแคบหมูใส่ชามผสม โรยเกลือเล็กน้อย คลุกให้เข้ากัน 

ชิกเกนชอป เป็นส่วนน่องสะโพกไก่ ชุบเกล็ดขนมปังแล้วทอด เป็นอาหารที่นิยมในมาเลเซีย อย่างในซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีชิกเกนชอปในรูปแบบแช่แข็งขายมากมาย นิยมรับประทานกับซอสข้นๆ พร้อมกับข้าว หรือมันทอดแล้วแต่ความชอบ สำหรับสูตรนี้เสิร์ฟชิกเกนชอปมากับผัดหอมหัวใหญ่และพริกหวานผัด ซอสที่หวานด้วยรสของมะเขือเทศ   ส่วนผสมชิกเกนชอป เนื้อสะโพกไก่ 400 กรัม เกลือ 1/2 ช้อนชา ไข่ไก่ 1 ฟอง แป้งข้าวโพด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 1/2 ช้อนชา เกล็ดขนมปังป่น 80 กรัม น้ำมันพืชสำหรับทอด ส่วนผสมซอสหอมหัวใหญ่พริกหวาน น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียมซอย 1 กลีบ พริกหวานแดงซอย 1 ลูก หอมหัวใหญ่ซอย 100 กรัม มะเขือเทศหั่นชิ้น 2 ผล ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ ซอสวูสเตอร์ 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ ซอสมะเขือเทศ 4 ช้อนโต๊ะ ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทยดำ 1/2 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา น้ำสะอาด 100 มิลลิลิตร วิธีทำ ตีไข่ไก่กับเกลือ แป้งข้าวโพด และน้ำมันงา นำไปหมักชิ้นไก่ไว้ 1 ชั่วโมง ตั้งน้ำมันที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นำชิ้นไก่ลงชุบเกล็ดขนมปังลงทอดจนสุกดี ประมาณ 6-8 นาที สะเด็ดน้ำมัน พักไว้ ทำซอสโดยผสมซอสหอยนางรม ซอสวูสเตอร์ ซีอิ๊วขาว ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก พริกไทยดำ เกลือ และน้ำสะอาด เตรียมไว้ ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ผัดหอมหัวใหญ่ พริกหวาน และกระเทียมประมาณ 5 นาทีจนหอมนุ่ม ใส่ส่วนผสมซอส และมะเขือเทศลงไป เคี่ยวต่อจนผักนุ่มและซอสข้นดี หั่นชิ้นไก่ จัดเสิร์ฟใส่จาน ราดซอสที่เตรียมไว้

ส่วนผสมสำหรับหมักเนื้อ (สำหรับ 2-4 ที่) เนื้อวากิว 250 กรัม หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทยขาว 1 ช้อนชา  น้ำปลา 1 ช้อนชา แป้งมันสำปะหลัง 1 ช้อนโต๊ะ ใบชะพลู 15-20 ใบ เมล็ดพริกไทยสด                                   ส่วนผสมน้ำจิ้ม น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 2  ช้อนโต๊ะ ซอสพริก 4 ช้อนชา ถั่วลิสงคั่วสับใส่ตามชอบ   วิธีทำ ตำหอมแดง ตะไคร้ และเมล็ดพริกไทยขาวรวมกันพอหยาบ นำไปคลุกกับเนื้อวากิวหั่นชิ้นยาวพอดีคำให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา ใส่แป้งมันสำปะหลัง คลุกให้เข้ากันดี หมักไว้ประมาณ 30 นาที ห่อเนื้อที่หมักไว้ด้วยใบชะพลู ใส่เมล็ดพริกไทยสดประมาณ 5-7 เมล็ด แล้วม้วนให้แน่น ทำน้ำจิ้มโดยผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ชิมรส ปรุงรสตามชอบ ย่างเนื้อโดยทาน้ำมันเล็กน้อยบนใบชะพลู นำไปย่างบนกระทะด้วยไฟปานกลางให้สุก ยกลงเสียบไม้ เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มและผักสด  

ลองเปลี่ยนจากเมนูฟักทองนึ่งเป็นฟักทองอบจนสุกเหลืองกำลังดี ให้ทั้งกลิ่นหอมและเนื้อสัมผัสเหนียวหนึบ ราดด้วยซอสโยเกิร์ตผสมกับกระเทียมและผักชีลาว (Dill) ให้ความรู้สึกสดชื่น พร้อมเนื้อกรุบกรอบและรสมันๆ ของไพน์นัต   ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) ฟักทอง 1/2 ผล น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ เกลือทะเลและพริกไทยดำเล็กน้อย ไพน์นัตคั่ว และผักชีลาวสำหรับโรยตกแต่งเล็กน้อย ส่วนผสมซอสโยเกิร์ต โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย ผักชีลาวสับ 1 ช้อนชา กระเทียมสับ 1 ช้อนชา น้ำเลมอน 2 ช้อนโต๊ะ เกลือทะเลสำหรับปรุงรสเล็กน้อย น้ำมันมะกอกสำหรับโรยหน้าเล็กน้อย วิธีทำ หั่นฟักทองติดเปลือก (ไม่เอาเมล็ด) ตามยาว หนาประมาณ 3 เซนติเมตร เรียงใส่ถาดที่รองด้วยกระดาษรองอบ พรมน้ำมันมะกอกเล็กน้อย โรยเกลือและพริกไทยดำ คลุกให้ทั่ว นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 25-30 นาทีจนสุกเหลืองสวย แล้วพักให้เย็น ลอกเปลือกฟักทองออก หั่นให้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ ทำซอสโยเกิร์ตโดยผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ปรุงรสด้วยน้ำเลมอน ชิมรส นำเนื้อฟักทองใส่จานเสิร์ฟ ราดซอสโยเกิร์ต โรยไพน์นัตคั่วและน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ตกแต่งด้วยผักชีลาวให้สวยงาม

เมนูกินเล่น ทำง่าย ที่ได้นอกจากจะอร่อยแล้วยังได้ประโยชน์จากผักกาดขาวอีกด้วย ตอบโจทย์น้องๆ หนูๆ ที่ไม่ชอบกินผักแน่นอน   ส่วนผสม (10 ชิ้น) ผักกาดขาวแกะใบใหญ่ๆ 10 ใบ        มันฝรั่งต้มสุกบด 1 หัวใหญ่ เนื้อไก่ต้มฉีก 1 ถ้วย แครอตขูดเส้น 1/4 ถ้วย ต้นหอมซอย 1 ต้น เกลือป่น 1/2 ช้อนชา พริกไทยป่น 1 ช้อนชา ชีสมอซซาเรลลาขูด 1 ถ้วย เกล็ดขนมปังป่น 1 1/2 ถ้วย ไข่ไก่ตีให้เข้ากัน 2 ฟอง น้ำมันสำหรับทอด   วิธีทำ ใส่ผักกาดขาวในชามใหญ่ เทน้ำเดือดใส่ แล้วแช่ไว้จนผักนิ่ม ผสมมันบด เนื้อไก่ฉีก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย คลุกให้เข้ากัน ใส่แครอตซอย ต้นหอมซอย ชีสมอซซาเรลลา คลุกอีกครั้งให้เข้ากัน นำผักกาดขาวขึ้นจากน้ำร้อน ตัดก้านสีขาวของผักกาดขาวออกเล็กน้อย ตักส่วนผสมมันบดใส่ตรงกลาง ห่อให้มิด พักไว้ ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ร้อน นำผักกาดขาวที่ห่อไส้แล้วมาชุบไข่และคลุกเกล็ดขนมปังให้ติดทั่ว ใส่ลงทอดให้สุกเหลือง ตักขึ้น พักไว้ จัดใส่จานเสิร์ฟกับมายองเนสผสมซอสมะเขือเทศ 

เมนูสตรีทฟู้ดยอดฮิต หอมมันกะทิ ทำกินง่ายทำขายคล่อง  ส่วนผสมแป้งขนมครก แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ กะทิ 3/4 ถ้วย เกลือป่น 1/8 ช้อนชา ส่วนผสมหน้ากะทิ แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ หัวกะทิ 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/8 ช้อนชา ต้นหอมซอย ข้าวโพดต้มสุก วิธีทำ ทำแป้งขนมครกโดยผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งสาลี เกลือ น้ำตาลทราย และกะทิ คนให้เข้ากัน พักไว้ ทำหน้ากะทิโดยผสมแป้งข้าวเจ้า เกลือ น้ำตาลทราย และหัวกะทิ คนให้เข้ากัน ตั้งกระทะเทฟลอนทาน้ำมันเล็กน้อย แล้วหยอดแป้งขนมครกลงในกระทะ พอแป้งเริ่มสุก หยอดหน้ากะทิ โรยต้นหอมซอย เม็ดข้าวโพดต้มสุก พอแป้งเริ่มสุก ม้วนขนม ตัดใส่จาน เสิร์ฟ

สายชีสต้องร้องว้าวกับเมนูนี้ เนื้อขนมปังมันฝรั่งนุ่มๆ นวลละมุนหอมมันเข้ากับชีสเยิ้มๆ ด้านใน กินเพลินจนหยุดไม่อยู่ ส่วนผสม มันฝรั่งหัวใหญ่ 2 หัว แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 1/2 ถ้วย น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมไส้ มันฝรั่งหัวใหญ่ 1 หัว มายองเนส 2 ช้อนโต๊ะ ชีสมอซซาเรลลา 1 1/2 ถ้วย วิธีทำ หั่นมันฝรั่งทั้ง 2 ส่วน เป็นชิ้นใหญ่ นำไปต้มให้สุก ตักมันฝรั่งต้มสุก 2 หัว ใส่ชามผสม บดให้ละเอียด ใส่แป้งสาลี นวดให้เข้ากัน พักไว้ เตรียมไส้โดยบดมันฝรั่งต้มที่เหลือให้ละเอียด ใส่มายองเนส ผสมให้เข้ากัน นำส่วนผสมแป้งมารีดให้เป็นแผ่น ใส่ชีส ตามด้วยส่วนผสมมันบด แล้วโรยชีสอีกครั้ง รวบแป้งปิดไส้ให้มิด กลับเอาด้านที่รวบแป้งลง กดให้แบน แล้วใช้ไม้รีดแป้งรีดให้แบน ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ทาน้ำมันบางๆ ใส่ขนมปังลงทอดให้สุกเหลือง กลับอีกด้านลงทอดให้สุกเหลือง ตัดเป็นชิ้นใส่จาน โรยพาร์สลีย์ เสิร์ฟร้อนๆ

เคยกินแต่กุยช่ายแป้งหนานุ่ม ลองเปลี่ยนมากินแบบแผ่นบางกรอบ จิ้มน้ำจิ้มสูตรเด็ด รับรองว่ากินเพลินถูกใจแน่นอน ส่วนผสม กุยช่าย 180 กรัม แป้งข้าวเหนียว 3 ช้อนโต๊ะ แป้งมัน 1/4 ถ้วย แป้งข้าวเจ้า 3/4 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำมันรำข้าว 3 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 3/4 ถ้วย วิธีทำ หั่นต้นกุยช่ายยาว 1 เซนติเมตร ใส่ชามผสมไว้ ใส่เกลือและน้ำมันรำข้าว คลุกให้เข้ากัน ขยำให้ผักช้ำ พักไว้ ผสมแป้งข้าวเหนียว แป้งมัน แป้งข้าวเจ้า และน้ำสะอาด คนให้เข้ากัน ใส่กุยช่าย คนให้เข้ากัน เทใส่ถาดที่ทาน้ำมัน นำไปนึ่งในน้ำเดือดจนสุก ตัดเป็นชิ้น ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ร้อน ใส่กุยช่ายนึ่งลงทอดจนเหลืองกรอบ ตักใส่จาน เสิร์ฟกับน้ำจิ้ม

ตรุษจีนวันรวมญาติประจำปีที่นอกจากมีเมนูคุ้นเคยอย่างหมู เป็ด ไก่แล้ว ปีนี้ชวนพี่น้องมาล้อมวงทำติ่มซำ เมนูที่เคยกินกันในภัตตาคารแต่ก็สามารถทำเองที่บ้านได้ โดยเฉพาะวันที่มีสมาชิกพร้อมหน้า เป็นกิจกรรมสนุกๆ ในเทศกาลสำคัญนี้ อย่าง เผือกทอด แป้งเผือกห่อไส้ไก่รสเข้มข้นทอดจนฟูกรอบ เชื่อกันว่าการงานจะได้เฟื่องฟูตลอดทั้งปี เป็นเมนูตั้งโต๊ะที่เหมาะกับช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองในวันตรุษจีน ส่วนผสมไส้ เนื้ออกไก่หั่นเต๋า 500 กรัม เห็ดหอมสดหั่นเต๋าเล็ก 1 ถ้วย เห็ดหอมแห้งสับ 1/2 ถ้วย กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ หอมหัวใหญ่หั่นเต๋า 1/2 ถ้วย ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 2 ช้อนชา พริกไทยขาว 1 ช้อนชา ไข่ไก่ 3 ฟอง แป้งมันฮ่องกง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันสำหรับผัดเล็กน้อย วิธีทำ ผัดกระเทียมกับหอมหัวใหญ่จนสุก ใส่เห็ดหอมสดและเห็ดหอมแห้ง ผัดให้เข้ากัน ใส่เนื้อไก่ ตามด้วยซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย เกลือและพริกไทย ผัดจนเนื้อไก่สุก เติมน้ำเล็กน้อย รอจนเดือด ใส่ไข่ ผัดจนสุก จากนั้นใส่แป้งมันฮ่องกงผสมน้ำเล็กน้อย ผัดจนงวดแล้วตักขึ้น พักไว้ ส่วนผสมเผือกทอด (สำหรับ 2-4 ที่) เผือกหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมใหญ่ 500 กรัม แป้งฮะเก๋า 300 กรัม น้ำเปล่า 200 กรัม น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา น้ำมันหมู (แช่เย็นจนแข็ง) 100 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา น้ำจิ้มบ๊วยตามชอบ วิธีทำ นึ่งเผือกนาน 45 นาทีจนสุกนิ่ม บดให้เนื้อเนียนละเอียด เตรียมไว้ ต้มน้ำเปล่าให้เดือด ใส่ลงในแป้งฮะเก๋า คนให้แป้งละลายเข้ากัน (แป้งจะเป็นก้อน) ค่อยๆ แบ่งแป้งใส่ลงในเผือก ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และผงฟู นวดจนเนื้อเนียน ใส่น้ำมันหมูลงไปนวดให้เข้ากันจนเนื้อเนียน (ใส่แป้งเพิ่มได้ถ้าเผือกดูเหลว) คลุมพลาสติกสำหรับห่ออาหาร นำไปแช่ในตู้เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมงหรือข้ามคืน นำแป้งออกมานวดสักครู่แล้วคลึงให้เป็นแท่งยาว แบ่งออกเป็นก้อนละ 40 กรัม ปั้นเป็นก้อนกลมแผ่ให้เป็นแผ่น ใส่ไส้ที่เตรียมไว้ จับแป้งห่อไส้เหมือนลูกรักบี้ ใช้มือจับเป็นฐานเพื่อวางได้ ด้านบนจับให้เป็นจีบบาง อุ่นน้ำมันสำหรับทอดให้ร้อน 170 องศาเซลเซียส วิธีเช็กใช้ตะเกียบจุ่มลงในน้ำมันถ้ามีฟองรอบๆ แสดงว่าใช้ได้ วางเผือกบนกระชอนตักทอด จุ่มลงทอดในน้ำมันให้ท่วม 2 วินาที ยกขึ้น ค่อยๆ จุ่มลงในน้ำมันอีกครั้ง ยกขึ้นช้าๆ ให้ผิวเผือกเป็นเกล็ดจนเกือบถึงยอด จากนั้นจุ่มลงทอดในน้ำมันให้ท่วมฟูจนเป็นสีทองสวย เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย

คูชิอะเกะ (Kushiage) คือการนำอาหารมาเสียบไม้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ซีฟู้ด หรือผักต่างๆ ที่หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำไปชุบแป้งและเกล็ดขนมปังแล้วทอดจนเหลืองกรอบ รากบัวสอดไส้ในรูปแบบคูชิอะเกะ แม้จะเป็นอาหารที่ใช้เทคนิคแบบญี่ปุ่น แต่ด้วยความหมายของรากบัวที่สื่อถึงความสมบูรณ์ จึงทำให้เมนูนี้เป็นอาหารว่างที่เหมาะกับเทศกาลตรุษจีนด้วยเช่นกัน ส่วนผสม รากบัว 200 กรัม เนื้อหมูบด 100 กรัม รากผักชี 1 ราก กระเทียม 1 กลีบ พริกไทยขาว 1/2 ช้อนชา ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา แป้งสาลีอเนกประสงค์ 60 กรัม ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำเย็น 4 ช้อนโต๊ะ เกล็ดขนมปังป่น 1 ถ้วย น้ำมันพืชสำหรับทอด น้ำจิ้มบ๊วยเจียสำหรับเสิร์ฟ เลมอนสำหรับเสิร์ฟ วิธีทำ โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทย นำไปเคล้ากับเนื้อหมูบด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว หั่นรากบัวเป็นท่อน ใช้มือจับรากบัวกดลงไปในส่วนผสมเนื้อหมูบด กดซ้ำจนเนื้อหมูดันตัวเข้าไปจนทะลุที่อีกด้านของรากบัว ปอกเปลือกรากบัว ใช้ไม้เสียบที่ด้านข้างของรากบัว ทิ้งระยะทุก 1 เซนติเมตร แล้วหั่นรากบัวหนา 1 เซนติเมตร ผสมแป้งสาลี ไข่ไก่ และน้ำเย็น บดเกล็ดขนมปังให้ป่นดี พักไว้ ตั้งน้ำมันที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นำรากบัวชุบแป้งเปียก ตามด้วยเกล็ดขนมปัง แล้วนำลงทอดจนสุกมีสีเหลืองทอง เสิร์ฟกับน้ำจิ้มบ๊วยเจียและเลมอน

ตรุษจีนวันรวมญาติประจำปีที่นอกจากมีเมนูคุ้นเคยอย่างหมู เป็ด ไก่แล้ว ปีนี้ชวนพี่น้องมาล้อมวงทำติ่มซำ เมนูที่เคยกินกันในภัตตาคารแต่ก็สามารถทำเองที่บ้านได้ โดยเฉพาะวันที่มีสมาชิกพร้อมหน้า เป็นกิจกรรมสนุกๆ ในเทศกาลสำคัญนี้ อย่าง ก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้กุ้ง เนื้อกุ้งหมักอย่างดีห่อด้วยแป้งก๋วยเตี๋ยวเนื้อหนึบ เชื่อว่ากินแล้วอายุยืน เป็นเมนูตั้งโต๊ะที่เหมาะกับช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองในวันตรุษจีน ส่วนผสมแป้ง (สำหรับ 2-4ที่) แป้งข้าวเจ้า 10 ช้อนโต๊ะ แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ แป้งฮะเก๋า 4 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ แป้งมันสำปะหลัง 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา น้ำเปล่า 470 มิลลิลิตร น้ำมันสำหรับทาถาดนึ่ง วิธีทำ ผสมแป้งทุกชนิดกับเกลือให้เข้ากัน ใส่น้ำทีละน้อยนวดให้เป็นก้อน จากนั้นนวดต่อประมาณ 5 นาทีแล้วใส่น้ำที่เหลือจนหมด คนจนแป้งละลาย ตั้งลังถึงรอให้น้ำเดือด วางถาดสำหรับนึ่ง นึ่งถาดให้ร้อนประมาณ 3 นาที ทาน้ำมันที่ถาดเล็กน้อย ตักแป้งที่เตรียมไว้ (คนก่อนตัก) ประมาณ 1/2 ถ้วยใส่ถาด หมุนถาดให้แป้งแผ่ออกเต็มเสมอกัน ปิดฝา นึ่งนาน 3 นาทีหรือจนแป้งสุก ค่อยๆ แซะลอกแป้งออกใส่ในถาดที่ทาด้วยน้ำมัน พักไว้ ส่วนผสมไส้กุ้ง กุ้งตัวเล็กแกะเปลือก 200 กรัม น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา เบกกิงโซดา 1/8 ช้อนชา น้ำมันงา 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา แป้งข้าวโพด 1/2 ช้อนชา พริกไทยขาว 1/4 ช้อนชา ส่วนผสมน้ำจิ้ม ต้นหอมซอย (ส่วนสีขาว) 1 ต้น ขิงหั่นแว่น 6 ชิ้น ซีอิ๊วขาว 2 1/2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา น้ำ 1/3 ถ้วย ซอสหอยนางรม 1 ช้อนชา น้ำมัน 1 ช้อนชา วิธีทำ ล้างกุ้งให้สะอาด ซับให้แห้ง ผสมน้ำตาลทรายกับเบกกิงโซดาแล้วราดบนกุ้ง คลุกให้เข้ากัน หมักไว้ที่อุณหภูมิห้อง 30 นาที นำไปแช่ตู้เย็นพักไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง นำกุ้งออกมาล้างผ่านน้ำ 5 นาที ซับน้ำเบาๆ ให้แห้งด้วยกระดาษทิชชูทำครัวหรือผ้าขาวบาง ใส่ในชามผสม ใส่น้ำมันงา เกลือ แป้งข้าวโพด และพริกไทยขาว คลุกให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง นึ่งกุ้งในน้ำเดือดประมาณ 8 นาทีหรือจนสุก (อย่านึ่งนานเนื้อกุ้งจะแข็ง) ทำน้ำจิ้มโดยใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อ ตั้งไฟอ่อนคนให้งวด ชิมรส พักให้เย็น กรองขิงและต้นหอมออก วางกุ้งเรียงบนแป้งก๋วยเตี๋ยวแล้วม้วนให้เป็นหลอด โรยต้นหอมซอยตกแต่ง จัดเสิร์ฟกับน้ำจิ้ม

ตรุษจีนวันรวมญาติประจำปีที่นอกจากมีเมนูคุ้นเคยอย่างหมู เป็ด ไก่แล้ว ปีนี้ชวนพี่น้องมาล้อมวงทำติ่มซำ เมนูที่เคยกินกันในภัตตาคารแต่ก็สามารถทำเองที่บ้านได้ โดยเฉพาะวันที่มีสมาชิกพร้อมหน้า เป็นกิจกรรมสนุกๆ ในเทศกาลสำคัญนี้ อย่างเมนู ขนมจีบไส้หมู แป้งเหนียวนุ่มนำมาห่อไส้หมูสับ จับจีบคล้ายถุงเงินถุงทอง เป็นเมนูตั้งโต๊ะที่เหมาะกับช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองในวันตรุษจีน ส่วนผสมไส้หมู (สำหรับ 2-4 ที่) เนื้อหมูสับ 400 กรัม เนื้อกุ้งสับ 100 กรัม ขิงขูด 1 ช้อนโต๊ะ ต้นหอมสับ (เฉพาะส่วนสีขาว) 2 ช้อนโต๊ะ มันหมูหั่นเต๋า 1/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ ไข่ขาว 1 ฟอง แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/2 ช้อนชา ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ แผ่นแป้งเกี๊ยวสำหรับห่อ ส่วนผสมน้ำจิ้ม ซีอิ๊วขาว 4 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ ขิงซอยตามชอบ วิธีทำ ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในอ่างผสม (ยกเว้นไข่ขาว) นวดให้เข้ากัน ประมาณ 8-10 นาที ใส่ไข่ขาว นวดต่อให้เข้ากัน จากนั้นนวดให้เหนียวโดยนำหมูสับที่ผสมไว้ฟาดกับอ่างผสมประมาณ 5 นาที แล้วแช่ไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ห่อขนมจีบโดยทาน้ำริมขอบแป้งทั้ง 2 ด้าน ใส่ไส้ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ จับจีบพับเข้าหากันจนครบให้สวยงาม เรียงใส่เข่งไม้ไผ่ นำไปนึ่งในน้ำเดือด 8-10 นาที จัดใส่จานเสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้ม ทำน้ำจิ้มโดยใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในชามผสม คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย ใส่ขิงซอย

หอมอร่อยกินเพลินๆ กับสูตรคุกกี้ที่ผสมกระเทียมนิด ชีสหน่อย รสกลมกล่อม ส่วนผสม เนยสดเค็มนิ่ม 115 กรัม น้ำตาลไอซิง 3/4 ถ้วย ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง กระเทียมขูดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ชีสพาร์เมซานป่น 1/2 ถ้วย แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 1/2 ถ้วย พาร์สลีย์สับ 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ คนเนยสดให้อ่อนตัว ใส่น้ำตาลไอซิง คนให้เข้ากันจนขึ้นฟูเล็กน้อย ใส่ไข่ไก่ ตีให้เข้ากัน ใส่กระเทียมและชีส คนให้เข้ากัน ใส่แป้ง คนให้เข้ากัน ใส่พาร์สลีย์แล้วคนให้เข้ากัน บีบแป้งลงในถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 18-20 นาที

หอมกรอบอร่อย เนื้อในนุ่มกัดแล้วฟินๆ สุด สำหรับเมนูหมั่นโถวย่างเนยสด จิ้มกับดิปนมข้นหรือสังขยาก็ดีทั้งสอง ส่วนผสม (ทำได้ 8 ชิ้น) แป้งเค้ก 300 กรัม ผงยีสต์ 2 ช้อนชา ผงฟู 1 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำสะอาด 1/2 ถ้วย เนยขาว 2 ช้อนโต๊ะ เอสพี (SP) 1 ช้อนชา เนยสดนิ่มสำหรับทาก่อนย่าง นมข้นหวาน หรือสังขยาตามชอบ วิธีทำ ผสมแป้งกับยีสต์และผงฟู คนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำสะอาด เทลงในอ่างผสมแป้ง นวดให้เข้ากัน ใส่เนยขาวและเอสพี นวดต่อจนแป้งเริ่มเนียน คลึงเป็นก้อนกลม พักแป้งไว้ 10 นาที ตัดแบ่งแป้งน้ำหนักก้อนละ 75-80 กรัม คลึงเป็นก้อนกลมเรียงไว้ รีดแป้งแต่ละก้อนให้ยาวแล้วม้วนเป็นท่อนยาว วางบนกระดาษไขที่ตัดไว้ วางแป้งเรียงในถาดให้ห่างกัน พักไว้ประมาณ 30-45 นาที หรือจนขึ้น เรียงแป้งใส่ลังถึง นึ่งในน้ำเดือด ใช้ไฟกลางค่อนข้างแรง นึ่งประมาณ 12 นาทีหรือจนสุก พักไว้ให้เย็น ทำหมั่นโถวย่างเนยโดยกรีดหมั่นโถวแบ่งเป็นชิ้นๆ อย่าให้แป้งขาด ทานเนยตามร่องที่กรีดไว้ นำไปย่างให้หอม จัดใส่จานเสิร์ฟกับนมข้นหวาน หรือสังขยารสตามชอบ

ถ้าถามว่าการลดน้ำหนักแนวทางใดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน น่าจะเป็น IF เพราะคนทักทายคำนี้กันอย่างคุ้นเคยจนดูเป็นคำทั่วไปที่ทุกคนต้องรู้จัก   IF หรือ Intermittent Fasting เป็นแนวทางการลดน้ำหนักที่ไม่เคร่งครัดเรื่องอาหารว่าจะกินอะไร แต่เน้นว่าใน 1 วันเรามีเวลากินอาหาร (Feeding) ได้ช่วงไหน และมีเวลาอด (Fasting) ช่วงไหนจึงดูไม่ยุ่งยากหรือขวนขวายว่าต้องหาอะไรมากิน เพียงแต่กำหนดเวลากินของตัวเราเท่านั้น และที่ดูจะสะดวกขึ้นอีกเพราะช่วงเวลาอดหรือกินได้ก็ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะกินอาหารเย็นเร็วหน่อย ช่วงอดก็จะเป็นเวลานอนซึ่งไม่ต้องกินอยู่แล้ว และเริ่มกินมื้อเช้า เป็นต้น การกำหนดเวลาจะเริ่มจากใน 24 ชั่วโมงอาจจะแบ่งเวลาอดอาหาร 14 ชั่วโมง ช่วงเวลาที่กินได้ 10 ชั่วโมง แล้วก็เพิ่มเป็นช่วงอด 16 ชั่วโมง ช่วงกินได้ 8 ชั่วโมง อันเป็นตัวเลขยอดฮิต 16/8 ซึ่งชาว IF จะทักทายกันราวกับรหัสลับ เมื่อคุ้นชินแล้วก็จะเพิ่มเป็น 20/4 หรืออดวันเว้นวัน หลักการของแนวทางนี้เชื่อว่าเมื่อเรากินอาหารเข้าไปร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินเพื่อให้อินซูลินนำอาหารเข้าไปในเซลล์ ร่างกายจะได้พลังงานจากอาหารที่เรากินเข้าไปเป็นหลัก เมื่อเรากินอาหารบ่อยๆ อินซูลินก็จะหลั่งบ่อย ไขมันที่ถูกสะสมไว้ก็ไม่ได้ถูกใช้หรือใช้น้อย เราจึงอ้วน ดังนั้นเราก็ควรกินน้อยลงในเวลาที่กำหนดเพื่อให้ร่างกายใช้ไขมันที่สะสมไว้ ทำให้เราผอมลง พุงยุบ และรูปร่างปราดเปรียวขึ้น แต่การอดนี้จะต้องใช้เวลาไปสักระยะหนึ่งจึงจะเห็นผล มีการศึกษาพบว่าถ้า IF ไปประมาณ 3 สัปดาห์ รอบเอวจะเริ่มลดลง ถ้าทำไปเรื่อยๆ สัก 2 เดือน น้ำหนักควรจะหายไป 8%   แนวทางนี้แม้ดูจะไม่ต้องวุ่นวายกับการหาอะไรกิน แต่ถ้ากินของที่ไม่ย่อยยาก หรืออาหารสุขภาพบ้างก็น่าจะช่วยให้ร่างกายดีขึ้น อย่างเช่นมันเทศอบสไตล์ญี่ปุ่น มันเทศเป็นพืชที่ทุกคนอาจจะกลัวว่ากินแล้วอ้วนเพราะมีคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก แต่อาจจะไม่รู้ว่าเป็นคาร์โบไฮเดรตชั้นดีที่ให้พลังงาน กินแล้วอิ่มท้อง ไม่เปลี่ยนเป็นแป้งและน้ำตาลเหมือนกับคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากข้าวหรือพืชชนิดอื่น จึงไม่เพิ่มน้ำตาลในร่างกาย บางคนจึงกินมันเทศเพื่อช่วยลดน้ำหนักเพราะอิ่มท้องดี นอกจากกินแล้วไม่อ้วน เนื้อสีเหลือง หรือเหลืองอมส้มของมันเทศยังเต็มเปี่ยมไปด้วยเบตา-แคโรทีนชั้นเยี่ยม มีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ทั้งยังเป็นแหล่งของแคลเซียมซึ่งช่วยให้ฟันและกระดูกแข็งแรง ช่วยลดปัญหากระดูกพรุนที่ทำให้กระดูกเปราะและหักง่ายของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติอีกด้วย   การกินมันเทศง่ายๆ คือต้มกับน้ำตาลใส่ขิงซึ่งดูธรรมดาๆ ถ้านำมันเทศมาเผาดูจะเป็นเมนูสุขภาพแนวรักษ์โลก แต่ถ้านำมาตกแต่งขึ้นอีกนิดก็จะชวนเตะตาน่ากินยิ่งขึ้น อย่างเมนูนี้ที่นำมาเผาจนสุก นำเนื้อมาผสมกับไข่แดง ใส่วิปปิงครีมให้เนื้อเนียน และตักใส่เปลือกมันเทศแล้วนำไปอบอีกครั้ง จะดูชวนกิน น่ากิน และกินได้อร่อยขึ้น   เมนูนี้ว่าไปแล้วก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะของชาว IF แต่คนทั่วไปที่รักสุขภาพหรือชอบกินของอร่อยก็น่าลองทำดู ส่วนผสม มันเทศ (พันธุ์ญี่ปุ่น) หัวขนาดกลาง 3 หัว เนยจืด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2-3 ช้อนโต๊ะ ไข่แดง 1 ฟอง วิปปิงครีม 1/4 ถ้วย วานิลลา 1/2 ช้อนชา ไข่แดง (สำหรับทาหน้า) 1 ฟอง งาดำคั่ว สำหรับโรยหน้าเล็กน้อย วิธีทำ ล้างมันให้สะอาด อาจจะแช่น้ำสักครู่แล้วใช้แปรงนุ่มๆ ขัดเปลือกมันให้สะอาด (เพราะเมื่ออบแล้วสามารถกินเปลือกได้) พักให้แห้งสักครู่ ห่อมันด้วยฟอยล์ทีละหัว ใช้ส้อมจิ้มให้ทั่ว นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 50-60 นาทีจนสุกทั้งหัว (ใช้ไม้แหลมจิ้มผ่านได้ตลอดทั้งหัว) นำออกจากเตาอบ เปิดฟอยล์ออก และพักไว้สักครู่ให้คลายร้อน ผ่าครึ่ง (พยายามอย่าให้เปลือกหัก เพราะจะต้องใส่มันลงในเปลือกเพื่อนำไปอบ) ใช้ช้อนตักเนื้อมันออก (ให้มีเนื้อมันติดที่เปลือกประมาณ 1/4 นิ้ว) แล้วยีเนื้อมันผ่านกระชอนให้เนื้อนุ่ม พักไว้ ใส่เนยลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน พอเนยละลายใส่เนื้อมัน น้ำตาลทราย คนให้ละลาย ใส่ไข่แดง คนเร็วๆ ให้เข้ากัน ใส่วิปปิงครีมและวานิลลา คนจนเนื้อเนียนเข้ากัน ยกลงจากเตา ตักมันใส่ในเปลือกมันให้เต็มพูน ดูสวยงามน่ากิน ทาไข่แดง นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 250 องศาเซลเซียส นาน 3-4 นาทีจนหน้าเหลืองเป็นสีน้ำตาลไหม้นิดๆ นำออกจากเตาอบ โรยงาดำ รับประทานร้อนๆ

น้องแพรมีสมญาว่า “สาวชาเขียว” สั่งชาเขียวปั่นหวานน้อยมาดื่มทุกวัน!   น้องแพรชอบโมจิ  ซื้อโมจิมากินบ่อยๆ เวลาไปเดินเล่นตามศูนย์การค้า ผ่านร้านขายโมจิ โดยเฉพาะแบบที่มีไส้เป็นไอศกรีมรสต่างๆ เป็นต้องถามป้าเจี๊ยบทุกครั้งว่า “กินมั้ย?” แน่นอนว่าโมจิที่น้องแพรสั่งต้องมีอันหนึ่งเป็นชาเขียว   ความชอบชาเขียวและโมจิของน้องแพรทำให้ป้าเจี๊ยบอยากทำ “กะลอจี๊” ขนมไทยพื้นบ้านเชื้อชาติจีนที่มีเนื้อสัมผัสแบบโมจิให้น้องแพรชิมค่ะ เพราะถามแล้วว่ารู้จักกะลอจี๊มั้ย คำตอบคือ “ไม่เคยได้ยินค่ะ”   นัดหมายกันเรียบร้อยป้าเจี๊ยบลงมือทำกะลอจี๊แบบผสมผงชาเขียวที่เรียกว่า “มัตฉะ” และหวังว่าน้องแพรจะชอบ  ของที่ไม่เคยกินป้าเจี๊ยบจะทำไม่มากค่ะ ถ้าน้องแพรชอบสามารถทำเพิ่มได้ เพราะทำง่าย แต่ที่สำคัญคือขนมแบบนี้อุดมทั้งคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล กินแค่สำราญปากก็พอ อิอิ   เริ่มด้วยการใส่แป้งข้าวเหนียว 75 กรัม แป้งมัน 5 กรัม มัตฉะ 5 กรัม เกลือป่น 1/8 ช้อนชาลงในชาม ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมกลมกลืนกัน แล้วค่อยๆ เทน้ำร้อน 65 กรัมลงไปทีละนิดขณะที่ใช้พายซิลิโคนคนให้แป้งซึมซับน้ำ จากนั้นใช้มือนวดแป้งจนเนียนนุ่ม  รวบแป้งเป็นก้อนกลม วางพักไว้ 15 นาที   เนื่องจากทำปริมาณน้อย ป้าเจี๊ยบไม่ใช้วิธีนึ่งนะคะ ต้มเอาสะดวกกว่า ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อ กะปริมาณน้ำให้สูงจากก้นหม้อประมาณ 10 เซนติเมตร  นำไปตั้งไฟ   ระหว่างรอให้น้ำเดือดนำแป้งที่พักไว้มาแบ่งเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน ปั้นเป็นลูกกลมๆ แล้วกดลงให้เป็นแผ่นแบนๆ ความหนาประมาณ 1 เซนติเมตร เมื่อน้ำเดือดใส่แผ่นแป้งทีละแผ่นลงไปต้มจนสุก สังเกตความสุกได้จากการที่แผ่นแป้งลอยขึ้นมาค่ะ ป้าเจี๊ยบใช้กระชอนตักออกมาวางพักห่างๆ กันบนตะแกรงเพื่อให้สะเด็ดน้ำ แล้วสเปรย์น้ำมันรำข้าวให้ทั่วแผ่นเพื่อจะได้ไม่ติดกับภาชนะที่วาง พักไว้ก่อน รอน้องแพรมาถึงจึงจะทอดค่ะ เพราะกะลอจี๊จะอร่อยเมื่อกินร้อนๆ   กะลอจี๊ทั่วไปเมื่อทอดแล้วจะคลุกน้ำตาลผสมงาดำงาขาวคั่วหอมๆ กับถั่วตัดที่บุบหยาบๆ แต่ป้าเจี๊ยบขอทำแบบพิเศษให้น้องแพรสักหน่อยค่ะ เน้นถั่วมากกว่าน้ำตาล   ชามเครื่องคลุกของป้าเจี๊ยบมีน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ งาดำงาขาวคั่วบุบหยาบๆ 1 ช้อนโต๊ะ กับสารพัดถั่วอบที่บุบๆ รวมกัน  มีเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 1 ช้อนโต๊ะ พิสตาชิโอ 1 ช้อนโต๊ะ วอลนัต 1 ช้อนโต๊ะ และอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ตะกร้อมือคนๆ ให้ส่วนผสมทั้งหมดกลมกลืนเข้าด้วยกัน   เมื่อน้องแพรมาถึงแล้วป้าเจี๊ยบตั้งกระทะก้นแบนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 นิ้วบนเตา ใช้ไฟกลาง ใส่น้ำมันรำข้าวพอให้สูงกว่าก้นกระทะนิดหน่อย  คีบแผ่นแป้งลงทอดจนเหลืองกรอบทั้งสองด้านแล้วนำขึ้นมาวางพักบนกระดาษซับน้ำมัน   ป้าเจี๊ยบใช้กรรไกรตัดแป้งทอดเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปในชามเครื่องคลุก ใช้ช้อนคนๆ ให้เครื่องคลุกติดแป้งทอด คีบชิ้นแป้งทอดที่คลุกแล้วใส่จาน โรยหน้าด้วยเครื่องคลุกอีกครั้ง  พร้อมเสิร์ฟให้น้องแพรชิม   “นี่ค่ะ มัตฉะกะลอจี๊ใหม่สดจากเตา!” น้องแพรใช้ส้อมจิ้มกะลอจี๊อุ่นๆ ใส่ปาก เคี้ยว แล้วยิ้มตาหยี “อร่อยค่ะ! คล้ายโมจิ แต่มีกรอบๆ ด้วย”  ป้าเจี๊ยบก็ยิ้มหน้าบานสิคะ